ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21


ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนคนรุ่นเก่าปรับตัวแทบไม่ทันกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และค่านิยมเปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนรู้มากขึ้น กลุ่มภาคีเครือข่ายเพื่อทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (The Partnership for 21st Century Skill) หรือมีชื่อย่อว่าเครือข่าย P21 ได้กำหนดกรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาผู้เรียน เพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนมีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 รู้จักคิด รู้จักเรียนรู้ ทำงาน แก้ปัญหา และการสื่อสาร และเพื่อช่วยให้ผู้ปฏิบัติบูรณาการทักษะเข้าในการสอนเนื้อหาหลักด้านวิชาการ โดยผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะเฉพาะด้าน ความชำนาญการและความรู้เท่าทันด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งในด้านการทำงานและการดำเนินชีวิต กรอบแนวคิดข้างต้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะแห่งอนาคตใหม่สำหรับประเทศไทย

การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นี้ ยึดผลลัพธ์ของผู้เรียน (Student Outcome) กล่าวคือเมื่อผู้เรียนสำเร็จการศึกษาจะต้องมีความเชี่ยวชาญในวิชาแกน (Core Subjects) และจะต้องมีทักษะที่จะประยุกต์ใช้ในการปรับเปลี่ยนความรู้เหล่านั้น ให้เข้ากับเป้าหมายที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ รวมถึงเพื่อการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตามเนื้อหาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

กรอบความคิดข้างต้นจำเป็นต้องมีระบบสนับสนุนการศึกษาที่จำเป็น ได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้ การประเมินผล หลักสูตรและวิธีการสอน การพัฒนาวิชาชีพและบรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้มากขึ้นและจบการศึกษาออกไปด้วยความพร้อมที่จะประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจโลกของทุกวันนี้


1. สาระวิชาหลักและทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 -- 3Rs
สาระวิชาหลักเป็นทักษะพื้นฐานในการรู้หนังสือ ได้แก่ สามารถค้นคว้า ใฝ่หาความรู้จากทรัพยากรการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายผ่านการอ่านออก (Reading) เขียนได้ (Writing) การคิดคำนวณ (Arithmetics) สาระวิชาหลักมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของผู้เรียน แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ 21 จึงต้องส่งเสริมความเข้าใจเนื้อหาวิชาการให้อยู่ในระดับสูงด้วยการสอดแทรกทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เข้าในทุกวิชาหลัก วิชาแกนหลักสำคัญซึ่งนำมาสู่การกำหนดกรอบแนวคิดที่สำคัญในการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) เพื่อให้เกิดคุณลักษณะและเกิดแนวคิดสำคัญที่ผู้เรียนพึงมี ประกอบด้วย
วิชาหลัก (Core Subjects) ได้แก่
• ภาษาแม่ และภาษาสำคัญของโลก
• ศิลปะ
• คณิตศาสตร์
• เศรษฐศาสตร์
• วิทยาศาสตร์
• ภูมิศาสตร์
• ประวัติศาสตร์
• รัฐและความเป็นพลเมืองดี
ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่
• ความรู้เรื่องโลก (Global Awareness)
• ความรู้ด้านการเงิน, เศรษฐกิจ, ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economic, Business and Entrepreneurial Literacy)
• ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy)
• ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy)
• ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)
2. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) -- 4Cs
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมจะเป็นตัวกำหนดความพร้อมในการเข้าสู่การทำงานซึ่งมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นในโลกปัจจุบัน ทักษะด้านนี้ได้แก่:
• ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
• การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)
• การสื่อสาร (Communication)
• ความร่วมมือ (Collaboration)
3. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Media and Technology Skills)
ปัจจุบันเราอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสื่อและเทคโนโลยี จะสังเกตได้จากการที่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายได้อย่างรวดเร็ว พลเมืองและแรงงานที่มีประสิทธิภาพต้องสามารถรับรู้ เข้าใจการใช้และการจัดการสื่อสารสนเทศ เปิดใจรับสารและเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเท่าทัน สามารถบริหารจัดการเทคโนโลยี เรียนรู้เทคนิควิทยาการต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งทักษะเหล่านี้ได้แก่
• ทักษะด้านสารสนเทศ (Information Literacy)
• ทักษะด้านสื่อ (Media Literacy)
• ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information, Communications and Technology, Literacy)
4. ทักษะชีวิตและอาชีพ (Life and Career Skills)
ในศตวรรษที่ 21 นี้ ชีวิตและสภาพการทำงานที่มีการแข่งขันกันด้านข้อมูลข่าวสารและการดำรงชีวิตที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จำเป็นต้องมีทักษะการคิดและองค์ความรู้หลากหลายด้าน จึงจะสามารถทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้ ทักษะชีวิตและอาชีพ ประกอบด้วย
• ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว (Flexibility and Adaptability)
• การริเริ่มและการกำกับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction)
• ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills)
• การมีผลงานและความรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Productivity and Accountability)
• ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility)
 ระบบส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การพัฒนากรอบความคิดที่ครอบคลุมเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีระบบส่งเสริมเพิ่มขึ้นจากทักษะเฉพาะด้าน องค์ความรู้ ความชำนาญการและความสามารถในการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนที่รอบรู้มีความสามารถที่จำเป็นและหลากหลาย เครือข่าย P21 ได้ระบุระบบส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนได้รอบรู้ทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 ไว้ด้วยกันห้าระบบดังนี้:
• มาตรฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Standards)
• การประเมินผลทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Assessments of 21st Century Skills)
• หลักสูตรและวิธีการสอนในศตวรรษที่ 21 (21st Century Curriculum and Instruction)
• การพัฒนาวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 (21st Century Professional Development)
• บรรยากาศการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Environments)

เรียบเรียง : 
นัชรี อุ่มบางตลาด  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง :
กระทรวงศึกษาธิการ. (2557). การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. สืบค้น 20 ตุลาคม 2561, จาก http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=38880&Key=news_research

วิจารณ์ พาณิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด.

Partnership for 21st Century Learning. (2015). Framework for 21 Century Learning. Retrieved October 20, 2018, from http://www.p21.org/about-us/p21-framework

จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์

จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ หมายถึง หลักศีลธรรมจรรยาที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ หรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น ที่เรียกกันในลักษณะตัวย่อว่า PAPA คือ1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)

1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ หมายถึง สิทธิที่จะอยู่ตามลำพัง และเป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถควบคุมข้อมูลของตนเองในการเปิดเผยให้กับผู้อื่น สิทธินี้คลอบคลุมทั้งปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรต่าง ๆ ปัจจุบันมีประเด็นเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ดังนี้
  • การเข้าไปดูข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการบันทึกข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งการบันทึก-แลกเปลี่ยนข้อมูลที่บุคคลเข้าไปใช้บริการเว็บไซต์และกลุ่มข่าวสาร
  • การใช้เทคโนโลยีในการติดตามความเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมของบุคคล เช่น บริษัทใช้คอมพิวเตอร์ในการตรวจจับหรือเฝ้าดูการปฏิบัติงาน/การใช้บริการของพนักงาน ถึงแม้ว่าจะเป็นการติดตามการทำงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพการใช้บริการ แต่กิจกรรมหลายอย่างของพนักงานก็ถูกเฝ้าดูด้วย พนักงานสูญเสียความเป็นส่วนตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการผิดจริยธรรม
  • การใช้ข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ในการขยายตลาด
  • การรวบรวมหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล์ หมายเลขบัตรเครดิต และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพื่อนำไปสร้างฐานข้อมูลประวัติลูกค้าใหม่ขึ้นมา แล้วนำไปขายให้กับบริษัทอื่น
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและสารสนเทศ จึงควรจะต้องระวังการให้ข้อมูล โดยเฉพาะการใช้อินเตอร์เน็ตที่มีการใช้โปรโมชั่น หรือระบุให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้บริการ เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต และที่อยู่อีเมล์

2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
ในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการรวบรวม จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลนั้น คุณลักษณะที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูล ทั้งนี้ ข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับ
  • ความถูกต้องของข้อมูลขึ้นอยู่กับความถูกต้องในการบันทึกข้อมูล
  • ต้องมีผู้รับผิดชอบในเรื่องความถูกต้องของข้อมูลที่จัดเก็บและเผยแพร่
  • ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนการบันทึกหรือนำเข้าฐานข้อมูล
  • ข้อมูลต้องมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
  • ควรให้สิทธิแก่บุคคลในการเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลของตนเองได้ 
3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property)
สิทธิความเป็นเจ้าของ หมายถึง กรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้ เช่น คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ฯลฯ หรืออาจเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (ความคิด) อันได้แก่ ดนตรี วรรณกรรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เปิดช่องทางให้ผลงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานด้านดนตรี วรรณกรรม โปรแกรมคอมพิวเตร์สามารถถูกจัดเก็บในรูปแบบที่เป็นข้อมูลดิจิทัล ทำให้ง่ายต่อการคัดลอกและนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน จึงเกิดเป็นการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาขึ้น

โดยทั่วไปในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศ มักจะพิจารณาถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ การใช้ซอฟต์แวร์ที่ผู้อื่นสร้างขึ้นจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้สร้าง โดยใบอนุญาต (license) เป็นสัญญาระหว่างผู้สร้างกับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ ที่ให้สิทธิผู้ใช้ในการใช้ซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ปกติแล้วซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่นั้นจะมาพร้อมลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์ เมื่อเราซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการจดลิขสิทธิ์ หมายความว่าเราได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ในการใช้ซอฟต์แวร์นั้น ซึ่งลิขสิทธิ์ในการใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้า แต่ลิขสิทธิ์นั้นไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินซื้อเสมอไป อันที่จริงแล้วลิขสิทธิ์มีไว้เพื่อบ่งบอกสิทธิของผู้ที่จะใช้ว่า มีสิทธิแค่ไหน ทำอะไรได้บ้างซึ่งซอฟแวร์ลิขสิทธิ์แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ตามลักษณะการคุ้มครอง ดังนี้
ประเภทของลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
  • Commercial ware คือ ซอฟต์แวร์ที่เน้นในเรื่องของการทำธุรกิจ ผู้ใช้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนำซอฟต์แวร์ดังกล่าวมาใช้ มีการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่
  • Share ware คือ ซอฟต์แวร์ที่มีการเปิดให้ทดลองใช้งานก่อน เมื่อผู้ใช้ตัดสินใจซื้อ เจ้าของจะทำการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่
  • Ad ware คือ โปรแกรมที่เปิดให้ใช้ฟรี โดยมักมีโฆษณาขึ้นมาในหน้าเบราว์เซอร์ระหว่างการใช้ หรือมีการเก็บเงินหากต้องการใช้ในเวอร์ชั่นที่ไม่มีโฆษณา ซอฟต์แวร์ประเภทนี้มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่
  • Free ware คือ โปรแกรมที่ให้ใช้ฟรี โดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ เลย แต่ผู้ใช้ต้องไม่นำโปรแกรมไปใช้ในเชิงธุรกิจ การคุ้มครองจะน้อย หรือมีการคุ้มครองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
  • Open source คือ โปรแกรมที่ทำออกมาให้ใช้ฟรี และผู้ใช้สามารถพัฒนาโปรแกรมโดยการเขียนโปรแกรมเพิ่มหรือแก้ไขได้อีกด้วย
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibillty) 
แนวประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจุบันการเข้าใช้งานโปรแกรมหรือระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นการรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล จะต้องมีการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล โดยการกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลตามระดับของผู้ใช้งาน และป้องกันมิให้ผู้ใช้ที่ไม่ส่วนเกี่ยวข้องเข้าดำเนินการต่าง ๆ กับข้อมูล ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมนั้น ก็ถือเป็นการผิดจริยธรรมเช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนตัว

เขียน/เรียบเรียง : นัชรี อุ่มบางตลาด สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

ปรัชญาคิดเป็น

ปรัชญาคิดเป็น เป็นความคิดที่เกิดจากความเชื่อว่ามนุษย์โลกทุกคนต้องการมีความสุข ความสุขของคนแต่ละคนแตกต่างกัน หากแต่ละคนสามารถปรับตนเองให้กับเข้าสภาพแวดล้อมที่ตนดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างกลมกลืน ในการเสริมสร้างบุคคลให้เป็นคนคิดเป็น ต้องใช้ทักษะการคิด การแก้ไขปัญหาโดยใช้ข้อมูลอย่างรอบด้านก่อนการตัดสินใจลงมือปฏิบัติ ทั้งข้อมูลตนเอง ข้อมูลวิชาการและข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม


ความหมายของปรัชญาคิดเป็น
ปรัชญา คือ การสร้างระบบความคิดเพื่อการแสวงหาคำอธิบายให้กับคำถามที่เป็นพื้นฐานที่สุดของชีวิต เช่น จุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร พระเจ้ามีอยู่จริง คนคิดเป็นจะมีความสุข ฯลฯ

สิ่งที่เรียกว่าปรัชญาแท้ ๆ ก็คือ กิจกรรมการคิดเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

ปรัชญา “คิดเป็น” อยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ความต้องการของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนมีจุดรวมของความต้องการที่เหมือนกัน คือ ความสุข คนเราจะมีความสุขเมื่อตนเองและสังคมสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกันได้ โดยการปรับตัวเราเองให้เข้ากับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม หรือโดยการปรับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับตัวเรา หรือปรับทั้งตัวเราและสังคมสิ่งแวดล้อมให้ประสมกลมกลืนกัน หรือเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับตน คนที่สามารถทำได้เช่นนี้เพื่อให้ตนเองมีความสุขนั้น จำเป็นต้องเป็นผู้มีการคิด สามารถคิดแก้ปัญหา รู้จักตนเอง รู้จักสังคมและสิ่งแวดล้อม และมีองค์ความรู้ที่จะนำมาคิดแก้ปัญหาได้ จึงจะเรียกได้ว่าผู้นั้นเป็นคนคิดเป็น

คนที่จะทำได้เช่นนี้ต้องรู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญา รู้จักตนเองและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดีจึงจะเรียกได้ว่าเป็น “คนคิดเป็น” นั่นก็คือเป็นผู้ที่รู้จักปัญหาเรื่องทุกข์ รู้จักสาเหตุแห่งทุกข์ซึ่งมีอยู่ในตนและสภาพแวดล้อม รู้จักการวิเคราะห์หาวิธีดับทุกข์ ด้วยความรู้ทางวิชาการและประสบการณ์ และใช้กลวิธีที่เหมาะสมในการดับทุกข์จึงจะเกิดความสุข ถ้ายังไม่เกิดความสุขก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาข้อมูลทั้งสามด้านคือ ตนเองอวิชาการ และสังคมสิ่งแวดล้อมใหม่อีกครั้ง เพื่อหาวิธีการดับทุกนั้นจนกว่าจะพอใจ

ดร. โกวิท วรพิพัฒน์ ได้ให้คำอธิบาย “คิดเป็น” ว่าเป็น บุคคลที่จะสามารถเผชิญปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างมีระบบ ซึ่งจะสามารถพิจารณาสาเหตุของปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ และใช้ข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางเพื่อแสวงหาทางเลือก มาประกอบการพิจารณาข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกแต่ โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัว ค่านิยมของตนเอง และสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับตนเองได้

“การคิดเป็น” เป็นการคิดเพื่อแก้ปัญหา คือ มีจุดเริ่มต้นที่ปัญหาแล้วพิจารณาไตร่ตรองถึงข้อมูล 3 ด้าน คือ ข้อมูลด้วยตนเอง ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลวิชาการ ประกอบการตัดสินใจ จากนั้นก็ลงมือกระทำ หากสามารถทำให้ปัญหาหมดไป กระบวนการคิดแก้ปัญหายุติลง แต่หากบุคคลยังไม่พอใจแสดงว่ายังมีปัญหาอยู่ ก็จะเริ่มกระบวนการคิดพิจารณาทางเลือกใหม่อีกครั้ง และเมื่อกระบวนการนี้ยุติลง เมื่อบุคคลพอใจและมีความสุข

สรุป ความหมายของ “คิดเป็น”
• การคิดวิเคราะห์ปัญหาและแสวงหาคำตอบหรือทางเลือกเพื่อแก้ปัญหา
• การคิดอย่างรอบคอบเพื่อการแก้ปัญหาโดยอาศัยข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลวิชาการ ให้เหมาะสมกับตนอย่างมีคุณธรรมจริยธรรม

เป้าหมายของ “คิดเป็น”
เป้าหมายสุดท้ายของการเป็นคน “คิดเป็น” คือ ความสุข คนเราจะมีความสุขเมื่อตัวเราและสังคมสิ่งแวดล้อมประสมกลมกลืนกันอย่างราบรื่นทั้งทางด้านวัตถุ กายและใจ

แนวคิดหลักของ “คิดเป็น”
• มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความสุข • ความสุขที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละคนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมตาม วิธีการของตนเองอย่างมีคุณธรรม
• การตัดสินใจเป็นการคิดวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูล 3 ด้าน คือด้านตนเอง ด้านสังคม และ ด้านวิชาการ
• ทุกคนคิดเป็น เท่าที่การคิดและตัดสินใจทำให้เราเป็นสุขไม่ทำให้ใครหรือสังคมเดือดร้อน

คิดอย่างไรเรียกว่า “คิดเป็น”
“คิดเป็น” เป็นการคิดแบบพอเพียง พอประมาณ ไม่มาก ไม่น้อยเป็นทางสายกลาง สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล พร้อมที่จะรับผลกระทบที่เกิดโดยมีความรอบรู้ในวิชาการที่เกี่ยวข้องอย่างรู้จริง สามารถนำความรู้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีคุณภาพ ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง เป็นการบูรณาการเอาการคิด การกระทำ การแก้ปัญหา ความเหมาะสมและความพอดี มารวมไว้ในคำว่า “คิดเป็น” คือ การคิดเป็นทำเป็นอย่างเหมาะสมจนเกิดความพอดี และแก้ปัญหาได้ด้วย

กระบวนการแก้ปัญหาตามปรัชญา “คิดเป็น”
  1. ขั้นสำรวจปัญหา เมื่อเกิดปัญหา ย่อมต้องเกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหา
  2. ขั้นหาสาเหตุของปัญหา เป็นการหาข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร มีอะไรเป็นองค์ประกอบของปัญหาบ้าง
    • สาเหตุจากตนเอง พื้นฐานของชีวิต ครอบครัว อาชีพ การปฏิบัติตน คุณธรรมจริยธรรม
    •  สาเหตุจากสังคม บุคคลที่อยู่แวดล้อม ตลอดจนความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมของสังคมและชุมชนนั้น
    • สาเหตุจากการขาดวิชาการความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
  3. ขั้นวิเคราะห์ปัญหา หาทางแก้ปัญหา เป็นการวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญหา โดยใช้ข้อมูลด้านตนเอง สังคม วิชาการ มาประกอบในการวิเคราะห์
  4.  ขั้นตัดสินใจ เมื่อได้ทางเลือกแล้วจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาในทางที่มีข้อมูลต่างๆ พร้อม
  5. ขั้นตัดสินใจไปสู่การปฏิบัติ เมื่อตัดสินใจเลือกทางใดแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในข้อมูลเท่าที่มีขณะนั้น ในกาละนั้น และในเทศะนั้น
  6. ขั้นปฏิบัติในการแก้ปัญหา ในขั้นนี้เป็นการประเมินผลพร้อมกันไปด้วย ถ้าผลเป็นที่
    • พอใจ ก็จะถือว่าพบความสุข เรียกว่า “คิดเป็น”
    • ไม่พอใจ หรือผลออกมาไม่ได้เป็นไปตามที่คิดไว้ หรือข้อมูลเปลี่ยน ต้องเริ่มต้นกระบวนการคิดแก้ปัญหาใหม่

ลักษณะ "คนคิดเป็น 8 ปะการ"  โดย ดร.ทองอยู่ แก้วไทรฮะ
  1. เชื่อในความแตกต่างหลากหลายของคน
  2. เชื่อในลักษณะการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสังคมที่มีเกิด ดำรงอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา
  3. เชื่อมั่นในความพอเพียง พอประมาณ พอดี และรู้จักพึ่งตนเอง
  4. เชื่อในหลักของอริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
  5. เชื่อว่าทุกข์หรือปัญหาใดๆ ย่อมมีอยู่ในธรรมชาติ เป็นของธรรมดา และสามารถแก้ไขได้เสมอ
  6. เชื่อมั่นว่าข้อมูลทั้งหลายเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การตัดสินใจแก้ปัญหาที่ดีต้องรู้จักใช้ รู้จักวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลาย เพียงพอ และครอบคลุมข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเอง คือรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิชาการที่จะเป็นบ่อเกิดของปัญหา และข้อมูลที่เกี่ยวกับสังคมสิ่งแวดล้อม ธรรมเนียมประเพณี
  7. เผชิญกับปัญหาอย่างรู้เท่าทัน มีสติ ไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบเมื่อตัดสินใจแล้วมีความ
  8. พอใจและเต็มใจรับผิดชอบกับผลการตัดสินใจเช่นนั้น จนกว่าจะมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติม หรือมีข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป
  9. เชื่อมั่นและมั่นใจในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

เรียบเรียง :
นัชรี อุ่มบางตลาด  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง:
ทองอยู่ แก้วไทรฮะ. (2552, มิถุนายน). คิดเป็น. ในการประชุมปฏิบัติการการบรรณาธิการข้อสอบวัดผลปลายภาคเรียน ที่ 1/2552 หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โดย สำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, โรงแรมอู่ทองอินน์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. สืบค้น 4 ตุลาคม 2561, จาก https://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=13174&Key=news_research

ประเพณีล้านนา : ตานก๋วยสลาก

ความหมาย และความสำคัญของประเพณีทานก๋วยสลาก
ประเพณีตานก๋วยสลาก หรือ ทานก๋วยสลาก เป็นประเพณีของชาวล้านนา มีการเรียกขานแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ตานก๋วยสลาก ตานสลาก กิ๋นข้าวสลาก กิ๋นก๋วยสลาก หรือกิ๋นสลาก ภาษาไทยกลางเรียกว่า เรียกว่า "สลากภัต"


ประเพณีตานก๋วยสลากของชาวล้านนานิยมปฏิบัติกันตั้งแต่เดือน 12 เหนือ ถึงเดือนยี่เหนือ หรือตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี สาเหตุที่ถือปฏิบัติกันเช่นนี้ก็เพราะว่า เป็นช่วงที่ชาวบ้านได้ทำนากันเสร็จแล้ว หยุดพักผ่อน พระสงฆ์ก็จำพรรษาอยู่วัดไม่ได้ไปไหน ประกอบกับเป็นช่วงเวลามีผลไม้สุก เช่น ลำไย มะไฟ สมโอ เป็นต้น เมื่อต้นข้าวในนาเริ่มเขียวขจี ชาวนาที่มีฐานะไม่ค่อยดีการดำรงชีวิตก็เริ่มขัดสนเนื่องจากข้าวในยุ้งหมดก่อนที่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวฤดูต่อไปจะมาถึง ดังนั้นการตานก๋วยสลากในช่วงนี้จึงเท่ากับว่าได้สงเคราะห์คนยากคนจน เชื่อกันว่าได้กุศลแรง

ประเพณีการทำบุญทานก๋วยสลาก เป็นประเพณีการทำบุญที่สำคัญของชาวล้านนา มีคติธรรมทางพุทธศาสนา โดยมีแก่นสาระคือ การสั่งสอนให้คนรู้จักบาปบุญคุณโทษ สอนให้สร้างความดีในชาตินี้เพื่อผลบุญในชาติหน้า สอนให้ลูกหลานมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว

งานทำบุญทานก๋วยสลากเป็นงานทำบุญที่ต้องจัดอย่างใหญ่โต เป็นหน้าเป็นตาวัดของชุมชน ซึ่งการจัดงานจะต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ และความสามัคคีของคนจำนวนมาก จึงเป็นการส่งเสริมการสร้างความสามัคคี และความปรองดองในหมู่คณะ ในทางคติธรรม การทานก๋วยสลากยังมีคติสอนใจพระภิกษุสามเณรมิให้ยึดติดในลาภสักการะทั้งหลาย เพราะสลากที่ศรัทธานำมาถวายนั้นมีความแตกต่างหลากหลายกันไป พระสงฆ์และสามเณรจึงไม่ควรยึดติด 

 
ตำนานที่มาของตานก๋วยสลาก
ประเพณีตานก๋วยสลาก เป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงในปัจจุบัน มีตำนานกล่าว่า ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมีนางยักษิณีตนหนึ่งมักจะเบียดเบียน ผู้คนอยู่เสมอ ครั้นได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว นางก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธานิสัยใจคอที่โหดร้ายก็กลับเป็นผู้เอื้ออารีแก่คนทั่วไปจนผู้คนต่างพากันซาบซึ้งในมิตรไมตรีของนางยักษิณีตนนั้น ถึงกับนำสิ่งของมาแบ่งปันให้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ได้รับมีจำนวนมาก นางยักษิณีจึงนำสิ่งของเหล่านั้นมาทำเป็นสลากภัต แล้วให้พระสงฆ์/สามเณร จับสลากด้วยหลักอุปโลกนกรรม คือสิ่งของที่ถวาย มีทั้งของของมีราคามากและมีราคาน้อยแตกต่างกันไปตามแต่โชคของผู้ได้รับ การถวายแบบจับสลากของนางยักษิณีจึงนับเป็นครั้งแรกของประเพณีทำบุญสลากภัตในพุทธศาสนา

พิธีตานก๋วยสลาก
พิธีตานก๋วยสลากมี 2 วัน คือ
  • วันดา เป็นวันก่อนวันทำพิธีตานก๋วยสลาก ๑ วัน (วันสุกดิบ) เป็นวันที่ต้องจัดเตรียมสิ่งของ ทั้งของกินและของใช้ต่าง ๆ เป็นเครื่องไทยทาน สำหรับนำมาจัดใส่ก๋วยสลาก ชาวบ้านใกล้เรือนเคียง ญาติสนิทมิตรสหายจะมาช่วยกันจัดแต่งครัวทาน ซึ่งถือเป็นประเพณีที่จะได้ทำบุญร่วมกัน ผู้ชายจะจักตอกสานก๋วย (ตะกร้า) เตรียมไว้ ส่วนผู้หญิงจะจัดเตรียมห่อของทำบุญตามแต่ศรัทธาและกำลังทรัพย์ ของที่เตรียมส่วนใหญ่ได้แก่ อาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร พริก หอม กระทียม เกลือ กะปิ ปลาร้า ข้าวต้ม ขนมต่างๆ หมาก เมี่ยง บุหรี่ เป็นต้น เครื่องอุปโภค เช่น ไม้ขีดไฟ เทียนไข สีย้อมผ้า เครื่องใช้สอยต่างๆ สิ่งของเหล่านี้จะบรรจุลงในก๋วย ที่กรุด้วยใบตองหรือกระดาษปิดมัดรวมกันเป็นมัด ๆ สำหรับเป็นที่จับ ตรงส่วนที่รวบไว้นี้จะมีเงินเสียบไม้ไผ่อยู่ เรียกว่า “ยอด” ซึ่งจะมากน้อยแล้วแต่กำลังศรัทธา และจะมีช่อนำทานใบเล็กๆ หลากสีปักเสียบไว้ที่ก๋วยสลาก
  • วันตานสลาก วันรุ่งขึ้นถัดจากวันดา คือวันตานสลาก ชาวบ้านจะนำก๋วยสลากไปวางเรียงไว้เป็นแถว ๆ ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่จะจัดเตรียมขันดอก ใส่ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน ถือขัน(พาน) ไปวัด ส่วนใหญ่จะไปกันทั้งครอบครัว เพราะถือว่าการทานก๋วยสลากได้อานิสงฆ์มาก และเพื่อถวายพระในเวลาที่มีการเรียก “เส้นสลาก” 
เครื่องประกอบพิธีกรรม “ก๋วยสลาก”
1. ต้นสลาก หรือ ก๋วยสลาก เป็นเครื่องไทยทานที่ศรัทธานำมาถวายพระภิกษุสามเณร แบ่งออกเป็น 5 ประเภท
     1.1 ต้นสลากเล็ก เรียกว่า “ก๋วยซอง” หรือ “ก๋วยน้อย” บางแห่งเรียกว่า “ก๋วยขี้ปุ๋ม” เป็นก๋วยสานด้วยตอกไม้ไผ่ เป็นรูปตะกร้าทรงสูงปล่อยเส้นตอกให้พ้นจากตัวตระกร้าขึ้นไป รองด้วยใบตอง ใส่ข้าวปลาอาหารครัวทานทั้งหลาย ผลไม้ที่ใส่ในก๋วยซองจะมีขนาดเล็ก เช่น กล้วยประมาณ 2 ลูก ส้มโอตัดเป็นชิ้นเล็กๆ อ้อยตัดเป็นท่อนยาวประมาณ 1 คืบ มะปราง และส้มเป็นต้น เมื่อใส่สิ่งของครบแล้วจึงรวบตอกที่พ้นขึ้นไปผูกติดกันเพื่อปิดปากก๋วย เสียบยอดด้วยดอกไม้และติดใบด้วยเหรียญหรือธนบัตรจำนวนน้อย ไม้เสียบสลากจะทำด้วยไม้ไผ่เล็กๆ ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร 
      1.2 ต้นสลากขนาดกลาง เรียกว่า “ก๋วยสำรับ” คือภาชนะที่ใช้บรรจุข้าว อาหาร ในสมัยโบราณสานด้วยเส้นตอกไม้ไผ่ เช่นเดียวกับ “ก๋วยตีนช้าง” “เพียด” “พ้อม” และซ้าข้าวบาตร ภาชนะจะสานด้วยตอกไม้ไผ่เป็นเครื่องจักสานที่ชาวบ้านมีไว้ใช้งาน ต่อมาภายหลังใช้กาละมัง และถังน้ำ ซึ่งจะมีขนาดใหญ่และมีปริมาณมากกว่าต้นสลากเล็ก
      1.3 ต้นสลากโชค เป็นสลากที่จัดทำเป็นพิเศษกว่าสลากธรรมดา ภาชนะที่ใช้เป็นต้นสลากบรรจุทำด้วยไม้ไผ่ขนาดใหญ่สาน เช่น กระบุง หรือกาละมังขนาดใหญ่ ถังเปล และโอ่งน้ำ เพื่อใช้บรรจุข้าวปลาอาหารและผลไม้ให้ได้จำนวนมาก ต้นดอกทำจากใบคาหรือฟางข้าว มัดด้วยตอกเป็นลำต้นปักเสียบด้วยดอกไม้กระดาษแล้วติดธนบัตรจำนวนมาก ผู้ถวายมักจะมีฐานะดีการเงินไม่ขัดสน ในสมัยก่อนมักจะทำเป็นรูปเรือนหลังเล็กๆ มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่นหม้อข้าว หม้อแกง ถ้วยชาม เครื่องนอนหมอนมุ้ง เสื่ออ่อน ไม้กวาด เครื่องนุ่มห่ม อาหารสำเร็จรูป 1 สำรับ (ขันโตกข้าว) และรอบๆเรือนหลังเล็กจะมีต้นกล้วยต้นอ้อยผูกติดไว้แล้วยังมียอดเงินจำนวนมาก
     1.4 ต้นสลากย้อม เป็นการทานสลากจากหญิงสาวโสดบริสุทธิ์ โดยหญิงสาวจะต้องเก็บหอมรอมริบเงินทองไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยสาว เมื่อได้เงินทองมาพอสมควรและเป็นสาวเต็มตัวแล้ว และมีการทานสลากในชุมชนนั้น จะต้องเตรียมสลากย้อมไว้ สลากย้อมนี้จะทำเป็นต้นไม้สูง หรือกิ่งไม้สูงประมาณ 4-5 วา มีร่มกางที่ปลายยอด บางแห่งจะทำเป็นรูปนกหรือหงส์ มีปากคาบเหรียญเงินหรือธนบัตร ลำต้นสลากจะมีฟางมัดเป็นกำๆ เพื่อจะได้ปักไม้ และเครื่องไทยทานต่าง ๆ เช่นเดียวกับต้นสลากโชค เครื่องใช้จะแขวนกับกิ่งดอก ส่วนใหญ่เป็นของใช้ของหญิงสาว เช่น กระจก หวี น้ำมันทาผม น้ำหอมและผ้าเช็ดหน้า หญิงสาวมักนิยมทานสลากย้อมถวาย เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อแต่งงานแล้วจะทำให้ครอบครัวมีความสุขความเจริญ 
      1.5 สลากมหาชมพู หรือสลากพญาชมพู หรือสลากพระอินทร์ เป็นการเรียกการทานสลากที่เคยได้ทำขึ้นในอดีต เช่น ที่บ้านกู่แดง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันการทานสลากประเภทนี้ได้หายไป แต่ไปปรากฏในเชียงตุง ประเทศพม่า ซึ่งพี่น้องไทขึนนิยมทานสลากประเภทนี้กันมาก โดยจะเป็นการรวมกันทำก๋วยสลากของหญิงสาวในหมู่บ้าน หรือญาติพี่น้อง ๒-๓ หลังคาเรือน ร่วมกันนำเอาสิ่งของประเภทเครื่องใช้ เครื่องนอน กล้วย อ้อย ส้มโอ เครื่องเขิน เครื่องทอง บรรจุลงไปในก๋วยที่ประดับประดาอย่างสวยงาม พร้อมดอกไม้ธูปเทียน แล้วจัดขบวนแห่เหมือนกับขบวนแห่ครัวทานเข้าวัด จะนำด้วยพานดอกไม้ธูปเทียน ขบวนฟ้อน ขบวนฆ้องกลอง เมื่อไปถึงก็จะนำไปไหว้หน้าพระประธาน แล้วจึงถวายทานแด่พระภิกษุผู้จับสลากมหาชมพูนี้ได้ โดยผู้ถวายจะอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวร พญาอินทร์ พญาพรหม ฯลฯ
      1.6 ต้นสลากหลวง หรือเรียกว่าต้นโชคหลวง ทำขึ้นด้วยวัสดุหลายอย่าง บางแห่งทำเป็น “ช้างฝ้าย” หรือ “ม้าฝ้าย” ด้วยการสานโครงไม้ไผ่รูปช้างหรือรูปม้าแล้วเอาเส้นฝ้ายปั่นที่ทอเป็นผ้าแล้ว หุ้มโครงส่วนบนของรูปสัตว์เหล่านั้นทำเป็นต้นดอก ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้กระดาษ บางท้องถิ่นทำเป็นซองอ้อยมีต้นดอกหรือกิ่งไม้แขวนด้วยของกินของใช้ต่างๆ บางแห่งใช้ไม้ไผ่ทั้งลำ แขวนของกินของใช้ตั้งแต่ปลายถึงโคน หรือสร้างเป็นบ้านจำลอง หรือสร้างเป็นรูปปราสาท มีข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนที่จำเป็นทุกอย่าง หรือบางท้องถิ่นก็สร้างเป็นยุ้งข้าวแล้วใส่ข้าวเปลือกจำนวนหลายถังไว้ข้างใน พระภิกษุสามเณรรูปใดได้รับก็ต้องให้ญาติพี่น้องช่วยกันหาบขนกลับวัด
2. เส้นสลาก เมื่อชาวบ้านทั้งหลายนำก๋วยสลากไปที่วัดในตอนเช้าก่อนเพลแล้ว ก็จะนำก๋วยสลากไปแจ้งคณะกรรมการจัดงานว่าเป็นของใคร จากวัดไหน จะอุทิศให้ใคร โดยเขียนข้อความลงในแผ่นใบลาน หรือกระดาษแผ่นยาว ๆ ให้ครบจำนวนก๋วยสลาก แล้วมรรคทายกจะเก็บรวบรวมเอาเส้นสลากทั้งหมด บางแห่งจะแบ่งเส้นสลาก ออกเป็น 3 ส่วน คือ ก๋วยสลากของพระเจ้า(พระพุทธรูป) และอีก 2 ส่วนจะแบ่งเฉลี่ยออกไปให้พระสงฆ์และสามเณรทุกรูปที่มาในงาน หากมีเศษเหลืออยู่ก็ปัดเป็นของวัดที่จัดงานนั้นไป จากนั้นก็นำก๋วยสลากไปกองรวมกันไว้ตามจุดที่ทางวัดจัดไว้

หล่มภูเขียว

หล่มภูเขียว เป็นชื่อแอ่งน้ำขนาดใหญ่บนภูเขา ตั้งอยู่ที่ หมู่ 6 ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท จังหวัดลำปาง ซึ่งมีลักษณะคล้ายปล่องภูเขาไฟ มีเนื้อที่ประมาณ 1-2 ไร่ มีความลึกมากจนกระทั่งมองเห็นน้ำเป็นสีเขียว เป็นแหล่งน้ำที่ฝูงปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และมีธรรมชาติโดยรอบเป็นป่าดิบแล้ง จึงเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมาย รวมทั้งนกและสัตว์เลื้อยคลาน

ภาพจากเฟซบุ๊คหล่มภูเขียว

การเดินทาง
การไปยังหล่มภูเขียว ใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) สายลำปาง-พะเยา ไปยังอำเภองาว แล้วแยกเข้าหมู่บ้านของตำบลบ้านอ้อน ตามเส้นทางจังหวัดหมายเลข 1013 ประมาณ 7 กิโลเมตร และมีทางแยกเข้าไปหล่มภูเขียวซึ่งเป็นถนนเป็นดินแดง อีกประมาณ 4.50 กิโลเตร จึงจะถึงบริเวณลานจอดรถยนต์ ช่วงสุดท้ายต้องเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 150 เมตรเพื่อไปให้ถึงปลายทางคือ หล่มภูเขียว

ด้านธรณีวิทยา
สันนิษฐานว่า หล่มภูเขียวแต่เดิมเคยเป็นเพดานถ้ำมาก่อน แล้วยุบตัวและจมลงใต้น้ำที่เรียกว่า หลุมยุบ (Sink Hole) กลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่ที่มีหินปูนโอบรอบ เมื่อสายน้ำพัดพาตะกอนหินปูนไหลลงมาจึงจับตัวกันเป็นชั้น ๆ ส่วนน้ำในแอ่งที่มองเห็นเป็นสีเขียวนั้นเกิดจากการสะท้อนแสงของตะไคร่น้ำและแพลงตอน

ภาพจากเว็บไซต์ tripgether.com

ด้านความเชื่อ
ในอดีตนั้น หล่มภูเขียวเคยเป็นที่ตั้งของสำนักวิปัสสนามาก่อน ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือในความเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีข้อห้ามที่รับรู้กันว่าจะไม่มีการจับสัตว์น้ำในหล่ม หรือตัดต้นไม้โดยรอบ ซึ่งก็เป็นผลดีที่ทำให้บริเวณนี้ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ
มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัยก่อนชาวบ้านนำขันข้าว พร้อมดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แอ่งน้ำแห่งนี้ เมื่อวางเครื่องบูชาบนขอนไม้แล้วปล่อยให้ลอยไปกลางน้ำ ขอนไม้นั้นก็จมลงไปใต้น้ำก่อนที่จะลอยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเปลวไฟจากเทียนยังสว่างไสวอยู่ ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่าแอ่งน้ำแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ จึงนำน้ำไปดื่มพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้หายจากโรคภัยต่าง ๆ นอกจากนี้ยังนำไปทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์บ้าง หรือบางคราวก็นำไปใช้ในงานประเพณีที่สำคัญ คือ พิธีบูชาน้ำซึ่งจะทำพิธีเป็นประจำทุกปี

ข้อปฎิบัติในการเยี่ยมชม
1. ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำเพราะน้ำลึกมาก
2. ไม่อนุญาตให้ให้อาหารปลา เนื่องจากหล่มภูเขียวเป็นทะเลสาบปิด ไม่มีการหมุนเวียนระบายน้ำเข้าออก น้ำที่อยู่ในหล่มภูเขียวมาจากน้ำฝนในตามฤดูกาล การให้อาหารปลาจึงเป็นการสะสมสิ่งสกปรก และทำให้ปลาในหล่มภูเขียวไม่หาอาหารกินเองตามธรรมชาติ
3. ไม่อนุญาตให้จับปลา

นอกจากนี้ในเพจของหล่มภูเขียว ได้แจ้งว่า เจ้าหน้าที่ ยังไม่อนุญาตให้มีการปล่อยปลาเพิ่ม เนื่องจากหล่มภูเขียวเคยเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมมาก่อน ปลาที่เห็นอยู่ในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากการปล่อยปลาในอดีต และเกิดจากการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติของปลาที่มีอยู่เดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยปลาเพิ่ม เนื่องจากอาจทำให้กระทบต่อระบบนิเวศน์และการแพร่พันธุ์ตามวงจรวัฏจักรของปลา

ผู้ไปเข้าไปท่องเที่ยวและเยี่ยมชม ควรศึกษาให้ละเอียดรอบคอบทั้งเส้นทาง กฎ ระเบียบหรือข้อห้าม เพื่อให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน โดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท และเว็บไซต์ dnp.go.th และทางเฟซบุ๊ก หล่มภูเขียว https://www.facebook.com/lompookeaw/


เรียบเรียง :  แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง :

หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ออนไลน์. (2559). เที่ยวเมืองต้องห้ามชมสระมรกตกลางหุบเขาที่ ”หล่มภูเขียว”. . สืบค้นจาก  http://www.chiangmainews.co.th/page/archives/485086

สำนักงานอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช.  หล่มภูเขียว.  สืบค้นจาก http://park.dnp.go.th/visitor/scenicshow.php?id=945

สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. หล่มภูเขียว-ลำปาง. สืบค้นจาก http://www.onep.go.th/thailandnaturalsites/resourcedetail.php?geo_code
=LPG2&resourcetypecode=1

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์. (2561). หล่มภูเขียว” งามลึกลับท่ามกลางผืนป่า.  สืบค้นจาก https://mgronline.com/travel/detail/9610000000591

เฟซบุ๊กหล่มภูเขียว. (2561). สืบค้นจาก https://www.facebook.com/lompookeaw/

Internet of Things (IoT) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

ความหมายของ Internet of Things

ในทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น สิ่งของที่เราใช้มักเกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ เห็นได้จากโทรศัพท์มือถือ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ยานพาหนะ หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างในบ้านที่มีการพัฒนาให้ฉลาดและอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้มากขึ้น โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตได้

Internet of Things (IoT) หรือ “อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง” หมายถึงการที่วัตถุ อุปกรณ์ พาหนะ สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งของต่าง ๆ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ มีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้เก็บบันทึกและรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้ มนุษย์จึงสามารถสั่งการ ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์จากระยะไกลได้ จากโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่แล้วจะทำให้สามารถผสานระบบอินเทอร์เน็ตกับโลกทางกายภาพได้มากขึ้น

IoT มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า M2M ย่อมาจาก Machine to Machine คือ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่ออุปกรณ์กับเครื่องมือต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง

แนวคิด Internet of Things
แนวคิดเรื่อง Internet of Things คิดขึ้นโดย เควิน แอชตัน (Kevin Ashton) ซึ่งเป็นบุกเบิกเทคโนโลยีของอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์ข้อมูลอัตโนมัติที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) สหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างระบบมาตรฐานสากลสำหรับ RFID* ที่ในขณะนั้นถือเป็นมาตรฐานโลกสำหรับการจับสัญญาณเซ็นเซอร์ต่าง ๆ (RFID Sensors) และเป็นผู้เริ่มต้นโครงการ Auto-ID Center ซึ่งทำให้ตัวเซ็นเซอร์เหล่านั้นสามารถเชื่อมต่อกันได้ เควิน แอชตัน ได้ใช้คำว่า Internet of Things ในสไลด์การบรรยายของเขาเป็นครั้งแรก โดยนิยามเอาไว้ตอนนั้นว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดก็ตามที่สามารถสื่อสารกันได้ได้ก็ถือเป็น “internet-like” หรือพูดง่ายๆก็คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สื่อสารแบบเดียวกับกับระบบอินเตอร์เน็ตนั้นเอง โดยคำว่า “Things” ก็คือคำใช้แทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเหล่านั้น และเขายังกล่าวไว้ว่า Internet of Things อาจจะเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต และอาจจะมากกว่าที่อินเทอร์เน็ตเคยทำ


ต่อมาในยุคหลังปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา โลกมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นจำนวนมาก และมักมีการใช้คำว่า Smart กับสิ่งเหล่านั้น เช่น อุปกรณ์อัจฉริยะ (smart device) กริดไฟฟ้าอัจริยะ (smart grid) บ้านอัจฉริยะ (smart home) เครือข่ายอัจฉริยะ (smart network) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (smart intelligent transportation) ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตได้ จึงมาเป็นแนวคิดที่ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นก็ย่อมสามารถสื่อสารกันได้ด้วยเช่นกัน โดยอาศัยตัว Sensor ในการสื่อสารถึงกัน นั่นแปลว่านอกจาก Smart devices ต่างๆ จะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้แล้วมันยังสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ตัวอื่นได้ด้วย หรือพูดง่าย ๆ ก็คืออุปกณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถสื่อสารพูดคุยกันเองได้

อุปกรณ์ที่เป็น Internet of Things

“Things หรือ สรรพสิ่ง” ในความหมายของ Internet of Things สามารถหมายถึงอุปกรณ์ที่แตกต่างหลากหลาย เช่น อุปกรณ์วัดอัตราหัวใจแบบฝังในร่างกาย แท็กไบโอชิปที่ติดกับปศุสัตว์ ยานยนต์ที่มีเซ็นเซอร์ในตัว อุปกรณ์วิเคราะห์ดีเอ็นเอในสิ่งแวดล้อมหรืออาหาร  อุปกรณ์ภาคสนามที่ช่วยในการทำงานของนักผจญเพลิงในภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ  อุปกรณ์เหล่านี้จะจัดเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ด้วยการใช้เทคโนโลยีหลากหลายชนิดและจากการส่งต่อข้อมูลระหว่างอุปกรณ์อื่น ๆ โดยอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่น 
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ถือว่าเป็น Internet of Things ชิ้นแรกของโลกก็คือ ตู้ ATM ที่เราใช้กดเงินกัน เพราะมันสามารถเชื่อมต่อสื่อสารหากันได้ผ่านเครือข่ายของธนาคารและสาขาต่าง ๆ ซึ่ง ATM นั้นถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1974 ก่อนที่จะมีการนิยามคำว่า Internet of Things
  • เครื่องซักผ้า-อบผ้าที่ต่อกับเครือข่ายไวไฟ เพื่อให้สามารถดูสถานะจากระยะไกลได้ 
  • เครื่องควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ (Smart thermostat) จะปรับค่าต่าง ๆ เองได้ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยดูจากพฤติกรรมของผู้ใช้ อาศัยข้อมูลจากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีไร้สาย และโทรศัพท์สมาร์ตโฟน ทำให้ปรับตั้งอุณหภูมิได้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น สามารถเปิดปิดระบบปรับอากาศเมื่อต้องการใช้โดยอัตโนมัติ เช่น สามารถรู้ว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่บ้านจากตำแหน่ง GPS ที่ส่งมาจากมือถือของเจ้าของบ้าน เทอร์โมสตัทก็จะตัดการทำงานเครื่องปรับอากาศ และในทางกลับกัน เมื่อเจ้าของบ้านกลับมาใกล้บ้านก็จะเริ่มเปิดแอร์ปรับอุณหภูมิลงให้พอเหมาะเมื่อเจ้าของบ้านถึงบ้านพอดี และเทอร์โมสตัทบางรุ่น มี Sensor ในตัว สามารถรู้ได้ว่ามีคนอยู่ในห้องหรือไม่ ถ้าห้องไหนไม่มีคนก็จะปรับอุณหภูมิห้องให้สูงขึ้น ห้องไหนมีคนใช้งานก็จะปรับอุณหภูมิให้พอดี เหมาะกับบ้านหรือสำนักงานที่มีหลายห้องแต่ไม่ได้มีประตูกั้นแยกห้อง และไม่ได้ใช้งานพร้อมกัน
  • กล้องวงจรปิดหรือ CCTV อัจฉริยะ ปัจจุบันกล้อง CCTV ราคาถูกลงมาก กล้องช่วยตรวจจับความผิดปกติทั้งในบ้านหรือในเมืองต่าง ช่วยป้องกันภัยคุกคามได้ จึงเป็นที่นิยมในบ้านอยู่อาศัยมากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย โดยการเชื่อมต่อสัญญาณ WiFi หรือบางรุ่นสามารถใส่ซิมเข้าไปในเครื่องได้เลย และสามารถตรวจสอบข้อมูลภาพและเสียงจากมือถือได้ รวมถึงสามารถเก็บภาพคลิปต่าง ๆ ไปสำรองข้อมูลไว้ที่ระบบ Cloud 
  • นาฬิกาอัจฉริยะ นอกจากใช้ดูเวลาแล้วยังถ่ายรูป บันทึกวิดีโอ รับ-ส่งอีเมล จับเวลา นับก้าวเดิน คำนวณระยะและพลังงานที่ร่างกายใช้นอกจากนี้ยังใช้เป็นรีโมตคอนโทรลของโทรทัศน์ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี Internet of Things นี้ไม่ได้เป็นเพียงส่วนขยายของอินเทอร์เน็ต ที่เรารู้จักกันอยู่เท่านั้น แต่จะเกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของตนได้โดยพึ่งพาอยู่กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งการเกิดประโยชน์จะเป็นในรูปแบบพึ่งพากับบริการ หรือธุรกิจใหม่ และจะสามารถครอบคลุมการสื่อสารในหลายรูปแบบ เช่น เครื่องสู่เครื่อง เครื่องสู่คนเป็นต้น

* หมายเหตุ
RFID (Radio Frequency Indentification) เป็นระบบที่ได้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการใช้งานที่ระบบฉลากแบบบาร์โค๊ดไม่สามารถใช้การได้ โดยจุดเด่นของ RFID คือ ความสามารถในการอ่านข้อมูลของฉลากได้โดยที่ไม่ต้องมีการสัมผัส สามารถอ่านค่าได้แม่นยำแม้ในสภาพที่ทัศนวิสัยไม่ดี ทนต่อความเปียกชื่น แรงสั่นสะเทือน การกระทบกระแทก และสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง

ปัจจุบันมีการนำ RFID มาใช้งานกันในงานหลายงาน ไม่ว่าจะเป็นในบัตรชนิดต่างๆ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตร ATM บัตรเข้าออกสำนักงาน หรือ ในอาคารที่พัก บัตรจอดรถ ฉลากของสินค้า หรือ แม้แต่ใช้ฝั่ง RFID ลงในตัวสัตว์เพื่อบันทึกประวัติ เป็นต้น



เรียบเรียง :
นัชรี อุ่มบางตลาด สถาบัน กศน.ภาคเหนือ


อ้างอิง :
เว็บไซต์ veedvil.com. (2559). ทำความเข้าใจเรื่อง Internet of Things (IoT) เทรนด์ที่หลายคนกำลังพูดถึง. สืบค้นจาก http://www.veedvil.com/news/internet-of-things-iot/

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2559). NTERNET OF THINGS (IOT): เมื่อทุกสิ่งอิงกับอินเทอร์เน็ต. สืบค้นจาก http://oho.ipst.ac.th/internet-of-things/

บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน). (2558). INTERNET OF THINGS…เติมสมองให้อุปกรณ์ผ่านอินเทอร์เน็ต. สืบค้นจาก http://www.catdatacom.com/th/site/news/news_detail/182
Smart Identify. RFID คืออะไร. สืบค้นจาก 
http://www.smartiden.com /index.php?lay=show&ac=article&Id=539310565&Ntype=12

ข้อควรปฏิบัติ และข้อควรระวังในการใช้พร้อมเพย์




ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้โอนเงิน
ก่อนโอนเงินขอให้ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลผู้รับโอนเงินให้ถูกต้องก่อนยืนยันการโอนเงินทุกครั้ง

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้รับโอนเงิน
  • ในการโอนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ ผู้รับโอนเงินจะต้องลงทะเบียนพร้อมเพย์ให้สำเร็จก่อน แล้วจึงแจ้งเลขประจำตัวประชาชน หรือ หมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ ให้ผู้โอนเงินทราบ
  • 1 หมายเลข (ประจำตัวประชาชน หรือโทรศัพท์มือถือ) ผูกได้เพียง 1 บัญชีเท่านั้น อย่าใช้หมายเลขเดียวกันลงทะเบียนซ้ำกับหลายธนาคาร เพราะจะทำให้การลงทะเบียนไม่สำเร็จ
ข้อควรระวังโดยทั่วไปของการใช้บริการพร้อมเพย์
  • ควรระมัดระวังรักษาอุปกรณ์ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือ Mobile Device ที่ใช้เชื่อมต่อทำธุรกรรมเกี่ยวกับระบบพร้อมเพย์เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาไปใช้งาน เช่นเดียวกับการดูแลบัตรเครดิตหรือบัตร ATM 
  • ผู้โอนเงินควรเรียนรู้ ศึกษาวิธีการใช้งานอย่างปลอดภัย ควรมีความระมัดระวังในการตั้งรหัส Username / Password ให้คาดเดาได้ยาก และไม่บอกรหัส Username / Password กับผู้อื่น หรือเขียนเอาไว้ในที่เปิดเผย
  • การตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนยืนยันการโอนเงิน
  • ปัญหาส่วนใหญ่ที่มักมีสาเหตุจากการหลอกลวงโดยคน ไม่ใช่เรื่องของระบบงาน จึงต้องระมัดระวังกลโกงต่าง ๆ ที่หลอกให้โอนเงินไปให้ หรือหลอกขอข้อมูลรหัส Username / Password
หากใช้บริการพร้อมเพย์แล้วโอนเงินผิด ควรทำอย่างไร
รายการที่ทำการยืนยันการโอนเงินไปเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถเรียกรายการคืนได้ และธนาคารไม่สามารถอายัตเงินที่บัญชีปลายทางได้ แต่ธนาคารจะทำหน้าที่ช่วยประสานงานกับบัญชีปลายทางเพื่อขอคืนเงินที่โอนผิดไป ดังนั้น เมื่อพบว่ามีการโอนเงินผิด ให้เก็บหลักฐานการโอนเงิน และติดต่อธนาคารต้นทางที่โอนเงินออกไปทันที โดยสามารถติดต่อได้ทาง Call Center ของธนาคาร

เขียน/เรียบเรียง :
นัชรึ อุมบางตลาด สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

ไขข้อสังสัยเกี่ยวกับพร้อมเพย์ (PromptPay)

  ทุกคนจำเป็นต้องลงทะเบียนพร้อมเพย์หรือไม่
พร้อมเพย์เป็นบริการทางเลือกให้กับประชาชน โดยทุกคนไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน แต่ผู้ที่มีการโอนเงินรับเงินบ่อย ๆ ควรมาลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ เพราะจะได้รับประโยชน์จากค่าธรรมเนียมที่ถูกลงมาก
  • ผู้โอนเงินไม่จำเป็นต้องสมัครใช้บริการพร้อมเพย์ ก็สามารถโอนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ได้ทางช่องทางต่าง ๆ ที่ธนาคารของผู้โอนเงินกำหนด เช่น ตู้ ATM Internet/Mobile Banking หรือสาขาธนาคาร
  • ผู้รับโอนเงิน จะต้องลงทะเบียนเพื่อผูกบัญชีธนาคารของตนเองกับเลขประจำตัวประชาชนหรือหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตนก่อน และแจ้งหมายเลขดังกล่าวให้ผู้โอนทราบ เพื่อรับเงินเข้าบัญชีที่ได้ผูกไว้
  การลงทะเบียนเพื่อใช้บริการพร้อมเพย์ต้องทำอย่างไร
การลงทะเบียนผูกบัญชี เพื่อใช้บริการพร้อมเพย์ สามารถทำด้วยตนเองโดยผ่านช่องทางการลงทะเบียนทาง Internet/Mobile Banking  หรือทางตู้ ATM  แต่หากผู้ใช้ไม่สะดวกหรือไม่เข้าใจวิธีการลงทะเบียน สามารลงทะเบียนผูกบัญชีผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารเจ้าของบัญชีได้ โดยเตรียมเอกสารและข้อมูลที่จำเป็น 3 รายการ คือ
  1. สมุดบัญชี/เลขที่บัญชีเงินฝากธนาคาร (เงินฝากออมทรัพย์ หรือ กระแสรายวัน) 
  2. บัตรประจำตัวประชาชน
  3. โทรศัทพ์มือถือที่ต้องการลงทะเบียน
 มีหลายบัญชีหลายธนาคาร แต่มีหมายเลขโทรศัพท์เพียงเบอร์เดียว ควรเลือกผูกบัญชีธนาคารไหน 
สำหรับผู้ที่มีบัญชีเงินฝากธนาคารหลายบัญชี ไม่จำเป็นต้องมาลงทะเบียนพร้อมเพย์ทุกบัญชี แต่อาจเลือกบัญชีใดบัญชีหนึ่งไว้สำหรับรับเงินด้วยพร้อมเพย์ได้ การตัดสินใจเลือกผูกบัญชีเงินฝากของธนาคารใดกับเบอร์มือถือหรือเลขประจำตัวประชาชน ควรขึ้นอยู่กับความสะดวกและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการเอง และหากได้ลงทะเบียนผูกบัญชีไปแล้ว สามารถที่จะยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงการผูกบัญชีดังกล่าวได้ในภายหลัง

  สามารถผูกบัญชีกับเลขประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้บริการพร้อมเพย์ได้กี่บัญฃี
  •  หมายเลขประจำตัวประชาชนผูกได้เพียง 1 บัญชีเท่านั้น
  • หมายเลขโทรศัพท์มือถือ 1 เลขหมาย ผูกได้กับ 1 บัญชีเท่านั้น
  • บัญชีเงินฝากธนาคาร 1 บัญชี สามารถผูกได้ทั้งกับเลขประจำตัวประชาชนและหมายเลขโทรศัพท์มือถือ
  • บัญชีเงินฝากธนาคาร 1 บัญชีสามารถผูกกับหมายเลขโทรศัพท์มือถือได้สูงสุดตามจำนวนที่ธนาคารกำหนด
ตัวอย่าง เช่น 
  • นาย ก ต้องการใช้ลงทะเบียนพร้อมเพย์เพียง 1 บัญชี จึงผูกหมายเลขบัญชี 1 บัญชี กับหมายเลขประจำตัวประชาชนและหมายเลขโทรศัทพ์มือถือ
  • นาย ข ต้องการใช้พร้อมเพย์หลายบัญชี สามารถเลือกผูกเลขประจำตัวประชาชนกับบัญชีที่ 1 หมายเลขโทรศัทพ์มือถือเบอร์ที่ 1 กับบัญชีที่ 2 และผูกหมายเลขโทรศัทพ์มือถือเบอร์ที่ 2 กับบัญชีที่ 3 
  • นาย ค ต้องการใช้พร้อมเพย์กับหลายบัญชี สามารถเลือกผูกเลขประจำตัวประชาชนกับบัญชีที่ 1 และผูกหมายเลขโทรศัทพ์มือถืออีก 3 หมายเลข เข้ากับบัญชีที่ 2

ปัจจุบัน ผู้ใช้สามารถลงทะเบียนใช้บัญชีพร้อมเพย์ได้สูงสุด 4 บัญชี คือ ผูกกับหมายเลขประจำตัวประชาชนได้ 1 บัญชี และผูกกับหมายเลขโทรศัพท์มือถือได้สูงสุด 3 หมายเลข (1 หมายเลขต่อ 1 บัญชี)

  หมายเลขโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินนำมาลงทะเบียนพร้อมเพย์ได้หรือไม่

  • หมายเลขโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน ที่ได้ลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สามารถนำมาลงทะเบียนพร้อมเพย์ได้ โดยดำเนินการตามเงื่อนไขการพิสูจน์ความเป็นเจ้าของและการถือครอง 
  • ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบว่าโทรศัพท์มือถือของตนได้ลงทะเบียนกับค่ายโทรศัพท์มือถือไว้ด้วยเลขประจำตัวประชาชนของตนเองหรือไม่ ก่อนการลงทะเบียนผูกบัญชีพร้อมเพย์ ซึ่งสามารถเช็คได้ด้วยตนเอง โดยการ กด *179*เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก# และโทรออก โดยใช้ได้กับทุกค่ายมือถือ
  หากได้ลงทะเบียนบริการพร้อมเพย์ด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือไปแล้ว ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงหมายเลขโทรศัพท์ จะต้องทำอย่างไร
กรณีเปลี่ยน/ยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ได้ลงทะเบียนผูกบัญชีไว้แล้ว ต้องแจ้งยกเลิกการลงทะเบียนผูกบัญชีกับธนาคารเจ้าของบัญชีที่เคยลงทะเบียนไว้โดยเร็ว และหากใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือใหม่ และต้องการใช้หมายเลขใหม่กับบริการพร้อมเพย์ จะต้องลงทะเบียนเพื่อผูกหมายเลขโทรศัพท์มือถือใหม่นั้นกับบัญชีเงินฝากธนาคารอีกครั้งหนึ่ง

  กรณีผู้รับโอนเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ได้แจ้งธนาคารหรือแจ้งธนาคารล่าช้า แล้วมีการโอนเงินในช่วงเวลานั้นจะเป็นอย่างไร
เงินจะเข้าบัญชีเดิมที่เคยผูกไว้กับหมายเลขโทรศัพท์เก่า จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการผูกบัญชีกับเบอร์โทรศัพท์นั้น อย่างไรก็ตาม หากหมายเลขโทรศัทพ์เบอร์นี้เปลี่ยนเจ้าของใหม่ เจ้าของใหม่จะนำเบอร์นี้ไปลงทะเบียนพร้อมเพย์ไม่ได้ จนกว่าเจ้าของเดิมจะยกเลิกการลงทะเบียนก่อน

  หากย้ายค่ายโทรศัพท์มือถือ หรือเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์ใหม่ แต่ใช้เบอร์เดิม ต้องลงทะเบียนพร้อมเพย์อีกหรือไม่
หากมีการย้ายค่ายโทรศัพท์มือถือ หรือเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์มือถือใหม่ โดยยังคงใช้หมายเลขเดิม ไม่ต้องดำเนินการอะไรเพิ่มเติมกับธนาคาร เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทะเบียนผูกบัญชีเงินฝากหรือการใช้บริการโอนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์แต่อย่างใด

  หากมีคนรู้เลขบัตรประชาชนหรือเบอร์มือถือของเรา จะสามารถโอนเงินออกจากบัญชีเราได้หรือไม่ 
ไม่ได้ เนื่องจากการโอนเงินออกจากบัญชี จะต้องใช้ข้อมูลอื่น ๆ ประกอบ เช่น หากต้องการโอนเงินผ่านตู้ ATM จะต้องมีบัตรเดบิตหรือบัตรเอทีเอ็ม และรหัสผ่านเพื่อเข้าทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็ม หรือหากต้องการโอนเงินออกจาก Mobile Banking หรือ Internet Banking ก็จะต้องมีข้อมูล Username และ Password จึงจะสามารถเข้าทำรายการได้



เรียบเรียง :
นัชรี อุ่มบางตลาด สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง :
ธนาคารไทยพาณิชย์. (2561). พร้อมเพย์ คำถามที่พบบ่อย. สืบค้นจาก https://promptpay.scb/faq

ธนาคารกรุงไทย. (2561). คำถามที่พบบ่อย. สืบค้นจาก https://www.ktb.co.th/th/contact-us/others/corporate/faq

สุภาษิตล้านนา : คำสอน อุปมา

จิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน

คำอุปมา : กำอู้นักผาชญ์เหมือนดาบสองคม กำอู้คนง่าวงม เหมือนลมปั๊ดป๋ายไม้
คำแปล : คำพูดนักปราชญ์เหมือนดาบสองคม คำพูดคนโง่งมเหมือนลมพัดปลายไม้
ความหมาย : คำพูดนักปราชญ์ฟังแล้วแปลความไม่ถูกต้องหรือเอาไปใช้ผิดๆก็เกิดโทษได้ คำพูดของคนโง่จะไม่เกิดผลใด ๆ เหมือนลมพัดยอดไม้แค่โยกไหวเล็กน้อยไม่ทำให้กิ่งไม้หักได้


คำอุปมา : แก๋งจ๋างกึ๊ดถึงเกลื๋อ หนูขบเสื้อกึ๊ดถึงแมว
คำแปล : แกงจืดคิดถึงเกลือ หนูกัดเสื้อคิดถึงแมว
ความหมาย : ต่อเมื่อเกิดเหตุเดือดร้อน จำเป็น จึงจะนึกถึงผู้ที่เคยให้ความช่วยเหลือ


คำอุปมา : กว๋างฟานต๋ายเหล่าเก่า งูเห่าต๋ายฮูเดิม
คำแปล : กวางเก้งตายแหล่งเก่า งูเห่าตายรูเดิม
ความหมาย : กวาง เก้งมักไม่เปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง จะอยู่ในป่าเดิม ๆ เหมือนงูเห่าก็มักจะไม่เปลี่ยนรูง่าย ๆ นักล่าจะรู้และล่าได้ง่าย เป็นคำสอนว่าถ้าทำอะไรแล้ว ไม่รู้จักปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมักจะไม่ได้ผลงานที่ดี


คำอุปมา : ข้ามน้ำหลายต้า ข้าวหม่าหลายเมือง
คำแปล : ข้ามน้ำหลายท่า ข้าวหม่าหลายเมือง
ความหมาย : ข้ามน้ำหลายท่าหมายถึงการทำอะไรซ้ำ ๆ ทำให้เสียเวลาเหนื่อยเปล่า
ข้าวหม่าหลายเมือง คือการที่เอาข้าวที่แช่จากที่ต่าง ๆ มารวมกันแล้วนึ่ง จะสุกไม่พร้อมกัน เปรียบเหมือนเอาคนที่มีศีลไม่เสมอกันหรือคนที่ความคิดไม่ลงรอยกันมาทำงานด้วยกันจะใช้เวลานานกว่างานจะสำเร็จ


คำอุปมา : ข้าวลีบมันตึงบ่งอก
คำแปล : ข้าวลีบยังไงก็ไม่งอก
ความหมาย : คนที่พื้นฐานไม่ดี หรือต้นทุนไม่มี ทำอย่างไรก็ไม่มีโอกาสได้เติบโต


คำอุปมา : คนหลับลุกเจ๊ากิ๋นผักยอดป๋าย คนหลับลุกขวายกิ๋นผักยอดเก๊า
คำแปล : คนตื่นเช้ากินผักปลายยอด คนตื่นสายกินผักส่วนโคน
ความหมาย : คนที่ตื่นแต่เช้าไปเก็บผักก่อนก็จะเลือกเด็ดเอายอดอ่อน ๆ คนตื่นสายไปเก็บทีหลังก็จะเหลือแต่ส่วนโคน เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า คนที่ขยันกระตือรือร้นก็จะได้รับโอกาสที่ดีกว่า คนที่ขี้เกียจ เชื่องช้าก็จะได้สิ่งที่เหลือจากคนอื่นเท่านั้น


คำอุปมา : คว่ำมือเป๋นลาย หงายมือเป๋นดอก
คำแปล : คว่ำมือเป็นลาย หงายมือเป็นดอก
ความหมาย : คนที่มีความชำนาญทำอะไรก็เป็นผล


คำอุปมา : งาจ้างหักขำเศิก นอนหลับเดิกก็บ่เสียก๋าน
คำแปล : งาช้างหักคาศึก นอนหลับดึกก็ไม่เสียงาน
ความหมาย : สิ่งของหรือเวลาที่สูญเสียไปแต่ก็ก่อให้เกิดประโยชน์


คำอุปมา : งูจะขบล่นหาค้อน เผื่อฮู้คิงน้ำปิงปอแห้ง
คำแปล : งูจะกัดวิ่งหาฆ้อน กว่าจะรู้สึกตัวแม่น้ำปิงก็แห้งไปแล้ว
ความหมาย : ไม่มีความระมัดระวังหรือเตรียมการไว้ก่อน กว่าจะรู้สึกตัวหรือคิดได้ ก็สายเสียแล้ว


คำอุปมา : จะหามก้ออาย จะสะปายก้อหนัก
คำแปล : จะหามก็อาย จะสะพายก็หนัก
ความหมาย : คนไม่เอาการเอางานอะไรก็ไม่ทำ ทำนองเดียวกับหนักไม่เอาเบาไม่สู้


คำอุปมา : จักกิ๋นก้อขี้จ๊ะ จักละก้อเสียดาย
คำแปล : จะกินก็รังเกียจ จะทิ้งก็เสียดาย
ความหมาย : การตกอยู่ในภาวะเลือกไม่ได้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


คำอุปมา : จ๋ำลงน้ำก้อว่าตั๋วฟู จ๋ำจ๊กฮูก้อว่าแขนสั้น
คำแปล : ใช้ให้ลงน้ำก็บอกว่าตัวลอย ใช้ให้ล้วงเข้าไปในรูก็บอกว่าแขนสั้น
ความหมาย : คนไม่เอาการเอางาน ให้ทำอะไรก็มีข้ออ้างได้ทุกเรื่อง


คำอุปมา : จ่อมเบ็ดเลี้ยงแขก แบกด้ามไม้เสี้ยงเฮือน
คำแปล : ตกเบ็ดเลี้ยงแขก แบกหน้าไม้หมดบ้าน
ความหมาย : การกระทำใดที่เร่งรีบ เฉพาะหน้าไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้ทำให้เสียเวลาเปล่า (ตกเบ็ดเพื่อจะเอาปลาไปเลี้ยงแขกเมื่อไหร่จะได้กิน เช่นเดียวกับแบกหน้าไม้ไปซุ่มยิงสัตว์จะได้หรือไม่ก็ไม่รู้)


คำอุปมา : น้ำบ่เต๋มต้นมันตึงสว่ายดัง
คำแปล : น้ำไม่เต็มคนโทเขย่ามันจะมีเสียงดัง
ความหมาย : คนโทที่มีน้ำไม่เต็มเวลาเขย่ามันจะมีเสียง ถ้าน้ำเต็มคนโทเขย่าจะไม่มีเสียง เป็นการเปรียบเทียบว่าคนมีความรู้ไม่มากมักจะพูดมาก คนที่เขามีความรู้มากมักจะไม่ค่อยพูด


คำอุปมา : น้ำเย็นปล๋าข้อน น้ำฮ้อนปล๋าหนี
คำแปล : น้ำเย็นปลาชุม น้ำรัอนปลาหนี
ความหมาย : บริเวณไหนที่น้ำเย็นปลาจะไปกระจุกตัวอยู่ แต่ที่ไหนน้ำร้อนปลาจะว่ายหนีหมด เปรียบได้กับที่ไหนมีความสงบสุข ผู้คนจิตใจดีเป็นมิตรใครก็อยากไปอยู่ แต่ที่ไหนหรือบุคคลใดที่อยู่ใกล้แล้วไม่สงบสุข ไม่สบายใจ ก็ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย


คำอุปมา : หน่วยนักหนักกิ่ง กำกึ๊ดยิ่งหนักใจ๋
คำแปล : ลูกผลมากหนักกิ่ง ความคิดยิ่งหนักใจ
ความหมาย : ไม้ผลหากมีลูกดกก็จะทำให้กิ่งรับน้ำหนักมาก เหมือนความคิดของคน ยิ่งคิดมากก็ยิ่งหนักใจ เปรียบได้กับคนเรา ถ้าไม่ปล่อยวางหรือปลงให้ตก ก็ต้องแบกรับความทุกข์เอาไว้


คำอุปมา : บ่มีฝาย ข้าวจ้างต๋ายแดด
คำแปล : ไม่มีฝาย ข้าวมักตายเพราะแดด
ความหมาย : หากไม่มีฝายก็ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าว พอโดนแสงแดดเผาข้าวก็จะตาย ความหมายก็คือ ถ้าไม่มีสิ่งที่มาเกื้อหนุนก็มักจะไปไม่รอด


คำอุปมา : ไม้เล่มเดียวบ่เป๋นก๋อ ป๋อต้นเดียวบ่เป๋นเหล่า
คำแปล : ไม้เล่มเดียวไม่เป็นกอ ปอต้นเดียวไม่เป็นป่า
ความหมาย : ไม้ไผ่เพียงลำเดียวไม่สามารถเป็นกอได้ เช่นเดียวกับต้นปอต้นเดียวก็เป็นป่าไม่ได้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า การอยู่โดยไม่ปฏิสัมพันธ์ ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ในที่สุดก็จะโดดเดี่ยวไม่มีพรรคไม่มีพวก


คำอุปมา : หมาบ่เห่าบ่ดีเปี๋ยไม้ ลูกบ่ไห้บ่ดีเปิดนม
คำแปล : หมาไม่เห่าไม่ควรคว้าไม้ ลูกไม่ร้องไห้ไม่ควรเปิดนม
ความหมาย : หมายังไม่ทันเห่าไม่ควรคว้าไม้เตรียมจะตีเขา ลูกไม่ร้องไห้หิวนมไม่ควร เปิดเสื้อให้ลูกดูดนม เป็นคำสอนทำนองที่ว่าอย่าทำการใด ๆไว้ก่อนโดย คิดเอาเองว่าจะเกิดสิ่งนั้น ๆ หรืออย่าตีตนไปก่อนไข้


คำอุปมา : อ๊ดส้มได้กิ๋นหวาน อ๊ดสานได้ซ้า
คำแปล : อดเปรี้ยวได้กินหวาน อดทนสานได้ตะกร้า
ความหมาย : ยอมอดทนไม่เก็บผลไม้ที่ยังไม่แก่มากิน รอกินตอนที่สุกจะหวานกว่า เช่นเดียวกับใช้ความมานะอดทนจักสานในที่สุดก็จะได้ตะกร้าไว้ใช้ เป็นการสอนให้รู้จักอดทนและรอคอย ลำบากในวันนี้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่าในวันหน้า


คำอุปมา : อยู่ไปต๋ามน้ำ กระทำไปต๋ามตั๋ว น้ำเปียงใด ดอกบัวเปียงอั้น
คำแปล : อยู่ไปตามน้ำ กระทำไปตามตัว น้ำอยู่เพียงใด ดอกบัวอยู่เพียงนั้น
ความหมาย : เป็นคำสอนเปรียบเปรยว่า อยู่ในสังคมใดให้เป็นไปตามสังคมส่วนใหญ่นั้น ๆ อย่าทำตัวแปลกแยกหรือทำตัวให้เด่นเกินคนอื่น



รวบรวม/เรียบเรียง :
กมลธรรม ชื่นพันธุ์
สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

สุภาษิตล้านนา : คติ คำสอน

ภาพจิตรกรรมวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน 

คำสอน : กันเข้าวัดหื้ออู้กำผาชญ์ กันเข้ากาดหื้อเป๋นป้อก๊า
คำแปล : ถ้าเข้าวัดให้พูดจาภาษานักปราชญ์ ถ้าเข้าตลาดให้ทำตัวเป็นพ่อค้า
ความหมาย : อยู่ในสังคมไหนให้ปฏิบัติตัวกลมกลืนกับสังคมนั้น เหมือนภาษิตไทยที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม


คำสอน : กิ๋นส้มบ่ดีฮาน กิ๋นหวานบ่ดีป้ำ
คำแปล : จะกินผลไม้เปรี้ยวไม่ควรทอนกิ่ง จะกินผลไม้หวานไม่ควรล้มต้น
ความหมาย : ไม่ควรทำลายและทำร้ายผู้มีพระคุณ


คำสอน : กิ๋นหื้อปอต๊อง หย้องหื้อปอตั๋ว
คำแปล : กินให้พอดีท้อง แต่งองค์ทรงเครื่องให้พอดีตัว
ความหมาย : ทำอะไรให้รู้จักประมาณตน ไม่ทำอะไรเกินตัว


คำสอน : กิ๋นหื้อปอคาบ หาบหื้อปอแฮง แป๋งหื้อปอใจ๋ ไข้หื้อปอนอน
คำแปล : กินให้พอมื้อ หาบให้พอแรง ทำให้พอใจ ไข้ให้พอนอน
ความหมาย : จะทำสิ่งใด ให้รู้จักประมาณตนเอง ทำเต็มที่ตามกำลังตน


คำสอน : กำจ่มกำด่ามีก้าเสี้ยงตี้ ถ้าฟังบ่ดีมันตึงบ่ม่วนหู
คำแปล : คำบ่นคำด่ามีค่าที่สุด ถ้าฟังไม่ดีมักไม่สนุกหู
ความหมาย : คำบ่น คำด่าของพ่อ แม่ ผู้หลักผู้ใหญ่จะเป็นคำสอนที่ดี ถึงจะฟังไม่ไพเราะรื่นหูก็ตาม


คำสอน : เก็บผักหื้อเอาตึงเครือ เก็บบ่าเขือหื้อเอาตึงขวั้น
คำแปล : เก็บผักให้เอาทั้งเถา เก็บมะเขือให้เอาทั้งขวั้น
ความหมาย : เก็บผักทั้งเถา ไม่เหี่ยวง่าย เก็บมะเขือทั้งขวั้นจะเก็บไว้ได้นาน เปรียบเหมือนการ รักคนรักก็ให้รักทั้งพ่อ แม่ พี่ น้องเขาด้วย


คำสอน : ของจักเสียหื้อรีบไจ๊ ของจักได้หื้อรีบเอา
คำแปล : ของที่มักจะเสียให้รีบนำมาใช้ ของที่ควรจะได้ให้รีบเอา
ความหมาย : การรู้จักจัดลำดับความสำคัญ อะไรก่อนอะไรหลังและเมื่อโอกาสมาถึงให้รีบคว้าไว้


คำสอน : คนตกต่ำต่าวนอนหงาย บ่ดีก๋ายเหยียบข้าม
คำแปล : คนที่ตกต่ำล้มนอนหงาย ไม่ควรผ่านเหยียบข้าม
ความหมาย : คนที่พาดพลั้งตกต่ำ ไม่ควรจะเหยียบย่ำซ้ำเติมเขา เปรียบได้ก็คือคนล้มอย่าข้าม


คำสอน : ไค่หล็วกหื้ออยู่ใกล้นักผาชญ์ ไค่ฉลาดหื้อหัดไจ๊อ่องออ
คำแปล : อยากฉลาดรอบรู้ให้อยู่ใกล้นักปราชญ์ อยากฉลาดให้ฝึกใช้สมอง
ความหมาย : ถ้าอยากเป็นคนฉลาดก็ต้องหาโอกาสใกล้ชิดเพื่อเรียนรู้จากนักปราชญ์ ผู้รู้ และ ต้องฝึกคิด ฝึกใช้สมอง


คำสอน : จะไปหล็วกก่อนหมอ จะไปซอก่อนปี่
คำแปล : อย่าฉลาดก่อนหมอ อย่าซอก่อนปี่
ความหมาย : อย่าชิงทำเป็นฉลาดรอบรู้ก่อนผู้รู้หรือนักปราชญ์ก่อนที่เขาจะพูดจะบอก และ อย่าซอก่อนปี่ เพราะปี่เป็นตัวนำทำนองซอ ถ้าซอก่อนปี่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ทำนอง ไหน นั่นก็คืออย่าทำการใดๆก่อนการกำหนดแนวทางให้ได้เสียก่อน


คำสอน : จะไปเปิดเสื้อหื้อเปิ้นหันหลัง จะไปลอกหนังหื้อเปิ้นหันจิ๊น
คำแปล : อย่าเปิดเสื้อให้คนเขาเห็นหลัง อย่าลอกหนังให้คนเขาเห็นเนื้อ
ความหมาย : เรื่องส่วนตัว เรื่องภายในครอบครัว หรือองค์กร บางอย่างก็ไม่สมควรนำไปเปิดเผย


คำสอน : จะหนีหื้อเปิ้นเสียดาย จะต๋ายหื้อเปิ้นเล่าไว้
คำแปล : จะหนีให้คนเขาเสียดาย จะตายให้คนเขาเล่าไว้
ความหมาย : อยู่ที่ไหนให้ทำตัวเป็นประโยชน์ เมื่อจากไปอยู่ที่อื่นคนเขาจะได้เสียดาย และถ้า จะต้องตายก็ให้เป็นที่กล่าวขวัญถึง


คำสอน : ไต่ขัวบ่ป๊น จะไปฟั่งห่มก้นโยนฮาว
คำแปล : ข้ามสะพานยังไม่พ้น อย่าเพิ่งกระโดดโลดเต้น
ความหมาย : กระทำการใดยังไม่สำเร็จสมบูรณ์ อย่าเพิ่งดีใจ หรือกระทำการใดมีคนมาให้ คำแนะนำยังไม่ทันจบก็บอกว่าพอแล้ว รู้แล้ว สุดท้ายก็ทำต่อไม่ได้


คำสอน : ตอกสั้นหื้อมัดตี้กิ่ว สิ่วสั้นหื้อสิ่วไม้บาง
คำแปล : ตอกสั้นให้มัดที่คอด สิ่วสั้นให้สิ่วไม้บาง
ความหมาย : ทำสิ่งใดให้คำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพ


คำสอน : นกบ่บินจะไปเขิงปีกอ้า ควายบ่กิ๋นหญ้า จะไปเต้กเขามันลง
คำแปล : นกไม่บินอย่าขึงปีกให้อ้า ควายไม่กินหญ้า อย่าไปกดเขามันลง
ความหมาย : อย่าไปฝืนให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจทำ


คำสอน : ปี้น้องผิดกั๋น เหมือนพร้าฟันน้ำ
คำแปล : พี่น้องทะเลาะกัน เหมือนมีดฟันน้ำ
ความหมาย : พี่กับน้อง คือสายเลือดเดียวกัน ย่อมตัดกันไม่ขาด เปรียบได้กับการเอามีดไปฟันน้ำ ฟันอย่างไรน้ำก็ไม่มีวันขาด เป็นการสอนให้รักใคร่ดูแลและไม่ทอดทิ้งกัน


คำสอน : เว้นหมาหื้อปอศอก เว้นวอกหื้อปอวา เว้นคนปาลาหื้อไกล๋แสนโยชน์
คำแปล : เว้นหมาให้พอศอก เว้นวอกให้พอวา เว้นคนพาลให้ไกลแสนโยชน์
ความหมาย : สิ่งที่เป็นอันตราย ควรหลีกเว้นให้ไกล โดยเฉพาะคนพาลควรอยู่ห่างที่สุด


คำสอน : เหล็กบ่เหลี้ยมเปิ้นบ่เอาจี คนบ่ดีเปิ้นบ่เอามาไจ๊
คำแปล : เหล็กไม่แหลมคนเขาไม่เอามาแทง คนไม่ดีเขาไม่เอามาใช้
ความหมาย : ข้าวของเครื่องใช้ที่คุณสมบัติไม่ตรงตามที่จะใช้ก็ไม่ควรเอามาใช้ เช่นเดียวกับคนที่ไม่ดีใครก็ไม่เอามาใช้งาน


คำสอน : อย่าเอาคนใบ้นำหน้า อย่าเอาคนต๋าบอดนำทาง
คำแปล : อย่าเอาคนใบ้นำหน้า อย่าเอาคนตาบอดนำทาง
ความหมาย : ไม่ควรเอาคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวในเรื่องนั้น ๆ มาชี้นำ หรือมาเป็นผู้นำ


คำสอน : อย่าอวดสูงกว่าป้อ แม่ อย่าอวดแก่กว่าอาจารย์
คำแปล : อย่าอวดสูงกว่าพ่อแม่ อย่าอวดแก่กว่าอาจารย์
ความหมาย : อย่าอวดตัวเหนือกว่าผู้มีพระคุณ ผู้มีประสบการณ์ ที่ได้เลี้ยงดูหรือประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้


รวบรวบ/เรียบเรียง :
กมลธรรม ชื่นพันธุ์
สถาบัน กศน.ภาคเหนือ