tag:blogger.com,1999:blog-37517140904471737482024-02-03T01:00:35.785+07:00คลังความรู้ออนไลน์ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือUnknownnoreply@blogger.comBlogger172125tag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-38684240200622027792023-12-08T14:11:00.001+07:002023-12-08T14:11:52.251+07:00สารเคมีในบ้านทุกครัวเรือนจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องครัว ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนบุคคล หรือแม้แต่ยาฆ่าแมลง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายในบ้านเหล่านี้ประกอบด้วยสารเคมีบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อสมาชิกในครอบครัวและสัตว์เลี้ยง โดยถ้านำไปใช้ เก็บ หรือทำลายทิ้ง อย่างไม่ถูกวิธี อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม หรืออาจติดไฟทำลายทรัพย์สินได้ อย่างไรก็ตามถ้ารู้จักใช้ เก็บและทิ้งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างถูกวิธี เราก็จะสามารถป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ และใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย <div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQ_Ga9U_4onW_0-n_DracmxOmg5dymonqY3wVpj7a3tBIn-njI0aBJnSNKcI7W5350YeDXkKPNae2S-Q7C26zZdSq36XV6NRIW7FBPudDyZbqaycVEGHBjHVfN3_E3aDMFsI5wad3I64vUNW05VeBWwVyXGlvga2E4JDb8nh3ZGy2M4vewSlJtz4qMXaY/s480/HE256602-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="320" data-original-width="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQ_Ga9U_4onW_0-n_DracmxOmg5dymonqY3wVpj7a3tBIn-njI0aBJnSNKcI7W5350YeDXkKPNae2S-Q7C26zZdSq36XV6NRIW7FBPudDyZbqaycVEGHBjHVfN3_E3aDMFsI5wad3I64vUNW05VeBWwVyXGlvga2E4JDb8nh3ZGy2M4vewSlJtz4qMXaY/s16000/HE256602-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">ภาพจาก freepix</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;"><b><span style="color: #741b47;">ทำไมสารเคมีที่ใช้ภายในบ้านจึงเป็นอันตราย</span></b></div><div class="separator" style="clear: both;">ผลิตภัณฑ์เคมีที่ใช้ภายในบ้านบางชนิดอาจมีอันตราย โดยอย่างน้อยอาจมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น เป็นพิษ มีฤทธิ์กัดกร่อน ติดไฟได้ หรือทำปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ น้ำยาทำความสะอาดทั่วไป ยาฆ่าแมลง สเปรย์ชนิดต่าง ๆ น้ำยาขจัดคราบไขมัน น้ำมันเชื้อเพลิง สีและผลิตภัณฑ์ที่ถูกทาสีมาแล้ว แบตเตอรี่ และหมึก </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;">ผลิตภัณฑ์และสารเคมีต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนมากถ้าได้รับหรือสัมผัสในปริมาณที่น้อยคงไม่ก่อให้เกิดอันตรายมากนัก แต่ถ้าได้รับหรือสัมผัสในปริมาณที่มาก หรือในกรณีอุบัติเหตุ เช่น สารเคมีหกรดร่างกาย หรือรั่วออกจากภาชนะบรรจุ ก็อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันหลายชนิด สารที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะมีสารเคมีเป็นองค์ประกอบ สามารถจำแนกเป็นสารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรุงรสอาหาร สารแต่งสีอาหาร สารทำความสะอาด สารกำจัดแมลงและศัตรูพืช เป็นต้น ในการจำแนกสารเคมี เราใช้วัตถุประสงค์ในการใช้เป็นเกณฑ์การจำแนก ดังรายละเอียดต่อไปนี้</div><div><br /></div></div></div><b><span style="color: #741b47;">ประเภทสารเคมีที่ใช้ในบ้านจำแนกตามวัตถุประสงค์ในการใช้</span></b><br /><div><b>1. สารปรุงแต่งอาหาร </b>หมายถึง สารปรุงรสอาหาร ใช้ใส่ในอาหารเพื่อทำให้อาหารมีรสดีขึ้น เช่น น้ำตาล น้ำปลา น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ และให้รสชาติต่าง ๆ เช่น น้ำตาลให้รสหวาน เกลือ น้ำปลา ให้รสเค็ม น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยว สารปรุงแต่งอาหาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ <br />1.1 ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น<br />1.2 ได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก อัญชัน เป็นต้น<br /><br /></div><div><b>2. เครื่องดื่ม </b>มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก บางประเภทได้คุณค่าทางโภชนาการ บางประเภทดื่มแล้วไปกระตุ้นระบบประสาท และบางประเภทดื่มเพื่อดับกระหาย แบ่งออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ น้ำดื่มสะอาด น้ำผลไม้ นม น้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ชาและกาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์</div><div><br /><b>3. สารทำความสะอาด </b>มีคุณสมบัติในการกำจัดความสกปรกต่าง ๆ และฆ่าเชื้อโรค แบ่งได้ 2 ประเภท คือ<br />3.1 ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำยาล้างจาน สบู่ก้อน สบู่เหลว แชมพูสระผม ผงซักฟอก สารทำความสะอาดพื้นเป็นต้น<br />3.2 ได้จากธรรมชาติ เช่น น้ำมะกรูด มะขามเปียก เกลือ เป็นต้น</div><div><br /><b>4. สารกำจัดแมลง และสารกำจัดศัตรูพืช </b>คือสารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ป้องกัน กำจัด และควบคุมแมลงต่าง ๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง ชนิดเม็ด และชนิดน้ำ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ <br />4.1 ได้จากการสังเคราะห์ เช่น สารฆ่ายุง สารกำจัดแมลง เป็นต้น<br />4.2 ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เป็นต้น<br /><div style="text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbo3tFt1BbKKxhs1wt_v4_eYNSB5Bye8R3_wWNQfu6rHIv8hknaCAUOxqvmwfczBKy6PoQyDSgDS3ejQ-GhGRDkdPrAWYlzuT2a-c2XYVYm_FzYWvwyCXhYoY8KH04TzVxzWpzmnaO1tGg0XrjrBRaT-BhTsIRVtBtRQ-nbEPAhJAPOjpb2W3a5fuAge4/s560/HE256602-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="200" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbo3tFt1BbKKxhs1wt_v4_eYNSB5Bye8R3_wWNQfu6rHIv8hknaCAUOxqvmwfczBKy6PoQyDSgDS3ejQ-GhGRDkdPrAWYlzuT2a-c2XYVYm_FzYWvwyCXhYoY8KH04TzVxzWpzmnaO1tGg0XrjrBRaT-BhTsIRVtBtRQ-nbEPAhJAPOjpb2W3a5fuAge4/s16000/HE256602-2.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;"><div><b>5. เครื่องสำอาง</b></div><div>เครื่องสำอาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบร่างกาย เพื่อใช้ทำความสะอาด ให้เกิดความสดชื่น ความสวยงาม และเพิ่มความมั่นใจ เครื่องสำอาง แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ </div><div>5.1 สำหรับผม เช่น แชมพู ครีมนวด เจลแต่งผม ฯลฯ</div><div>5.2 สำหรับร่างกาย เช่น สบู่ ครีม และโลชั่นทาผิว ยาทาเล็บ น้ำยาดับกลิ่นตัว แป้งโรยตัว ฯลฯ</div><div>5.3 สำหรับใบหน้า เช่น ครีม โฟมล้างหน้า แป้งผัดหน้า ลิปสติก ดินสอเขียนคิ้ว และดินสอเขียนขอบตา</div><div>5.4 น้ำหอม</div><div>5.5 เบ็ดเตล็ด เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามัย ยาสีฟัน ฯลฯ</div><div><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHPV0TgSRrpXPD6NcdnkeZkOygmvvaLptcOskoBRKc33h4ztJX1TxkKu-5rpnU22HzQW1gGa2-t1gwNSPb8v4TfsverQgNnjQgP8f5MwlybAyjJDUj8SjBPdYjhBwXtdHefkYVIDVOwCZCyqOgylTBfkMxbeprzZJsZJlSRh3z-M8tc7AN_mAOM6W5xlo/s560/HE256602-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="200" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHPV0TgSRrpXPD6NcdnkeZkOygmvvaLptcOskoBRKc33h4ztJX1TxkKu-5rpnU22HzQW1gGa2-t1gwNSPb8v4TfsverQgNnjQgP8f5MwlybAyjJDUj8SjBPdYjhBwXtdHefkYVIDVOwCZCyqOgylTBfkMxbeprzZJsZJlSRh3z-M8tc7AN_mAOM6W5xlo/s16000/HE256602-3.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;"><b><span style="color: #741b47;">สิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อให้บ้านของคุณปลอดภัย</span><br /></b><b>1. การจัดเก็บผลิตภัณฑ์ </b>จัดเก็บผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไว้ในที่ที่แห้งและเย็น ห่างจากความร้อน จัดวางบนพื้นหรือชั้นที่มั่นคง และเก็บให้เป็นระบบ ควรแยกเก็บผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ติดไฟได้ ทำปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ หรือเป็นพิษ ไว้บนชั้นต่างหาก และทำความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด ควรจดจำให้ได้ว่าเก็บไว้ที่ใด และแต่ละผลิตภัณฑ์มีวัตถุประสงค์ในการใช้อย่างไร เมื่อใช้เสร็จแล้วควรนำมาเก็บไว้ที่เดิมทันที และตรวจให้แน่ใจว่าภาชนะทุกชิ้นมีฝาปิดที่แน่นหนา ผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตราย ได้แก่</div></div></div><div><ul style="list-style-type: circle;"><li>ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในบ้าน เช่น น้ำยาเช็ดกระจก แอมโมเนีย น้ำยาฆ่าเชื้อ น้ำยาทำความสะอาดพรม น้ำยาขัดเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งสเปรย์ปรับอากาศ เป็นต้น</li><li>ผลิตภัณฑ์ซักผ้า เช่น ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาฟอกสีผ้า เป็นต้น</li><li>ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เช่น สเปรย์ใส่ผม น้ำยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ น้ำยากำจัดขน น้ำยาย้อมผม เครื่องสำอางอื่น ๆ เป็นต้น</li><li>ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในสวน เช่น ปุ๋ย ยากำจัดวัชพืช ยาฆ่าแมลง เป็นต้น</li><li>ผลิตภัณฑ์เพื่อการบำรุงรักษาบ้าน เช่น สีทาบ้าน กาว น้ำยากันซึม น้ำมันล้างสี เป็นต้น</li><li>ผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเบรค น้ำมันเครื่อง น้ำยาล้างรถ น้ำยาขัดเงา เป็นต้น</li></ul><div><div><b>2. อ่านฉลากก่อนใช้งาน</b> ผลิตภัณฑ์สารเคมีทุกชนิดต้องมีฉลาก และต้องอ่านฉลากก่อนใช้งานทุกครั้ง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายควรต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง อ่านฉลากและทำตามวิธีใช้อย่างถูกต้องรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าฉลากมีคำว่า อันตราย (Danger) สารพิษ (Poison) คำเตือน (Warning) หรือ ข้อควรระวัง (Caution) โดยมีรายละเอียดอธิบายได้ดังนี้</div><div><ul style="list-style-type: circle;"><li>อันตราย (Danger) แสดงให้เห็นว่าควรใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ สารเคมีที่ไม่ได้ถูกทำให้เจือจาง เมื่อสัมผัสถูกกับตาหรือผิวหนังโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นถูกกัดทำลาย หรือสารบางอย่างอาจติดไฟได้ถ้าสัมผัสกับเปลวไฟ</li><li>สารพิษ (Poison) คือ สารที่ทำให้เป็นอันตราย หรือ ทำให้เสียชีวิต ถ้าถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง รับประทาน หรือ สูดดม คำนี้เป็นเป็นข้อเตือนถึงอันตรายที่รุนแรงที่สุด</li><li>เป็นพิษ (Toxic) หมายถึง เป็นอันตราย ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำหน้าที่ผิดปกติไป หรือ ทำให้เสียชีวิตได้ ถ้าถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง รับประทาน หรือ สูดดม</li><li>สารก่อความระคายเคือง (Irritant) หมายถึง สารที่ทำให้เกิดความระคายเคือง หรืออาการบวมต่อผิวหนัง ตา เยื่อบุ และระบบทางเดินหายใจ</li><li>ติดไฟได้ (Flammable หรือ Combustible) หมายถึง สามารถติดไฟได้ง่าย และมีแนวโน้มที่จะเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็ว</li><li>สารกัดกร่อน (Corrosive) หมายถึง สารเคมี หรือไอระเหยของสารเคมีนั้นสามารถทำให้วัสดุถูกกัดกร่อน ผุ หรือสิ่งมีชีวิตถูกทำลายได้</li></ul></div></div></div><div><b>3. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์เท่าที่ต้องการใช้เท่านั้น</b> อย่าซื้อสิ่งที่ไม่ต้องการใช้ เพราะเสมือนกับเป็นการเก็บสารพิษไว้ใกล้ตัวโดยไม่จำเป็น พยายามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้หมดก่อนซื้อมาเพิ่ม ถ้ามีของที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วเหลืออยู่ ควรบริจาคให้กับผู้ที่ต้องการใช้ต่อไป หรือไม่ก็ควรเก็บและทำฉลากให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉลากใกล้หลุดหรือฉีกขาด และควรทิ้งผลิตภัณฑ์ที่เก่ามากๆ ซึ่งไม่ควรนำมาใช้อีกต่อไป</div><div><b>4. เก็บให้ไกลจากเด็ก</b> สารทำความสะอาดหรือสารเคมีที่ใช้ภายในบ้านอาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ควรเก็บในตู้ที่เด็กเอื้อมไม่ถึง อาจล็อคตู้ด้วยถ้าจำเป็น สอนเด็ก ๆ ในบ้านให้ทราบถึงอันตรายจากสารเคมี นอกจากนี้ ควรจดเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินไว้ใกล้กับโทรศัพท์หรือที่เห็นชัดเจน เบอร์โทรศัพท์เหล่านี้ ได้แก่ รถพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ใกล้บ้าน สถานีดับเพลิง สถานีตำรวจ หน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสารพิษ และแพทย์ประจำตัว</div><div><div><b>5. ไม่เก็บสารเคมีปะปนกับอาหาร</b> ทั้งนี้เนื่องจากสารเคมีอาจหกหรือมีไอระเหยทำให้ปนเปื้อนกับอาหารได้ และเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีเสร็จแล้วควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง</div><div><b>6. ไม่เก็บของเหลวหรือก๊าซที่ติดไฟได้ไว้ในบ้าน</b> น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์หรือถังบรรจุก๊าซ ถ้าสามารถทำได้ไม่ควรนำมาเก็บไว้ภายในบ้าน ถังบรรจุก๊าซควรเก็บไว้นอกบ้านในบริเวณใต้ร่มเงาที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ต้องไม่เก็บของเหลวหรือก๊าซที่ติดไฟได้ไว้ใกล้กับแหล่งของความร้อนหรือเปลวไฟ และเก็บไว้ในภาชนะบรรจุดั้งเดิมหรือภาชนะที่ได้รับการรับรองแล้วเท่านั้น</div><div><b>7. เก็บสารเคมีไว้ในภาชนะบรรจุดั้งเดิมเท่านั้น</b> ไม่ควรเปลี่ยนถ่ายสารเคมีที่ใช้ภายในบ้านลงในภาชนะชนิดอื่นๆ ยกเว้นภาชนะที่ติดฉลากไว้อย่างเหมาะสมและเข้ากันได้กับสารเคมีนั้น ๆ โดยไม่ทำให้เกิดการรั่วซึม นอกจากนี้ ไม่ควรเปลี่ยนถ่ายสารเคมีลงในภาชนะที่ใช้สำหรับบรรจุอาหาร เช่น ขวดน้ำอัดลม กระป๋องนม ขวดนม เป็นต้น เพื่อป้องกันผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นำไปรับประทาน</div><div><b>8. ผลิตภัณฑ์หลายชนิดสามารถแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้</b> เพื่อลดปริมาณสารเคมีที่เป็นพิษในสิ่งแวดล้อม</div><div><b>9. ใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีอันตรายน้อยกว่าทดแทน</b> สำหรับงานบ้านทั่วไป อาจใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทดแทนสารเคมีได้ ตัวอย่างเช่น สามารถใช้ผงฟูและน้ำส้มสายชู เทลงในท่อระบายน้ำ เพื่อป้องกันการอุดตันได้</div><div><br /></div><div><b>10. ทิ้งผลิตภัณฑ์และภาชนะบรรจุให้ถูกต้องเหมาะสม</b> ไม่เทผลิตภัณฑ์ลงในดินหรือในท่อระบายน้ำทิ้ง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดไม่ควรทิ้งลงในถังขยะหรือเทลงในโถส้วม ควรอ่านฉลากเพื่อทราบวิธีการทิ้งที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้ผลิต</div></div><div><br /></div><div><div><b><span style="color: #351c75;">ทำอย่างไรให้ปลอดภัยขณะใช้สารเคมี</span></b></div><div><ol style="text-align: left;"><li>เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นพิษแทน </li><li>อ่านฉลากและปฏิบัติตามวิธีการใช้ทุกครั้ง</li><li>สวมถุงมือและเสื้อคลุมทุกครั้ง ถ้าผลิตภัณฑ์สามารถทำให้เกิดอันตรายได้โดยการสัมผัสต่อผิวหนัง</li><li>สวมแว่นตาป้องกันสารเคมี ถ้าผลิตภัณฑ์สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อตา</li><li>ห้ามสวมคอนแทคเลนส์เมื่อใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น ทินเนอร์ เป็นต้น</li><li>หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันทีถ้ารู้สึกวิงเวียน ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดศีรษะ</li><li>ควรใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ในที่โล่งแจ้ง</li><li>ห้ามสูบบุหรี่เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถติดไฟได้</li><li>ห้ามผสมผลิตภัณฑ์สารเคมีเอง เนื่องจากสารเคมีบางชนิดอาจทำปฏิกิริยาต่อกันเกิดเป็นไอควันพิษ หรืออาจระเบิดได้</li><li>พบแพทย์ทันทีถ้าสงสัยว่าได้รับสารพิษ หรือได้รับอันตรายเมื่อสัมผัสกับสารเคมีที่ใช้ในบ้าน</li></ol></div></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>
เรียบเรียง :</b></span><div><div><span style="color: #666666;">กาญจนภัสส์ ทวีกิตติกร ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</span></div></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง:</b></span></div><div><div><div><div><span style="color: #666666;">อันตรายที่แฝงจากสารเคมีที่ใช้ในบ้านเรือน. (ม.ป.ป.). https://www.lyondellbasell.com/globalassets</span></div><div><span style="color: #666666;">/sustainability/lifebeats/monthly/2017/04/householdchemicals-th.pdf<br /><br /></span></div></div><div><span style="color: #666666;">Khunnatham.K. (2563, 20 พฤษภาคม). รวม “สารพิษ” ที่เป็นอันตรายภายในบ้าน พร้อมวิธีป้องกันง่าย ๆ ที่คุณอาจมองข้าม. Thinkofliving. https://thinkofliving.com/ไอเดียตกแต่ง/รวม-สารพิษ-ที่เป็นอันตรายภายในบ้าน-พร้อมวิธีป้องกันง่ายๆ-ที่คุณอาจมองข้าม-636713<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">Wichaya Pongklam. (2564, 23 ธันวาคม). 8 สารเคมีอันตรายในบ้าน เก็บให้ห่างจากเด็ก ป้องกันตัวเองก่อนใช้. OfficeMate. https://www.ofm.co.th/blog/toxic-household-chemicals-products/</span></div></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-2669335490168539992023-11-24T13:07:00.002+07:002023-11-24T13:07:50.013+07:00สมาธิกับวิทยาศาสตร์หลายคนปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดในหัวของคนเรามักคิดวนเวียนไปเรื่อย ๆ บางคนมักคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำเรื่องความสุข ความเศร้า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะคิดถึงประสบการณ์ที่เลวร้าย น้อยมากที่จะคิดถึงความสุข นอกจากนี้ยังกังวลถึงอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต ความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน เป็นต้น ในหลายงานวิจัยที่ทำการสแกนสมองของผู้ที่ฝึกสติหรือฝึกสมาธิมาอย่างยาวนานต่างให้ผลคล้ายกันคือ ระหว่างการทำสมาธิหรือเจริญสติ ทำให้เราเป็นนายของจิตหรือควบคุมอารมณ์ของจิตได้ ทำให้เราสามารถคลายความทุกข์ที่มีอยู่ในใจได้ คนทั่วไปในเวลาปกติมักจะส่งคลื่นเบต้าออกมา ซึ่งมีความถี่ของคลื่นประมาณ 21 รอบต่อวินาที เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก เช่น โกรธ กลัว เกลียด อิจฉา ตื่นเต้น คลื่นสมองก็จะมีความถี่สูงขึ้นทันที ทำให้บุคคลผู้นั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มีความตึงเครียดสูง มีสมาธิน้อยลง มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำ มีภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดลง ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม คนเราจะมีภูมิคุ้มกันโรคสูง มีสมาธิดี มีอารมณ์เยือกเย็น มีความคิดที่เฉียบคม มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สูง เมื่อคลื่นสมองมีความถี่ต่ำกว่า 19 รอบต่อวินาที ดังนั้นหากปล่อยให้คลื่นสมองมีความถี่สูงเกินกว่า 21 รอบต่อวินาทีเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดโรคเครียดและวิตกกังวล ซึ่งเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งของโลก <br /><br />การฝึกสมาธิแบบการทำจิตให้ว่างและรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมจะส่งคลื่นอัลฟ่าออกมา การฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องมีผลต่อสมองคือสมาธิสามารถเปลี่ยนโครงสร้างสมองได้ ทำให้เปลือกสมองหนาขึ้น ลดความเสื่อมของสมองส่งผลต่ออารมณ์เกิดความสมเหตุสมผลมากขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ปรับการแสดงออกทางหน้าตา ท่าทาง ไม่โกรธง่าย ไม่เคียดแค้นชิงชัง กลับมาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น รักตนเองมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ในงานได้ดีขึ้น<br /><div><br /></div><div><b>การนั่งสมาธิ</b></div><div>การนั่งสมาธิ คือการฝึกปฏิบัติใช้ความตั้งมั่น จดจ่อ และแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสงบ ความรู้สึกตัว หรือมีสติ ชาวตะวันตกมักใช้คำว่า "Concentration" และ "Meditation" ที่สื่อถึงการทำสมาธิให้จิตใจสงบ <br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsuZpdsjgc2ryXgSs-tSgq01ps0HbZ5nNfqTqQx6VGMPxpo-_td7xmUZeZrr0lOsL3NWSIUOI9R7qUwB4bsD8B7YfF2oDFlJJXClg08AXmfRwB8w_dHJNbOd9I8SeU2rpYsGFtmsNQjKNx1HWK8uwTuiFLDzo1EcCcK1Vd3dG0NXo3PCYYNAMea7JeyXM/s500/HE256601-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="333" data-original-width="500" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsuZpdsjgc2ryXgSs-tSgq01ps0HbZ5nNfqTqQx6VGMPxpo-_td7xmUZeZrr0lOsL3NWSIUOI9R7qUwB4bsD8B7YfF2oDFlJJXClg08AXmfRwB8w_dHJNbOd9I8SeU2rpYsGFtmsNQjKNx1HWK8uwTuiFLDzo1EcCcK1Vd3dG0NXo3PCYYNAMea7JeyXM/s16000/HE256601-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">ภาพโดย pressfoto จาก Freepix</span></div><div><br /></div>การทำสมาธินั้นถูกปฏิบัติมาประมาณพันปี โดยแรกเริ่มจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันทางศาสนา ซึ่งปัจจุบันการทำสมาธินั้นได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ เพราะการฝึกทำสมาธิช่วยให้สมองทำงานได้รวดเร็วขึ้นและตัดสินใจได้ดีขึ้นด้วย มีงานที่วิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การฝึกสติแบบทั่วไปสามารถส่งผลต่อสมองได้อย่างลึกซึ้ง ภายในระยะเวลาเพียง 8 สัปดาห์ ผู้ที่ไม่เคยฝึกสมาธิอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า การนั่งหลับตาแล้วหายใจเข้าหายใจออก จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า การฝึกสมาธิส่งผลดีต่อสมองอย่างไรบ้าง และเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นภายในสมองหลังจากที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานาน ๆ บทความนี้จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ลองอ่านกัน มีการทดลองเปรียบเทียบระหว่างคนที่ทำสมาธิและคนที่ไม่ทำสมาธิ ผลปรากฏว่าคนที่นั่งสมาธิมีความแข็งแรงของเส้นประสาทมากกว่าคนที่ไม่ได้นั่งสมาธิอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิมีประโยชน์แน่นอนทำให้เราจะมีความเป็นกลางมากขึ้นโดยไม่ตัดสินในสิ่งที่เห็นทันทีทันใด ทนกับสภาวะปกติได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาวะดีหรือร้าย และสามารถแยกความเจ็บออกไปจากร่างกายได้<div><br /></div>จากภาพสแกนสมองของผู้ที่ฝึกสมาธิพบว่าเนื้อสมองในส่วนของเปลือกสมองด้านนอกที่เรียกว่า Gray matter ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์สมองมีความหนากว่าคนที่ไม่ฝึกสมาธิ และพบว่าบริเวณสมองส่วนหน้าด้านซ้ายมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น คลื่นสมองก็ทำงานได้ดีขึ้นกว่าปกติ จากเดิมที่มีความถี่สูงซึ่งบ่งบอกถึงความคิดที่ฟุ้งซ่าน ก็เปลี่ยนเป็นคลื่นความถี่ต่ำและสม่ำเสมอมากขึ้นแสดงถึงความสงบผ่อนคลาย คนที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานาน ๆ สมองมีส่วนเปลือกนอกสีเทา ๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาท จะหนาตัวขึ้น นั่นหมายถึง มีเซลล์สมองเพิ่มขึ้น และบริเวณส่วนหน้าแถวหน้าผากด้านซ้าย จะมีการทำงานของคลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น ที่เรียกว่า “คลื่นแกรมม่า” ซึ่งพบในคนที่จิตเป็นสมาธิลึก ๆ<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkLKTYEpbaI0q163dYj0UONtwofX-5MQu2GtDvjrf2mqToDRp9ljbovBF7rjWMgQcFT0owvJcFe18a9JoI-NROS6r1cskxOg5UTwEPcygwKQ_ljhr02D72g-UFPrs6An0PKRaT0vKhnI-_VM8EtFb1YJZLS2Qc6SyMsVnWWnHBvJNApmeanrrpYP152bY/s500/HE256601-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="244" data-original-width="500" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkLKTYEpbaI0q163dYj0UONtwofX-5MQu2GtDvjrf2mqToDRp9ljbovBF7rjWMgQcFT0owvJcFe18a9JoI-NROS6r1cskxOg5UTwEPcygwKQ_ljhr02D72g-UFPrs6An0PKRaT0vKhnI-_VM8EtFb1YJZLS2Qc6SyMsVnWWnHBvJNApmeanrrpYP152bY/s16000/HE256601-2.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">ภาพโดย Maxim P บน Adobe Stock </span></div><div><br /></div>เมื่อมีการศึกษาและมีงานวิจัยที่รองรับและแสดงให้เห็นประโยชน์ของการฝึกสมาธิ ทำให้ศาสตร์นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น ชาวตะวันตกส่วนมากก็เริ่มหันมาฝึกสมาธิกันอย่างแพร่หลาย หน่วยงานใหญ่ ๆ หลายหน่วยงานต่างให้ความสำคัญกับการฝึกสมาธิและมีนโยบายให้พนักงานฝึกสมาธิด้วยเช่นกัน การทำสมาธิเป็นการลดความเครียด คลายความวิตกกังวล ฝึกความอดทน ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น และยังช่วยเพิ่มเซลล์ประสาทในสมองในส่วนการควบคุมและการตอบสนองทางอารมณ์<br /><br /><div><b>ขั้นตอนการฝึกสมาธิ</b> (แบบไม่อิงศาสนาใด ๆ )<br /><ol style="text-align: left;"><li>หาที่นั่งที่เราคิดว่าสบายสำหรับเราอาจจะเป็นสนามหญ้า ห้องพระ หรือห้องนอนก็ได้แต่ต้องเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ</li><li>นั่งหลับตาและไล่ดูจุดที่เกร็งให้คลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นลง</li><li>หายใจเข้า-ออกอย่างช้า ๆ หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ</li><li>โฟกัสไปจุดใดจุดหนึ่งตรงที่ลมหายใจชัดตรงนั้น เช่น ตรงจมูก ตรงท้อง หรือหาเสียงนำสมาธิใน youtube เป็นต้น</li><li>ถ้าความคิดผุดขึ้นมา เราจะไม่มีอารมณ์กับสิ่งนั้น มองแบบไม่ตัดสิน และกลับไปที่จุดโฟกัสเดิม</li><li>ใช้เวลาในการฝึกอย่างพอประมาณอย่างต่ำ 10 นาที และสม่ำเสมอ</li></ol>ร่างกายของคนเราจะแข็งแรงได้ด้วยการออกกำลังกาย สมองของคนเราก็เช่นกันต้องการฝึกฝนจนแข็งแรง และการฝึกสมาธิเป็นหนทางที่จะเกิดผลดีต่อสมอง ดังนั้นการหาเวลาบริหารสมองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพียงใช้ความเพียรและความสม่ำเสมอในการฝึกฝน เพียงเท่านี้อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของคุณได้ เริ่มทำได้เลยในวันนี้แล้วคุณจะค้นพบว่าความสุขไม่ได้หามาจากที่ไหนไกลเลย แต่อยู่ใกล้ ๆ ตัวคุณนั่นคือจิตใจของคุณเอง<div><br /></div></div>
<hr /><b> เรียบเรียง</b><div><div>กาญจนภัสส์ ทวีกิตติกร ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</div></div><div><br /></div><div><b>อ้างอิง</b></div><div><div><i>การนั่งสมาธิกับผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์</i>. (ม.ป.ป.). หอมหวล. https://www.homhuan.com/news/detail.php?id=25</div><div><br /></div><div><i>สมาธิกับวิทยาศาสตร์</i>. (2563, 27 พฤษภาคม). trueID. https://news.trueid.net/detail/31dOWp5a5LY8</div><div><br /></div><div>MGR Online. (2566, 6 สิงหาคม). <i>สมองพัฒนาได้ ด้วยการเจริญสติ (ตอนที่ 1)</i>. https://mgronline.com/dhamma/detail/9560000079672</div></div><div><br /></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-55118658856397449382023-11-21T15:17:00.003+07:002024-02-02T14:07:18.956+07:00อุทยานดาราศาสตร์สิรินธรสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามอุทยานดาราศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ หมู่ 4 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ อุทยานดาราศาสตร์ ว่า “อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร” (Princess Sirindhorn AstroPark) เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนาทางดาราศาสตร์ของประเทศไทย เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางดาราศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นแหล่งรวมศิลปวิทยาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ เป็นแหล่งค้นคว้า ศึกษาวิจัย บ่มเพาะและสร้างนักวิจัยดาราศาสตร์ เป็นศูนย์บริการข้อมูล ฝึกอบรม ถ่ายทอดเทคโนโลยีดาราศาสตร์ จัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิชาการที่สำคัญ และใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) <div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRkdkQQN8dPH3jk-kye4MojBgVAPZ9d3YqAnskPAJ1LT0KyWbUnKE0Lx7-zdFk8N6E8rfpsRZ8-48yglcSXMdfcpN-GpBhnA5fJvQmujic3B-rlCe59hB5cvmBj8lwj6T-wUb9TszYvezZ3DxtrI4OLPv6VBhgADVxOJR1m3Ew0YGu2ZPdRoMXaiXEyz0/s650/LC256601-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="436" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRkdkQQN8dPH3jk-kye4MojBgVAPZ9d3YqAnskPAJ1LT0KyWbUnKE0Lx7-zdFk8N6E8rfpsRZ8-48yglcSXMdfcpN-GpBhnA5fJvQmujic3B-rlCe59hB5cvmBj8lwj6T-wUb9TszYvezZ3DxtrI4OLPv6VBhgADVxOJR1m3Ew0YGu2ZPdRoMXaiXEyz0/s16000/LC256601-1.jpg" /></a></div><br />ภายในพื้นที่ 54 ไร่ ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ ประกอบไปด้วย<div><br /><b>อาคารสำนักงาน</b> สำนักงานสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ประกอบด้วย งานวิจัยและพัฒนา ห้องปฏิบัติการทัศนศาสตร์ ศูนย์ปฏิบัติการดาราศาสตร์วิทยุ ศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ห้องสมุดดาราศาสตร์ ศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ และส่วนงานสนับสนุนภารกิจหลัก</div><div><br /><b>อาคารปฏิบัติการ </b>เป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติการหอดูดาวแห่งชาติ และวิศวกรรม ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการเมคาทรอนิกส์ ห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูง ห้องปฏิบัติการเคลือบกระจก<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbdufM-GhP8CkLjDjpS34VupOwJvKM-wPLiUCbDl_bbYp-jwQG9mW_sOcrf4ZQOYGOhRugr0FwA8Jz7BaW1MhkWrQhIhzmvTE3iYaK9r5vyjIgQrWkwC2F0xgyJnG97W96j7NnNMT3m4c6j9IgIW5WXlvEBXPrlmlkxEz8sxoERknBr6Pj6k_2NDWvqQE/s650/LC256601-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbdufM-GhP8CkLjDjpS34VupOwJvKM-wPLiUCbDl_bbYp-jwQG9mW_sOcrf4ZQOYGOhRugr0FwA8Jz7BaW1MhkWrQhIhzmvTE3iYaK9r5vyjIgQrWkwC2F0xgyJnG97W96j7NnNMT3m4c6j9IgIW5WXlvEBXPrlmlkxEz8sxoERknBr6Pj6k_2NDWvqQE/s16000/LC256601-2.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;"><b>อาคารท้องฟ้าจำลองและนิทรรศการ</b> ประกอบด้วย ส่วนท้องฟ้าจำลองระบบฟูลโดมดิจิทัล 360 องศา รองรับความละเอียดสูงสุด 8K ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 เมตร ความจุ 160 ที่นั่ง และพื้นที่สำหรับรถผู้พิการ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของไทย แต่มีความคมชัดที่สุดในอาเซียน ส่วนนิทรรศการดาราศาสตร์แบบมีปฏิสัมพันธ์ 19 โซน ได้แก่ การสำรวจระบบสุริยะ เสียงแห่งเอกภพ การเกิดเฟสดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง เครื่องตรวจจับรังสีคอสมิกฝีมือคนไทย สเปกตรัมกับการศึกษาทางดาราศาสตร์ การสังเกตกลุ่มดาวบนท้องฟ้า รูม่านตากับความเข้มแสง การเกิดฤดูกาล การเปรียบเทียบน้ำหนักบนดาวเคราะห์ น้ำหนักของคุณบนดาวเคราะห์ การเกิดพายุบนดาวเคราะห์แก๊ส อุกกาบาต วิวัฒนาการดาวฤกษ์ ไทม์ไลน์การกำเนิดเอกภพ ลูกตุ้มเพนดูลัมกับการพิสูจน์การหมุนของโลก ภารกิจยานสำรวจดาวอังคาร ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ นิทรรศการภาพถ่ายดาราศาสตร์<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgM-kzYgXOeiYpt3gqhDyCvaypTivWWmWg7oSGuCPj6xyd8v7CUtuRtrmP0hJcPrkozvt2b0GjULMtW_acTIzDkDTtPENffMQwMuQZVFK0D8M-gv6jj2l5l48FHB7C19Za9LbG0vU6nBowQItzyJC9L0h8tSH1zIaIIV-wbxjMH-6XJU52XPrT5t8bzPjo/s650/LC256601-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgM-kzYgXOeiYpt3gqhDyCvaypTivWWmWg7oSGuCPj6xyd8v7CUtuRtrmP0hJcPrkozvt2b0GjULMtW_acTIzDkDTtPENffMQwMuQZVFK0D8M-gv6jj2l5l48FHB7C19Za9LbG0vU6nBowQItzyJC9L0h8tSH1zIaIIV-wbxjMH-6XJU52XPrT5t8bzPjo/s16000/LC256601-3.jpg" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhySC8lSDLNuhPhcMNDW4a4CC9WiXA5YQaFwyN_u-bjDcSOIV9gBWB9CJgcFFuTgetphGCgbryAOgUhtcnagsS4zeFbxwn3DUfibD27vqCNVlsl4J86AF_0dfgxOR27vSHV8Ox3TwqlhXYYd2PhWn2Iom2W4oa0JVjYg90NHtSzJtF5vr1dThooU0Ud0kI/s650/LC256601-4.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="475" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhySC8lSDLNuhPhcMNDW4a4CC9WiXA5YQaFwyN_u-bjDcSOIV9gBWB9CJgcFFuTgetphGCgbryAOgUhtcnagsS4zeFbxwn3DUfibD27vqCNVlsl4J86AF_0dfgxOR27vSHV8Ox3TwqlhXYYd2PhWn2Iom2W4oa0JVjYg90NHtSzJtF5vr1dThooU0Ud0kI/s16000/LC256601-4.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">นิทรรศการ ภายในอาคารท้องฟ้าจำลองและนิทรรศการ</span></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: left;"><div><b>หอดูดาว</b> หอดูดาวสำหรับให้บริการประชาชน ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร จ.เชียงใหม่ เป็นอาคารสังเกตการณ์วัตถุท้องฟ้าด้วยกล้องโทรทรรศน์แบบต่าง ๆ ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ด้านข้างเป็นระเบียงดาวมีหลังคาแบบเลื่อนเปิดออกได้ ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีขีดความสามารถสูง จำนวน 5 ชุด สำหรับให้บริการดูดาว สังเกตวัตถุท้องฟ้า รวมทั้งถ่ายภาพวัตถุท้องฟ้า เปิดบริการทุกวันเสาร์ 18:00-22:00 น. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม</div><div><br /></div><div><b>ลานกิจกรรมอเนกประสงค์กลางแจ้ง</b> ใช้ในการจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ และกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ เช่น กิจกรรมดูดาวสำหรับประชาชน การสังเกตปรากฏการณ์ท้องฟ้าและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv4RfyOj8s3kvBlBauaE8F6MSIwwSb07OaqSqM-L1QcQgv3AJ45uVVo3e9LC00Ys405akmnk9RdVanMzVyQzmBDg6bZnGj4pRDjGXFkUVOQkKOlhCXLhKzilh8e7_qQonGQj_g6zJJmgV0c5BEmp0-tDpG_E0OjpJPaFrpFep70oPDaUEnCV2Znf86Fek/s650/LC256601-5.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv4RfyOj8s3kvBlBauaE8F6MSIwwSb07OaqSqM-L1QcQgv3AJ45uVVo3e9LC00Ys405akmnk9RdVanMzVyQzmBDg6bZnGj4pRDjGXFkUVOQkKOlhCXLhKzilh8e7_qQonGQj_g6zJJmgV0c5BEmp0-tDpG_E0OjpJPaFrpFep70oPDaUEnCV2Znf86Fek/s16000/LC256601-5.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">อาคารหอดูดาวและลานกิจกรรม</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;">อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร เป็นแหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมศิลปะวิทยการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ ให้บริการในการจัดกิจกรรมดาราศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิชาการด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><b>การเดินทาง</b></div><div class="separator" style="clear: both;">อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ อยู่บนถนนเส้นเดียวกับสนามกีฬาสมโภชน์เชียงใหม่ 700 ปี คือถนนเลียบคลองชลประทาน </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDfUTq5SSoRiWMZw6CDzuUVc3jMQ4IyhrRtYfeUI1CNhbTM9aUu98B6bTzyoCarfrRhFhjr92giZXaQrH9iR0o8j0VxUfS4cKdaqLui3yxCeUO3AKZndi3-38iFfhNi9p72w-DxIDoH6IGYBhnChfsm8gQ89ekMLzaf91pWe3pwguv5G3bGD03x9FYiKs/s722/LC256601-6.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="722" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDfUTq5SSoRiWMZw6CDzuUVc3jMQ4IyhrRtYfeUI1CNhbTM9aUu98B6bTzyoCarfrRhFhjr92giZXaQrH9iR0o8j0VxUfS4cKdaqLui3yxCeUO3AKZndi3-38iFfhNi9p72w-DxIDoH6IGYBhnChfsm8gQ89ekMLzaf91pWe3pwguv5G3bGD03x9FYiKs/s16000/LC256601-6.png" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">จากหน้าสนามกีฬาสมโภชน์เชียงใหม่ 700 ปี ไปตามถนนหมายเลข 121 (ถนนเลียบคลองชลประทาน) จะผ่านโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะเจอเจอสามแยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานคลองชลประทาน (สะพานจะตรงกับประตูทางเข้าหมวดซ่อมบำรุงส่วนหน้าที่ 1 กองทัพบก) พอข้ามฝั่งคลองมาแล้วให้เลี้ยวขวา จะเห็นทางเข้า "อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร" จะอยู่ซ้ายมือ </div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div></div></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เรียบเรียง:</b><br /></span><div><span style="color: #666666;">นางสาวนัชรี อุ่มบางตลาด ครู ชำนาญการ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">ถ่ายภาพ:</span></b></div><div><span style="color: #666666;">สราวุธ เบี้ยจรัส นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง:</span></b></div><span style="color: #666666;">องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ. (ม.ป.ป.). <i>Princess Sirindhotn AstroPark อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร</i>. [แผ่นพับ]. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม<br /><br />สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน). <i>อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร</i>. https://www.narit.or.th/index.php/sirindhorn-astro-park<br /></span><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-65210426828669245222023-11-10T17:21:00.039+07:002024-01-26T16:42:13.553+07:00ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดในภาคเหนือ ตอนที่ 1 (กำแพงเพชร เชียงใหม่ เชียงราย ตาก)ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในส่วนของพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำในภาคเหนือ ในตอนนี้ จะมีกล่าวถึงไม้มงคลประจำจังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ และตาก ดังนี้ <div><br /></div><b><span style="color: #660000;">1. ไม้มงคลประจำจังหวัดกำแพงเพชร : ต้นสีเสียดแก่น</span></b><div><b><br /></b><div><div class="separator" style="clear: both; font-weight: bold; text-align: left;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8wFbhxFvii3rws1-SYBaDSsaUGr_BPP1EesXDS6VnVktG7vjnIYeT3byHsxjYmN1BjkB8LeHTuWactkuji2-tJu96ott9D-RzsVFzM7971cvXU1Og9iW8NgM3HxIsKi52ImnEoir-jAsHPsajhrupT9Yohy5Ba2cbglGokpRvvxxdglqKJV-9F8yUKLM/s600/EV256607-01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="225" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8wFbhxFvii3rws1-SYBaDSsaUGr_BPP1EesXDS6VnVktG7vjnIYeT3byHsxjYmN1BjkB8LeHTuWactkuji2-tJu96ott9D-RzsVFzM7971cvXU1Og9iW8NgM3HxIsKi52ImnEoir-jAsHPsajhrupT9Yohy5Ba2cbglGokpRvvxxdglqKJV-9F8yUKLM/s16000/EV256607-01.jpg" /></a></div><span style="color: #666666;">ภาพ ดอกและฝักสีเสียด โดย J.M.Garg <br /></span><span style="color: #666666;">จาก </span><span style="color: #666666;">https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=4252959</span></div><div><span style="color: #666666;">และ https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=4252968</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span><div><ul style="text-align: left;"><li><b>ชื่อ :</b> สีเสียดแก่น หรือ สีเสียด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acacia catechu (L. f.) Wild. ชื่อสามัญ Catechu tree หรือ Cutch tree และมีชื่อเรียกท้องถิ่นอื่นๆ ของไทย ได้แก่ เสียด (ภาคเหนือ) สีเสียดเหนือ (ภาคกลาง) สีเสียดเหลือง (เชียงใหม่) เดิมเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดียว ศรีลังกา และพม่า นำเข้ามาปลูกในไทยเป็นไม้สวนป่า</li><li><b>ลักษณะทั่วไป</b> สีเสียดแก่น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง สูงประมาณ 10-15 เมตร เรือนยอดโปร่ง แตกกิ่งต่ำ ตามกิ่งมีหนามแหลมโค้งเป็นคู่ เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมดำหรือสีเทาเข้ม ค่อนข้างขรุขระ สามารถลอกเปลือกผิวออกมาได้เป็นแผ่น ๆ เปลือกข้างในเป็นสีแดง ตามกิ่งก้านมีหนามเล็ก ๆ เป็นคู่<ul><li><i>ใบ</i> เป็นใบประกอบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับ ยาวประมาณ 9-17 เซนติเมตร โคนใบเบี้ยว มีขนห่าง ๆ ใบย่อยมีขนาดเล็ก ออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ประมาณ 30-50 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบมนเบี้ยว มีขนขึ้นประปราย หลังใบและท้องใบเรียบ ไม่มีก้าน</li><li><i>ดอก</i> ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ ลักษณะช่อคล้ายหางกระรอก ยาว 5-10 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็กจำนวนมาก อัดแน่นเป็นช่อ สีเหลืองอ่อนหรือขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ออกดอกช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคม </li><li><i>ผล</i> สีเสียดจะออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ผลเป็นฝักแบน กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ปลายและโคนฝักเรียวแหลม เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีน้ำตาลดำเป็นมัน เมื่อฝักแก่จะแห้งแล้วแตกอ้าออกตามด้านข้าง ภายในฝักมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็ก แบน สีน้ำตาลเป็นมัน ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด </li></ul></li><li><b>ประโยชน์</b> สีเสียดมีเนื้อไม้สีน้ำตาลแดง แข็งเหนียว ไสกบ ตกแต่งยาก จึงใช้ประโยชน์ทำสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ เช่น เสา ตง คาน สะพาน หรือทำด้ามเครื่องมือทางการเกษตร น้ำฝาดจากแก่นใช้ฟอกหนัง เปลือกให้สีน้ำตาลและน้ำตาลแดงสำหรับย้อมผ้า แห อวน นอกจากนี้ยางต้นสีเสียดนำมาเคี่ยวจนงวดเป็นก้อนสีดำ หรือแก่นที่สับและเคี่ยวกับน้ำ นำมาปั้นเป็นก้อนเหนียว มีสรรพคุณทางยา เป็นยาบำรุงธาตุ แก้ไข้จับสั่น แก้ไอ แก้ปากเป็นแผล รักษาเหงือก ลิ้น ฟัน และช่วยรักษาแผลในลำคอ แก้อาการท้องเสียเรื้อรัง ลำไส้อักเสบ แก้บิด ริดสีดวง รักษาโรคผิวหนัง โรคหิด</li></ul><div><div><b><span style="color: #660000;">2. </span></b><b><span style="color: #660000;">ไม้มงคลประจำ</span></b><b><span style="color: #660000;">จังหวัดเชียงราย : ต้นกาซะลองคำ กาสะลองคำ</span></b></div><div><b><br /></b></div><div style="text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8o5Y8LODlz5q9dIbEodTcPn_E-gohExtl7usoaQK4k3AZBMyU-noRKgaNtzIAhgXG5MQBq2DnY02lBWtRHu4GP5H3Knvul7EJTPuNzkvmm7mDyttW4BTuo3JMx_p9o6-CnNOhqYg_H4na3EusBaxXpQPqlNs2-tpwYxmjhPdqacC688BpbCetRVVMo-4/s600/EV256607-02S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="200" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8o5Y8LODlz5q9dIbEodTcPn_E-gohExtl7usoaQK4k3AZBMyU-noRKgaNtzIAhgXG5MQBq2DnY02lBWtRHu4GP5H3Knvul7EJTPuNzkvmm7mDyttW4BTuo3JMx_p9o6-CnNOhqYg_H4na3EusBaxXpQPqlNs2-tpwYxmjhPdqacC688BpbCetRVVMo-4/s16000/EV256607-02S.jpg" /></a></div><span style="color: #666666;"><div style="text-align: left;">ภาพจาก อุทยานหลวงราชพฤกษ์ https://www.royalparkrajapruek.org/news/news_detail?newsid=573</div></span><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div></div><div><ul style="text-align: left;"><li><b>ชื่อ :</b> ต้นกาซะลองคำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า <i>Radermachera ignea</i> (Kurz) Steenis ชื่อสามัญคือ Tree Jasmine และมีชื่อเรียกท้องถิ่นอื่น ๆ ของไทยแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ได้แก่ กากี (สุราษฎร์ธานี) แคะเป๊าะ สำเภาหลามต้น (ลำปาง) จางจืด (เชียงใหม่) สะเภา อ้อยช้าง (ภาคเหนือ) ปีบทอง (ภาคกลาง) </li><li><b>ลักษณะทั่วไป</b> : กาซะลองคำเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูงประมาณ 6-20 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงตรงข้ามกัน มีใบย่อย 2-5 คู่ แผ่นใบย่อยรูปรีแกมรูปใบหอก กว้าง 2-6 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายแหลมเป็นติ่ง โคนสอบแหลม ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น กระจุกละ 5-10 ดอก ดอกมีสีเหลืองอมส้มหรือสีส้ม กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 4.5-7 เซนติเมตร ปลายเป็นแฉกสั้นๆ 5 แฉก ออกดอกเดือนมกราคม-เมษายน ผลัดใบก่อนออกดอก ผลเป็นฝักยาว 35-90 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีปีก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และแยกหน่อ</li><li><b>ประโยชน์</b> : ปลูกเป็นไม้ประดับ</li></ul><div><b><span style="color: #660000;">3. </span></b><b><span style="color: #660000;">ไม้มงคลประจำ</span></b><b><span style="color: #660000;">จังหวัดเชียงใหม่ : ต้นทองกวาว</span></b></div><div><b><br /></b></div><div style="text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlQdJePV_fcRGzwa4bAjQNXdS-q56403jnu8sVmIzi50fR0fuyS0GFpTdk8vhG1lfDw0fcoNotQcv4661KS3CcFDa3Mz9p0U0o-YJs3c8o8BgoNfj_6y-o8Uobq7R-cRnhcVTEHDPVOdLiPfD7G2O0ccD9KDJHQBrbiI2u4xxXZilYDY3aVpGkb27TLt4/s600/EV256607-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="300" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlQdJePV_fcRGzwa4bAjQNXdS-q56403jnu8sVmIzi50fR0fuyS0GFpTdk8vhG1lfDw0fcoNotQcv4661KS3CcFDa3Mz9p0U0o-YJs3c8o8BgoNfj_6y-o8Uobq7R-cRnhcVTEHDPVOdLiPfD7G2O0ccD9KDJHQBrbiI2u4xxXZilYDY3aVpGkb27TLt4/s16000/EV256607-3.jpg" /></a></div><div style="text-align: left;"><ul style="text-align: left;"><li><b>ชื่อ </b> ทองกวาวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า <i>Butea monosperma</i> (Lam.) Taub. ชื่อสามัญ Flame of the Forest และ Bastard Teak และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นอื่น ๆ ของไทย คือ กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ) จอมทอง (ภาคใต้) จ้า จาน (เขมร) ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น (ภาคกลาง)</li><li><b>ลักษณะทั่วไป </b> ต้นทองกวาวเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขึ้นกระจายห่าง ๆ ตามป่าเบญพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือป่าละเมาะในทุกภาคของไทย พบมากทางภาคเหนือ ต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร เปลือกสีเทาคล้ำแตกเป็นร่องตื้น ๆ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ออกสลับกัน ใบย่อยส่วนยอดมีลักษณะรูปไข่ ปลายมน โคนสอบ ส่วนอีก 2 ใบมีรูปไข่ค่อนข้างกว้าง โคนเบี้ยว ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง ยาว 2-15 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกถั่วขนาดใหญ่ มีกลีบดอก 5 กลีบ ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร มีสีเหลืองถึงแดงแสด ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน แบน กว้างประมาณ 3.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 14 เซนติเมตร มีเมล็ด1-2 เมล็ด ที่ปลายฝัก ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด</li><li><b>ประโยชน์ </b>ปลูกเป็นไม้ประดับ เปลือกใช้ทำเชือกและกระดาษ และมีสรรพคุณทางยา ใบตำพอกฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด ท้องขึ้น ริดสีดวง เข้ายาบำรุงกำลัง ดอกใช้ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ นอกจากนี้ยังให้สีเหลืองใช้ในการย้อมผ้า เมล็ดใช้ขับพยาธิตัวกลม บดให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาว ทาแก้คันและแสบร้อน ยางใช้ฝาดสมานภายนอก และกินแก้ท้องร่วง</li></ul><div><b><span style="color: #660000;">4. </span></b><b><span style="color: #660000;">ไม้มงคลประจำ</span></b><b><span style="color: #660000;">จังหวัดตาก : ต้นแดง</span></b></div><div><b><span style="color: #660000;"><br /></span></b></div><div style="text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; font-weight: bold; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE0j6LeXbOE_9XsbHNzAuApzP7edEuBmnMI6Dxcryfql1-ceYEihiKeLWv6FANdWSl48dnE3mZR1P0bCzIWy4k-3c8MhxgVAUdaxKvO3OpJXQzG2Q29hFet5R51vchy2fL_R_Scbdeay4EBJG_l3F1izx0AGerLQONE6w4QvXewntX_kG1VPJjKJaqQuQ/s600/EV256607-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="400" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgE0j6LeXbOE_9XsbHNzAuApzP7edEuBmnMI6Dxcryfql1-ceYEihiKeLWv6FANdWSl48dnE3mZR1P0bCzIWy4k-3c8MhxgVAUdaxKvO3OpJXQzG2Q29hFet5R51vchy2fL_R_Scbdeay4EBJG_l3F1izx0AGerLQONE6w4QvXewntX_kG1VPJjKJaqQuQ/s16000/EV256607-04.jpg" /></a></div><div style="text-align: left;"><ul style="text-align: left;"><li><b>ชื่อ </b>ชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นแดง คือ<i> Xylia xylocarpa</i> (Roxb.) Taub. ชื่อสามัญ Iron Wood และมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ กร้อม (นครราชสีมา) ตะกร้อม (จันทบุรี) ปราน (สุรินทร์) ไปร (ศรีษะเกษ) ปราน ผ้าน (เชียงใหม่) ไคว เพร่ (แพร่, แม่ฮ่องสอน) เพ้ย (กะเหรี่ยง ตาก) เป็นต้น</li><li><b>ลักษณะทั่วไป</b> ต้นแดงเป็นไม้ยืนต้น สูง 15–30 เมตร กิ่งก้านและยอดอ่อนมีขนละเอียดสีเหลือง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับ ประกอบด้วย 2 ช่อ ใบแตกออกเป็น 2 ง่าม ใบย่อย 4–5 คู่รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ออกดอกเป็นช่อทรงกลมคล้ายดอกกระถิน ที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบดอกสีขาว ผลเป็นฝักรูปไต แบน แข็ง ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด</li><li><b>ประโยชน์</b> ไม้แดง เป็นไม้เนื้อแข็งเหนียว มีความทนทานสูง จึงนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ใช้ทำพื้น เสา คาน ได้ดี นอกจากนี้ ยังใช้ทำเกวียน ต่อเรือ ทำหมอนรองรางรพไฟ ทำเครื่องมือทางการเกษตร</li></ul></div></div></div></div></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><ul style="text-align: left;"></ul></div><div><div><b><span style="color: #666666;">
<hr /></span></b></div><div><b><span style="color: #666666;">เรียบเรียง :</span></b></div><div><span style="color: #666666;">วราพรรณ พูลสวัสดิ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน สกร.ภาคเหนือ</span></div><div><b><span style="color: #666666;"><br /></span></b></div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง :</b><br />กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. (ม.ป.ป.). <i>ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด</i>. https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด/<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. <i>ต้นไม้พระราชทานประจำจังหวัด</i>. http://www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/province_pl/p_plant.htm<br /><br /><i>ต้นแดง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นแดง 15 ข้อ</i>. (2563, 28 พฤศจิกายน). Medthai. https://medthai.com/ต้นแดง/<br /><br />นพพล เกตุประสาท. (ม.ป.ป.). <i>กาสะลองคำ</i>. ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. <br />http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/new-fragrant/radermachera.html<br /><br />สำนักเศรษฐกิจการป่าไม้. ส่วนส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ. (ม.ป.ป). <i>แดง</i>. <br />https://site-matching.forest.go.th/plant.php?id=12</span><br /><div><span style="color: #666666;"><div><br /></div><div><div>สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน). <i>สีเสียด</i>. https://www.wisdomking.or.th/th/tree-knowledge/สีเสียด</div></div></span></div></div></div></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-10623000562023650742023-10-04T14:21:00.000+07:002023-11-07T14:38:51.938+07:00อาหารขึ้นบ้านใหม่ล้านนาการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นพิธีที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการส่งเสริมสิริมงคลแก่เจ้าบ้านและผู้อยู่อาศัยเมื่อย้ายบ้านหรือที่อยู่ใหม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรักใคร่ปรองดอง ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ป้องกันสิ่งอันตราย ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมไปถึงกิจการค้าขายรุ่งเรืองอีกด้วย<br /><br />การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของชาวล้านนา ในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน นอกจากจะให้ความสำคัญกับพิธีทางศาสนาแล้ว อาหารที่นำมาทำบุญเลี้ยงพระก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน อาหารล้านนาไม่เพียงแต่มีรสชาติที่อร่อย แต่ยังแสดงถึงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของความเป็นล้านนา มีการสอดแทรกความเชื่อ ดังเช่น อาหารที่นิยมนำมาทำบุญในวันขึ้นบ้านใหม่ ได้แก่ แกงขนุน ลาบ แกงฟักเขียวใส่ไก่ แกงฮังเล และแกงอ่อม<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9UvWPmXoCcDOKvN8b8uUFTl72qWjRISHk_TUNzD2zbQgJnRgXpUY96rURFsXfh2pAU34EFXQX_IVZlsALSK76EgVDjpjP9dGJWgzyzfgQGP-CcoK0w8APwmHhkqOj2ZR3dDfHA3rP2ZIPIWvV2_OR9HW9IGGzsBfVxVCWlvqDcTfPVtEogop7ua_SAr4/s600/AC256601-1B.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="578" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9UvWPmXoCcDOKvN8b8uUFTl72qWjRISHk_TUNzD2zbQgJnRgXpUY96rURFsXfh2pAU34EFXQX_IVZlsALSK76EgVDjpjP9dGJWgzyzfgQGP-CcoK0w8APwmHhkqOj2ZR3dDfHA3rP2ZIPIWvV2_OR9HW9IGGzsBfVxVCWlvqDcTfPVtEogop7ua_SAr4/s16000/AC256601-1B.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><b>1. แกงขนุน</b> <div>ภาษาเหนือเรียกกันว่า “แก๋งบะหนุน” โดยมีความเชื่อว่าการนำแกงขนุนไปใช้ในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ จะทำให้ชีวิตมีแต่คนอุดหนุนค้ำจุ้น จะมีแต่สิ่งดี ๆ ช่วยหนุนนำให้พบกับแต่ความเจริญรุ่งเรือง ประกอบกิจการใดก็จะสำเร็จดั่งที่หมาย และเกิดความเป็นสิริมงคลต่อคนในครอบครัว ตามชื่ออาหาร คือ ขนุน หมายถึง เกื้อหนุน หนุนนำ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div><b>2. ลาบ </b><br />เป็นอาหารยอดนิยมของชาวล้านนามาช้านาน และมีบทบาทเสริมส่งในด้านความเชื่อและวิถีชีวิตอีกหลายประการ ด้วย “ลาบ” พ้องเสียงกับคำว่า “ลาภ” ที่มีความหมายว่า โชคลาภ ลาภลอย การประสบและรับโชคลาภโดยไม่คาดฝัน คนโบราณจึงเชื่อว่าการนำลาบมาทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และถวายพระจะทำให้เจ้าของบ้าน บริวาร ลูกหลานมีโชคลาภ พบแต่สิ่งที่ดี ลาบที่ใช้เป็นลาบหมู ลาบวัว และ ลาบควาย จะเป็นลาบสุกหรือดิบก็ได้</div><div><br /></div><div><b>3. แกงฟักเขียวใส่ไก่</b> </div>แกงฟักเขียวใส่ไก่เป็นอาหารมงคลสำหรับการขึ้นบ้านใหม่ เพื่อเอาเคล็ดว่าให้เป็นที่รักของคนและเทวดาทั้งหลาย ชีวิตครอบครัวจะชุ่มเย็น ดั่งฟัก ฟักเขียวมีความหมายแทนความร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ ในยามที่ได้กินเป็นแห่งการรำลึกถึงความเป็นพี่น้องไปพร้อมกัน <div style="text-align: center;"><br /></div></div><div style="text-align: left;"><b>4. แกงฮังเล</b> </div>อาหารยอดนิยมของชาวล้านนาที่นิยมนำมาถวายพระในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือ แกงฮังเล เนื่องจากวัตถุดิบหลักคือเนื้อสัตว์ซึ่งมีราคาสูง ประกอบกับความพิถีพิถันในการปรุง ที่ต้องใช้เวลานานในการเคี่ยวเนื้อหมูให้เปื่อย นอกจากนี้แกงฮังเล ยังมีส่วนผสมของเครื่องเทศ เมื่อรับประทานแล้วส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมะขามเปียก มีรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี มะขามเปียกอุดมด้วยกรดอินทรีย์ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ขิงแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ป้องกันอาหารคลื่นไส้ อาเจียน ช่วยลดอาการไอและระคายคอ พริกช่วยบรรเทาอาการหวัด ลดการอุดตันของหลอดเลือด ลดคอเรสเตอรอลในเลือด หอมแดงช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดแน่น ช่วยย่อย ทำให้เจริญอาหาร บรรเทาอาการบวมน้ำ กระเทียมแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น แกงฮังเลจึงนับเป็นอาหารสำคัญในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่<div><br /></div><div><div><b>5. แกงอ่อม</b> </div><div>นอกจาก แกงขนุน ลาบ แกงฝักเขียวใส่ไก่ และแกงฮังเล ที่นิยมนำมาใช้ในการในงานขึ้นบ้านใหม่ของคนทางภาคเหนือ (ล้านนา) แล้ว ยังมีแกงอ่อมที่นิยมนำมาใช้เลี้ยงเลี้ยงพระ และเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน เพราะแกงอ่อมมีสมุนไพรเป็นวัตถุดิบที่ช่วยบำรุงสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นผักชีลาว ตะไคร้ ข่า ต้นหอมผักชี ใบมะกรูด เมล็ดผักชี มะแหลบ มะแขว่น ฯลฯ ซึ่งแกงอ่อมของชาวล้านนาก็มีทั้ง </div><div>แกงอ่อมหมู แกงอ่อมเนื้อ หรือแกงอ่อมเครื่องในอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมนูอาหารชั้นดีของชาวล้านนาเลยทีเดียว</div></div><div><br /></div>การขึ้นบ้านใหม่เป็นพิธีมงคลที่ทุกบ้านควรทำ เนื่องจากเป็นพิธีการป้องกันไม่ให้มีสิ่งอัปมงคลเข้ามาในบ้านของเรา และยังเป็นพิธีที่ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งทางสุขภาพร่างกาย ความปลอดภัย ความมั่งคั่ง และความสงบให้กับผู้อยู่อาศัย เมื่อคุณได้ทราบถึงความสำคัญของการขึ้นบ้านใหม่ การเตรียมข้าวของต่างๆ ขั้นตอนปฏิบัติพิธีขึ้นบ้านใหม่ รวมถึงอาหารที่ใช้ในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน ก็จะได้ดำเนินการประกอบพิธีได้อย่างครบถูกต้องสมบูรณ์แบบ ทำให้บ้านมีแต่สิ่งดีๆ ชีวิตของเจ้าของบ้านรวมทั้งผู้อยู่อาศัยก็จะเจริญก้าวหน้าดำเนินไปอย่างสงบสุขอีกด้วย <div><br /></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เรียบเรียง :
</b><br />พรวิมล พันลา ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง :</b></span></div><div><div><span style="color: #666666;">A.P.Y. (2563, 21 เมษายน). ความเชื่อของการแกงขนุนทางภาคเหนือ. ทรูไอดี. https://food.trueid.net/detail/kXlYeO7YYJnD/<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">พิธีขึ้นบ้านใหม่มีขั้นตอนอย่างไร. (2566, 3 กุมภาพันธ์). The Gen C. https://www.ananda.co.th/blog/thegenc/พิธีขึ้นบ้านใหม่มีขั้นตอนอย่างไร<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สำนักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม. (2565, 8 มีนาคม). ลาบเหนือ วัฒนธรรมของชายชาตรี. https://art-culture.cmu.ac.th/Lanna/articleDetail/2547<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">ฐิติวรฎา ใยสาลี, สุรีย์พร ธัญญะกิจ, จุฑารัตน์ ศักดิ์มั่นวงศ์, และนพพร แพทย์รัตน์. “แกงฮังเล” วัฒนธรรมและความเชื่อ. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 9(2), 172-186. </span></div><div><span style="color: #666666;">https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/download/213511/149805/684838</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-39981770475786456562023-10-02T18:27:00.001+07:002023-10-02T18:27:41.950+07:00การประเมินสภาพจริงจากการที่สำนักงาน กศน. ได้รับการยกฐานะเป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 มีหน้าที่ จัด ส่งเสริม และสนับสนุนการเรียนรู้ ใน 3 รูปแบบ คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง และการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ โดยคำนึงถึงความหลากหลายและความต้องการของผู้เรียน และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย มีโอกาสเรียนรู้ และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติ มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 <br /><br />ดังนั้นครูผู้สอนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้สอนทุกคนต้องตระหนักว่าการพัฒนาผู้เรียนในการจัด ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ หรือการจัดการศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิม ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ซึ่งมิได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาไม่ว่าด้วยเหตุใด เพื่อให้ได้รับคุณวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านสามัญศึกษาหรืออาชีวศึกษา ให้สามารถเรียนรู้ได้ตามความถนัดและตามความสนใจ ซึ่งในการประเมินผล ให้ใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อใช้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม โดยต้องไม่ใช้วิธีการทดสอบความรู้ในทางวิชาการเพียงด้านเดียว ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 มาตรา 12 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ในสาระการประเมินเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ และการทดสอบเพื่อพัฒนาค้นหาศักยภาพ จุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียน และที่สำคัญผู้สอนต้องศึกษาเกี่ยวกับการประเมินสภาพจริง จะต้องประเมินให้ครบทุกด้าน ทั้งด้านพุทธพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งผู้สอนต้องเลือกใช้เทคนิค และเครื่องมือประเมินที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเกณฑ์การประเมิน<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhoupr8Wsu2Ko0DTE12W6etvoBHyzLF6HBJiv6sOm0uzgw3e3h2M7G7b5cUOPSEn8jiiNAlr9D7y6zdSANlGbNfjNCpobW_r583mzj_R-tFumHnNl9tRTfHV78B5DgPRwWXH0bQvdVYL5sRk89LyMVKLCNOhUj15jLuPcv0cSvFgYWNtLj4uzj0xF-qvwc/s650/ED256609-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhoupr8Wsu2Ko0DTE12W6etvoBHyzLF6HBJiv6sOm0uzgw3e3h2M7G7b5cUOPSEn8jiiNAlr9D7y6zdSANlGbNfjNCpobW_r583mzj_R-tFumHnNl9tRTfHV78B5DgPRwWXH0bQvdVYL5sRk89LyMVKLCNOhUj15jLuPcv0cSvFgYWNtLj4uzj0xF-qvwc/s16000/ED256609-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div><b>การประเมินสภาพจริง</b></div><div>การประเมินสภาพจริง เป็นวิธีการประเมินที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมและทักษะที่จําเป็นของผู้เรียนในสถานการณ์ที่เป็นจริง และเป็นวิธีการประเมินที่เน้นงานหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนได้แสดงออกโดยการกระทำ เน้นกระบวนการเรียนรู้ผลผลิตและผลงาน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินและร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งวิธีการนี้เชื่อว่าจะช่วยพัฒนาการ การเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง<br /><br /></div><div>กระบวนการประเมินอาจใช้วิธีการสังเกต การบันทึก การรวบรวมข้อมูลจากผลงานและวิธีการที่ผู้เรียนได้เคยทำไว้ด้วยวิธีการที่หลายหลาย กลยุทธ์สำคัญของการประเมินตามสภาพจริงคือ การกระตุ้นหรือท้าทายให้ผู้เรียนได้แสดงออกโดยการกระทำว่า ตนเองมีความสามารถอะไร และได้เคยททำสิ่งใดบ้าง แทนการทำแบบทดสอบหรือข้อสอบเหมือนการประเมินแบบเดิม ๆ นอกจากเน้นเรื่องการกระทำและผลงานแล้ว การประเมินนี้ยังเน้นความสามารถทางสติปัญญา กระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การแก้ปัญหา มากกว่าการเน้นเรื่องการท่องจำ หรือการหาคําตอบจากแบบทดสอบ </div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjswB0w6dPL6r6-1lvIIa6JznPdtvryVpDeypHY2yzTrQv2Dy4XLk1V41f4nB8jUz9r1nGas3AkrIgWmkjNNroUm5P5yT-sbVjPPy3GV869bjgbQEV7lluNnsdOMAFafrapeTXd41TU_JbC7yGxpvhpi5X-DxLf_CJxIRXOjEsv07ND4OGP5UPEJYer_7Q/s650/ED256609-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="230" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjswB0w6dPL6r6-1lvIIa6JznPdtvryVpDeypHY2yzTrQv2Dy4XLk1V41f4nB8jUz9r1nGas3AkrIgWmkjNNroUm5P5yT-sbVjPPy3GV869bjgbQEV7lluNnsdOMAFafrapeTXd41TU_JbC7yGxpvhpi5X-DxLf_CJxIRXOjEsv07ND4OGP5UPEJYer_7Q/s16000/ED256609-2.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhluF3Q_8AtTuSHpgIL8ezX77XlbsiMw3KrPqKHF1qbpWINqVEkqio2z7dW6JW3QLEu_0vpb49zDzbSJnxmEpa6rTzD-qel9PYt8BmX8CnYhD2ozu9RQXKWinrHCZzzOJpG9_tpJ652FGq0GOO2iryDQmtXREIC44vPqQ1melS53gIdZEbEqqbMPiOCttE/s650/ED256609-5.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="582" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhluF3Q_8AtTuSHpgIL8ezX77XlbsiMw3KrPqKHF1qbpWINqVEkqio2z7dW6JW3QLEu_0vpb49zDzbSJnxmEpa6rTzD-qel9PYt8BmX8CnYhD2ozu9RQXKWinrHCZzzOJpG9_tpJ652FGq0GOO2iryDQmtXREIC44vPqQ1melS53gIdZEbEqqbMPiOCttE/s16000/ED256609-5.png" /></a></div><div style="text-align: left;"><b>ลักษณะสำคัญของการวัดประเมินสภาพจริง</b></div></div><div style="text-align: left;"><div>การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินทางเลือกใหม่ (alternative assessment) ที่เน้นการประเมินผลจากการปฏิบัติงานซึ่งต่างจากการประเมินที่เน้นการทดสอบเป็นสำคัญ ลักษณะสำคัญของการวัดประเมินผลตามสภาพจริงมี ดังนี้</div><div><ol style="text-align: left;"><li>การประเมินสภาพจริง เน้นแนวคิดที่ว่าความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีความหมายได้หลากหลาย ดังนั้นการวัดควรใช้วิธีการอย่างหลากหลาย</li><li>การเรียนรู้เป็นกระบวนการตามความต้องการของผู้เรียน มากกว่าการบังคับให้เรียน ดังนั้นผู้เรียนจึงมีความกระตือรือร้น และแสวงหาความรู้เพื่อความอยากรู้มากกว่าการเรียนเพื่อให้ทำข้อสอบได้คะแนนสูง ๆ</li><li>การวัดประเมินผลตามสภาพจริง เน้นกระบวนการเรียนรู้และผลผลิต โดยพิจารณาจากสิ่งที่ผู้เรียน เรียนรู้และทําไมจึงเกิดการเรียนรู้เช่นนั้น</li><li>การวัดประเมินผลตามสภาพจริง มุ่งเน้นในการสืบเสาะ พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาตามสภาพจริงที่เกิดขึ้น ผู้เรียนต้องสังเกต วิเคราะห์และทดสอบความรู้ของตนเองจากการปฏิบัติ</li><li>การวัดประเมินสภาพจริงมีจุดประสงค์เพื่อ กระตุ้น และอํานวยความสะดวกให้กับผู้เรียน และสะท้อนผลการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาให้กับผู้เรียน</li></ol><div><div><b>เครื่องมือวัดและประเมินตามสภาพจริง</b></div><div>การวัดและประเมินผลให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการวัด จะต้องอาศัยเทคนิค การเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพเหมาะสมกับคุณลักษณะที่ต้องการศึกษา รวมถึงเงื่อนไขบริบทอื่นๆ อาทิ จุดประสงค์การวัด ลักษณะผู้สอบ ปริมาณ ระยะเวลา สถานที่ งบประมาณ การประเมินตามสภาพจริง จะใช้วิธีการประเมินหลากหลาย ส่วนเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบ การสอบสัมภาษณ์ การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน</div></div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRj0LMTKqJ6QCiG1YmYuAlMbTaU0EnfE4ARIHhnkgNSn0Hw-DH8j9KX5HAN_lkQRSuSbJ8ZSawj8BGGYdxCmZaqcvulXscVaLxMyEggodr0qy03FgL34ZUEAa2jxpXR3iDHDR6r-KVB_earWgGeQY3uhWVuT8OaJGJ0KeScM7Dwn9Su6yLasUFPWVS4AU/s650/ED256609-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRj0LMTKqJ6QCiG1YmYuAlMbTaU0EnfE4ARIHhnkgNSn0Hw-DH8j9KX5HAN_lkQRSuSbJ8ZSawj8BGGYdxCmZaqcvulXscVaLxMyEggodr0qy03FgL34ZUEAa2jxpXR3iDHDR6r-KVB_earWgGeQY3uhWVuT8OaJGJ0KeScM7Dwn9Su6yLasUFPWVS4AU/s16000/ED256609-3.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">Image by rawpixel.com on Freepik</span></div><ol style="text-align: left;"><li><b>การทดสอบ</b> การทดสอบจะใช้แบบทดสอบ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบเขียนตอบ แบบสอบเลือกตอบ และสอบภาคปฏิบัติและแบบวัดต่าง ๆ เป็นต้น</li><li><b>การสอบสัมภาษณ์</b> เป็นวิธีการวัดผลด้วยการซักถาม สนทนา โต้ตอบ เพื่อประเมินความคิด ทัศนคติ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (เตรียมคําถามไว้ล่วงหน้า) และคําถามแบบไม่มีโครงสร้าง (กำหนดเฉพาะแนวทาง หรือประเด็นแต่ไม่มีคําถามที่ชัดเจน)</li><li><b>การสังเกต</b> เป็นการวัดและประเมินที่มีรายการ พฤติกรรมเป้าหมายที่ต้องการเก็บข้อมูล ด้วยประสาทสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางหูและตา เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่มีความละเอียด ชัดเจนของผู้เรียนในสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตรวัดประเมินค่า และแบบบันทึก เป็นต้น</li><li><b>การตรวจผลงาน </b>เป็นการวัดและประเมินด้วยการกำหนดงาน กิจกรรม หรือแบบฝึก ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติฝึกฝน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง ด้วยตนเองหรือเพื่อนผู้เรียนที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงสำหรับสะท้อนผลการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบต่อไป เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินผลงาน</li><li><b>การใช้แฟ้มสะสมงาน </b>เป็นการวัดและประเมินที่ใช้หลักการเก็บหลักฐานผลงานที่ดีและมีความภาคภูมิใจ ที่เป็นตัวแทนงานที่ปฏิบัติของผู้เรียนเกี่ยวกับ ทักษะ แนวคิด ความสนใจ ความสำเร็จ โดยมีผลการประเมิน จุดเด่น จุดด้อยของชิ้นงาน อันแสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนด้วยตนเองของผู้เรียนเอง เพื่อนร่วมชั้น หรือผู้สอน แล้วนําหลักฐานมาบรรจุลงในแฟ้ม สมุดโน๊ต แผ่นบันทึกข้อมูล เป็นต้น ลักษณะแฟ้มสะสมงานที่ดีควรมีความหลากหลาย สามารถสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน เครื่องมือที่ใช้สำหรับประเมินแฟ้มสะสมงาน ได้แก่ แบบบันทึก แบบประเมิน ผลงาน และแบบประเมินตนเอง เป็นต้น</li><li><b>การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน </b>ศูนย์ประเมิน คือสถานที่ หรือคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ที่สร้าง หรือกำหนดขึ้นเพื่อให้สำหรับทดสอบหรือประเมินผู้เรียนภายใต้สถานการณ์จําลอง หรือสิ่งเร้า เพื่อให้ผู้เรียนตอบสนองโดยการแสดงออกตามพฤติกรรมบ่งชี้ การประมวลความรู้ และทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด และอยู่ในระดับใด กิจกรรมหรือสถานการณ์ที่กําหนดให้มีหลากหลาย ได้แก่ เกม แบบฝึกขั้นตอนการทำงาน ใบงาน การสนทนากลุ่ม การทำงานเป็นกลุ่ม และการแสดงบทบาทสมมุติ การนําเสนองาน เครื่องมือที่ใช้วัดประกอบด้วย แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตรวัดประเมินค่า แบบบันทึกพฤติกรรม แบบประเมินผลงาน และแบบทดสอบ เป็นต้น</li></ol><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfRCOrAnJu6oGrpOnceS26jm8Q6Vp6Bmcf-uZd8p6HUkHfmZf436e6QKYs_3Qe1wmqIF1F4hWYsc8IA1oORxFlzoVyNahRDOwDJ7v3_UZz4wvyj1HLpHeLzA_-Zoz9JE3xBkqprIOXgTc6swGgXh98Ngj7hSfdzcCritQ1QKFYio5wkY8yyffm0gixgdY/s650/ED256609-4.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="230" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfRCOrAnJu6oGrpOnceS26jm8Q6Vp6Bmcf-uZd8p6HUkHfmZf436e6QKYs_3Qe1wmqIF1F4hWYsc8IA1oORxFlzoVyNahRDOwDJ7v3_UZz4wvyj1HLpHeLzA_-Zoz9JE3xBkqprIOXgTc6swGgXh98Ngj7hSfdzcCritQ1QKFYio5wkY8yyffm0gixgdY/s16000/ED256609-4.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div>สรุปได้ว่า การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินที่เน้นการประเมินผลจากการปฏิบัติจริง (Active Performance) ซึ่งต่างจากเดิมใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดและประเมินผลน้อยครั้งเพียงเพื่อตัดสินผลการเรียน มาเป็นการวัดและประเมินที่เน้นการติดตามผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุสิ่งที่ยังบกพร่องนำไปปรับปรุง แก้ไขให้เกิดการเรียนรู้ตามศักยภาพ มีการเปลี่ยนวิธีการวัดและเครื่องมือที่ใช้ในการวัดที่มีคุณภาพเหมาะสมกับคุณลักษณะที่ต้องการ มักใช้วิธีการประเมินหลากหลาย ส่วนเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบ การสอบสัมภาษณ์ การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน<br /><div style="text-align: center;"><br /></div></div></div>
<hr /><b><span style="color: #666666;"> เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">สุมาลี อริยะสม ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง :</span></b></div><div><div><span style="color: #666666;">พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566. (2566, 19 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 140 ตอนที่ 20. </span></div><div><span style="color: #666666;">หน้า 60-72.<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">สมชาย รัตนทองคำ. การวัดและการประเมินผลการศึกษา (เอกสารประกอบการสอน 475 788 การสอนทางกายภาพ บำบัด ภาคต้นปีการศึกษา 2554). https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ. (2545). การจัดกระบวนการเรียนรู้ : เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-40697651545751923892023-10-02T15:15:00.000+07:002023-10-02T15:15:49.910+07:00การวัดประเมินผลการเรียนรู้<b>จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้</b><br />จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ คือ ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนจากการที่ยังไม่มี ไม่รู้ ไปสู่การให้มี ให้รู้ ฉะนั้นในการจัดการเรียนรู้โดยทั่วไป ผู้สอนจะต้องตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้ว่า สิ่งที่ต้องการจัดกระบวนการเรียนรู้คืออะไร เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่างไร เพราะวัตถุประสงค์ที่จะจัดกระบวนการเรียนรู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน และเมื่อครูจัดประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสมตามวัตถุประสงค์แล้ว จะต้องมีการวัดและประเมินผลเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนรู้จริงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ <div><br /></div><div>ในการจัดการเรียนรู้ ต้องมีกระบวนการที่คอยตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ กระบวนการนี้จะพยายามให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันเป็นผลจากการเรียนรู้ เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาวิชา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบการวัดและประเมินผล การเรียนการบริหารหลักสูตรและการแนะแนว เป็นต้น กระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางการเรียนรู้และนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าสอดคล้องกันดีหรือไม่ เรียกว่า “<b>การวัดและประเมินผลการเรียนรู้</b>”<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZYgln23Qgc4xeYiQdTKxhQl6p50gdGg9RQXwx1-8HC3jbwgEHtWxJhy_TLF_Zof-kJ5vT7D_vlXCnvXWJ0dQr2GOy-sD8gHirgwsbIOvC50yDVsIGyM7_YcDGDmbIMO1Ree3WJTu0QT9sx_-dZRMD47Oqrotp7SHLp-fVgQjLmPTCHtQbM6eh-6RabMI/s650/ED256608-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZYgln23Qgc4xeYiQdTKxhQl6p50gdGg9RQXwx1-8HC3jbwgEHtWxJhy_TLF_Zof-kJ5vT7D_vlXCnvXWJ0dQr2GOy-sD8gHirgwsbIOvC50yDVsIGyM7_YcDGDmbIMO1Ree3WJTu0QT9sx_-dZRMD47Oqrotp7SHLp-fVgQjLmPTCHtQbM6eh-6RabMI/s16000/ED256608-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>ครู </b>มีบทบาทสำคัญในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะครูเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างระบบการศึกษากับผู้เรียน สิ่งที่ครูพูด ครูจัดกิจกรรม มีอิทธิพลอย่างสูงสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียน ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้และประเมินผลเอง ผลการวัดของผู้เรียนสามารถนำมาประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูได้ ดังนั้น ครูต้องรู้จักวิธีการวัดและประเมินผล เช่น การสร้างแบบสำรวจ แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบทดสอบ การดำเนินการสอบ เป็นต้น นอกจากนี้ครูยังต้องมีความสามารถในการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลให้มีคุณภาพและยังต้องรู้ว่าในการวัดผลนั้น มีจุดมุ่งหมายที่จะวัดอะไร ต้องการวัดสมรรถภาพทางด้านใดของผู้เรียน</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;"><b>ลักษณะสำคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ </b></div><div class="separator" style="clear: both;">การวัดผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนนิยมวัดผลการเรียนรู้ เป็น 3 ด้านคือ พุทธิพิสัย (cognitive domain) จิตพิสัย (affective domain) และทักษะพิสัย (psychomotor domain) ซึ่งมีลักษณะสำคัญ ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li><b>การวัดผลเป็นการวัดทางอ้อม (Indirect Measurement) <br /></b>คุณลักษณะที่ตรวจวัดในทางการศึกษา เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สติปัญญา ความถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพ เจตคติ ฯลฯ ของผู้เรียนนั้น มีลักษณะเป็นสภาพทางจิตวิทยาในตัวผู้เรียน เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง เพราะไม่สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ วิธีการตรวจวัดจึงเริ่มโดยการแปลงคุณลักษณะนั้นออกมาให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้หรือสังเกตได้ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือเป็นสิ่งเร้าแก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนตอบสนองโดยแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาผู้สอนจึงสามารถตรวจวัดพฤติกรรมนั้น ๆ ได้ในเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพแล้วแต่กรณี </li><li><b>การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Imperfect Measurement) <br /></b>การจัดการเรียน การสอนในห้องเรียน เป็นการจัดตามเนื้อหาและจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตรระดับชั้นต่าง ๆ เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนจะมีอยู่มาก ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่วัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อาจไม่สามารถตรวจวัดหรือทดสอบให้ครอบคลุมหรือครบถ้วนในทุกประเด็นของเนื้อหาและทุกพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของเวลา งบประมาณ ค่าใช้จ่ายและสภาพการณ์ที่เป็นจริง เช่น ถ้าผู้สอนจะใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดความสามารถในการบวกเลขหลักเดียวของผู้เรียนให้ครบถ้วนในเนื้อหา ครูต้องเขียนข้อสอบจำนวน 100 ข้อ คือ 0+0, 0+1, 0+2, ......, จนถึง 9+9 ให้ผู้เรียนตอบจึงครอบคลุมเนื้อหา ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ ในทางปฏิบัตินั้นครูจะเลือกข้อสอบบางข้อมาเป็นตัวอย่าง (Sample) โดยพิจารณาว่าเป็นตัวแทนของเนื้อหาทั้งหมด ซึ่งเปรียบได้กับประชากร (Population) ดังนั้น การวัดผลการศึกษาจึงเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ครบถ้วนทั้งหมด เพราะข้อจำกัดหลาย ๆ ประการ การนำข้อมูลจากการวัดผลไปใช้ในการประเมินผลเพื่อตัดสินคุณลักษณะนั้น จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้เกิดความมั่นใจว่าตัวอย่างที่นำมาใช้วัดผลนั้น เป็นตัวแทนที่ดีของเนื้อหาและพฤติกรรมอย่างแท้จริงก่อน</li><li><b>การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดเชิงสัมพัทธ์ (Relative Measurement) <br /></b>จำนวนหรือตัวเลขที่ได้จากการวัดผลที่เรียกว่า คะแนน (Score) นั้น มีระดับการวัดได้สูงสุดในมาตราอันตรภาค (Interval Scale) เท่านั้น ซึ่งเป็นมาตราการที่ไม่มี ศูนย์แท้ (Non absolute Zero) หมายความว่า เลข 0 ในการวัดผลการศึกษาไม่ได้มีความหมายว่า “ไม่มีคุณลักษณะที่วัด” เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้วัดผลไม่สามารถจะวัดลงไปได้ครบถ้วนจนถึงจุดที่เป็นศูนย์แท้จริง เช่น ผู้เรียนที่สอบได้ 0 คะแนน จากการทดสอบด้วยแบบทดสอบฉบับหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนไม่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นเพราะแบบทดสอบที่ใช้วัดผลไม่สามารถบรรจุเนื้อหาทั้งหมดทุกประเด็นที่ผู้สอนไว้ได้ แต่ใช้ตัวอย่างของเนื้อหาและพฤติกรรมมาสอบวัดเท่านั้น นอกเหนือจากสาระในแบบทดสอบแล้วผู้เรียนอาจตอบได้แต่ไม่ปรากฏอยู่ในข้อสอบ สำหรับคะแนนที่ได้จากการวัดผลก็ไม่มีความหมายในตัวมันเอง ไม่สามารถประเมินผลว่าผู้ที่ได้คะแนนนั้นมีความสามารถอยู่ในระดับใด เช่น ผู้เรียนสอบได้คะแนน 42 คะแนน สรุปไม่ได้ว่าคะแนนเท่านี้เก่งหรืออ่อนมากน้อยเพียงใด จนกว่าจะนำคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบหรือสัมพันธ์กับเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะให้ความหมายได้ดีขึ้น เช่น คะแนน 42 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเต็ม 50 คะแนน หรือเมื่อนำคะแนนไปสัมพันธ์กับเกณฑ์อื่น ๆ อีก ก็จะให้ความหมายที่เด่นชัดขึ้น เช่น เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย (Mean) หรือเปรียบเทียบกับคะแนนปกติวิสัย (Norm) เป็นต้น </li></ol></div></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiG7D3bnvbBUXtkyb5J9VWL6j4X-p0njeiJKx_3L5opAYndYvARKWlJbMLJZsAIJVSarB3vpBJcLdJYCp4_sBxVhKEdLtRmu0HrysCWPjTW2VlYAQ2hFlsZ5njOO021GdrvkM8rXZcUJAdXZuyswu7geiNaLW1B8_hGNkWrIRi7NUFckQaWCP14OmbjSN8/s650/ED256608-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiG7D3bnvbBUXtkyb5J9VWL6j4X-p0njeiJKx_3L5opAYndYvARKWlJbMLJZsAIJVSarB3vpBJcLdJYCp4_sBxVhKEdLtRmu0HrysCWPjTW2VlYAQ2hFlsZ5njOO021GdrvkM8rXZcUJAdXZuyswu7geiNaLW1B8_hGNkWrIRi7NUFckQaWCP14OmbjSN8/s16000/ED256608-2.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">Image by rawpixel.com on Freepik</span></div><br /><b>ลักษณะการประเมินผลทางการศึกษาที่นิยมใช้</b> มี 2 ลักษณะคือ<div style="text-align: left;"><div><ol style="text-align: left;"><li><b>ประเมินผลเพื่อการพัฒนา (formative valuation) </b>เป็นการประเมินผลระหว่างการจัดการเรียนการสอน นิยมใช้เพื่อตรวจสอบการเรียนรู้และความก้าวหน้า ของผู้เรียนหรือปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน จะใช้แบบทดสอบ การสังเกต การซักถาม หรือเครื่องมือวัดอื่น ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งจะใช้วัดเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนของแต่ละครั้ง </li><li><b>การประเมินผลสรุป (summative valuation) </b>เป็นการประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนปลายภาคการศึกษา และตัดสินผลการเรียน โดยมีเกณฑ์ตัดสินที่ชัดเจน เช่น การตัดสินแบบอิงกลุ่ม(เกรด A, B, C, D, F) การตัดสินแบบอิงเกณฑ์ (60 เปอร์เซ็นต์ สอบผ่าน) เป็นต้น โดยทั่วไปของการวัดสิ่งใดก็ตาม จะต้องกําหนดเป้าหมายหรือสิ่งที่จะวัดให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไรและประเมินอย่างไร จากนั้นจึงเลือกใช้เครื่องมือและเทคนิคที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะประเมิน หากไม่มีเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน นิยมสร้างขึ้นเองอย่างมีหลักการ และขั้นตอนสุดท้ายคือการนําวิธีการและเครื่องมือไปประเมินอย่างไม่มีอคติและยุติธรรม ผู้วัดควรตระหนักว่า การวัดผลจะมีความคาดเคลื่อนหรือข้อผิดพลาดเสมอ</li></ol><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEc39SxZwFpdHO0_iRBTDIZmmNTpNi5RnYOPnY8uLCbKhKZgnWBS5TCguAE7_LkZqjy6AT1DsRDhi3eeHVcFp-t6qIUurSBuQq0CyRLJl10AV5XD86xgMbrRS88y67Unfu1YtCsFJkWcuXKWHW1qJ6WtVpnhh43NWIIJ0mullLN-UVs_KN9nmZmXX3ivU/s650/ED256608-4.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEc39SxZwFpdHO0_iRBTDIZmmNTpNi5RnYOPnY8uLCbKhKZgnWBS5TCguAE7_LkZqjy6AT1DsRDhi3eeHVcFp-t6qIUurSBuQq0CyRLJl10AV5XD86xgMbrRS88y67Unfu1YtCsFJkWcuXKWHW1qJ6WtVpnhh43NWIIJ0mullLN-UVs_KN9nmZmXX3ivU/s16000/ED256608-4.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="text-align: left;"><span style="color: #666666;">Image by photoroyalty on Freepik</span></span></div><b><div><b><br /></b></div>ประโยชน์ของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้</b><ol style="text-align: left;"><li><b>ประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน</b> ทำให้ผู้เรียนทราบจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนการสอนที่ชัดเจน ทำให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ผลการวัดและประเมินดีขึ้น ช่วยสร้างนิสัยในการใฝ่รู้ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เมื่อไม่สามารถตอบคำถามหรือตอบแบบทดสอบได้ผู้เรียนจะไปศึกษาเพิ่มเติมก่อให้เกิดนิสัยอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และทำให้ทราบถึงสถานภาพทางการเรียนของตนเองว่า เด่น-ด้อยในเรื่องใด ควรได้รับการปรับปรุงอย่างไร</li><li><b>ประโยชน์ต่อครูผู้สอน</b> ทราบข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนทราบถึงผลการสอนของครูว่ามีประสิทธิผลมากน้อยเพียงไร ทำให้ครูได้ข้อมูลในการปรับปรุงการจัดกิจกรรมการสอนหรือการกำหนดจุดมุ่งหมายในการสอนที่เหมาะสมต่อไป และช่วยให้ครูกำหนดเทคนิควิธีสอนที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล กรณีที่ประสงค์จะสอนเพิ่มเติมหรือสอนซ่อมเสริม</li><li><b>ประโยชน์ต่อผู้ปกครองผู้เรียน ผู้ปกครอง </b>ที่ส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาในสถานศึกษานั้น ต้องการทราบถึงพัฒนาการหรือความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนในความปกครองเป็นระยะ ๆ และต้องการทราบถึงสมรรถภาพในการเรียนของผู้เรียนด้วย การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษาจะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกรายการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ผลการประเมินจึงต้องให้ผู้ปกครองของผู้เรียนทราบด้วยเพื่อที่ผู้ปกครองจะได้ใช้เป็นพื้นฐานการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาต่อไป</li><li><b>ประโยชน์ต่องานแนะแนว</b> เพราะผู้เรียนต้องการได้รับคำแนะนำหรือข้อชี้แนะเกี่ยวกับการเลือกอาชีพ การศึกษาต่อและปัญหาส่วนตัวที่ประสบอยู่ สถานศึกษาทุกแห่งจึงมีหน่วยงานบริการแนะแนวที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ในการจัดดำเนินงานการแนะแนวให้มีประสิทธิภาพข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีอยู่อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามความเป็นจริง ข้อมูลเหล่านี้จะได้มาจากกระบวนการของการวัดผลและประเมินผลการศึกษา เช่น การจัดเจตคติ การวัดความสนใจ การวัดบุคลิกภาพ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดความถนัด เป็นต้น</li><li><b>ประโยชน์ต่อการบริหารการศึกษา </b>ผลการประเมินโดยภาพรวมของสถานศึกษานั้น ๆ จะเป็นข้อมูลบอกถึงประสิทธิภาพในการจัดและการบริหารการศึกษา นอกจากนี้ในระบบการบริหารการศึกษายังมีความจำเป็นต้องใช้การวัดผลและประเมินผลเพื่อเป็นเครื่องมือการดำเนินกิจกรรมหลาย ๆ ด้าน เช่น การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ การสอบคัดเลือก การจัดแยกประเภทผู้เรียนและการประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นต้น</li><li><b>ประโยชน์ในการวิจัยการศึกษา</b> ข้อมูลทางการศึกษาที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลการศึกษาด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้เรียน ครู ผู้บริหาร บุคลากรในสถานศึกษา งบประมาณ ระบบการบริหาร การจัดการ และอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ นั้นจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อศึกษา วิจัยในประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี</li></ol>สรุปได้ว่า “การวัดและประเมินผลการเรียนรู้” จึงเป็นกระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยนำข้อมูลอันเป็นผลจากการเรียนรู้ มาเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาวิชา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบการวัดและประเมินผลการเรียน การบริหารหลักสูตรและการแนะแนว เป็นต้น โดยต้องมีการสร้างเครื่องมือที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สอดคล้อง และตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัด และการประเมินผลที่มีคุณภาพด้วย </div><div><br /></div></div></div>
<hr /><b><span style="color: #666666;"> เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">สุมาลี อริยะสม ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง :</span></b></div><div><div><span style="color: #666666;">สถาบัน กศน. ภาคเหนือ. (2565). <i>คู่มือการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551</i>. ลำปาง : สถาบัน กศน.ภาคเหนือ. <br /> </span></div><div><span style="color: #666666;">สำนักงาน กศน.. (2555). <i>คู่มือการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551</i>. กรุงเทพฯ : รังษีการพิมพ์.<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">สำนักงาน กศน.. (2555). <i>คู่มือการดำเนินงานหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 </i>(ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2555) (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : รังษีการพิมพ์.<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">สมชาย รัตนทองคำ. <i>การวัดและการประเมินผลการศึกษา</i> (เอกสารประกอบการสอน 475 788 การสอนทางกายภาพ บำบัด ภาคต้นปีการศึกษา 2554). https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-1041926137138330712023-09-22T15:34:00.004+07:002023-12-19T11:11:29.510+07:00พรรณไม้ในสถาบัน สกร.ภาคเหนือ : มะเกลือ<b>มะเกลือ</b> เป็นพรรณไม้ที่มีลักษณะเด่นคือ ทุกส่วนของมะเกลือเมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ในสมัยก่อนจะใช้ยางจากผลไปใช้ย้อมผ้า ได้สีเทาถึงน้ำตาล สีย้อมจากมะเกลือเกิดจากการนำผลของมะเกลือมาย้อมเส้นใยหรือผ้า โดยมะเกลืออ่อนนำมาย้อมได้สีดำ มะเกลือสุกนำมาย้อมได้สีเทา มะเกลือดองนำมาย้อมได้สีเทาอ่อน กระบวนการย้อมจะเริ่มจากการย้อมเย็นได้สีเทาอ่อน แล้วจึงย้อมร้อนให้ได้สีน้ำตาลเข้มถึงดำ สามารถย้อมเส้นใยธรรมชาติ เช่น ไหม ฝ้าย ซักแล้วสีไม่ตก นอกจากนี้การดองมะเกลือเก็บไว้ทำให้สามารถย้อมได้ตลอดปี แต่ในปัจจุบันการย้อมผ้าด้วยมะเกลือไม่ค่อยพบแล้ว การปลูกต้นมะเกลือจึงน้อยลง และคนรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยรู้จักต้นมะเกลือกันแล้ว<br /><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbiDaYO818yMzWrd19oz2TMH72r7Am86UEE3nsjKw1ajIv5h1KBLKg-Ff6I0Tu5oZvf2o5WAyx9jA6vC43OXLIbkUDQmYAL9bqr38u0hQrnd6uIvN6nhFPoVsbtdehI-UXhgX9B66Et0kagswaSNVewVQSjuKMU1M3Me-jZNYPuovqHksFcua8D7ZW26Q/s889/EV256606-1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="889" data-original-width="500" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbiDaYO818yMzWrd19oz2TMH72r7Am86UEE3nsjKw1ajIv5h1KBLKg-Ff6I0Tu5oZvf2o5WAyx9jA6vC43OXLIbkUDQmYAL9bqr38u0hQrnd6uIvN6nhFPoVsbtdehI-UXhgX9B66Et0kagswaSNVewVQSjuKMU1M3Me-jZNYPuovqHksFcua8D7ZW26Q/s16000/EV256606-1.jpg" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><div style="text-align: left;"><b>ลักษณะทั่วไป</b></div></div>เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-30 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่ม ลำต้นเปลา (ลำต้นสูงชะลูด ไม่มีกิ่งที่ลําต้น)<div><br /></div><div><b>ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์</b><br /><b>1. ชื่อวิทยาศาสตร์ </b> : <i>Diospyros mollis</i> Griff.<br /><b>2. ชื่อไทย</b> : มะเกลือ<br /><b>3. ชื่อท้องถิ่น</b> : มักเกลือ, ผีเผา, มะเกือ มะเกีย, เกลือ<br /><b>4. ชื่อสามัญ </b>: Ebony tree<br /><b>5. วงศ์ (Family)</b> : EBENACEAE<br /><b>6. สกุล (Genus)</b> : Diospyros<br /><b>7. ลักษณะวิสัย (Habit)</b> : ไม้ยืนต้น<br /><b>8. ลักษณะทางพฤกษศาตร์</b></div><div><ul style="text-align: left;"><li><b>ลำต้น</b> มีลำต้นขนาดย่อม ๆ โคนต้นมักขึ้นเป็นพอพอน ผิวเปลือกเป็นสีดำ แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามยาว เปลือกด้านในมีสีเหลือง แก่นสีดำสนิทเนื้อละเอียดเป็นมันสวยงาม </li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCuFXgFKCpMIqB8nIb4gI40zYLJY3Dp03joUdW_WNr77NOa-XrmUqyOYHELCDMFNzcN_6eXH_TcJDetAgNC0yVkZh_d8mHCKxnP_5jhwKk2mMfhfsowADvkIgH5Qe15jjsFsSMJmQO_mVJrc7u6rtqcCOKFfr5iLvQRbe5C_-M8zqpwYrnWlpnjFhrexU/s650/EV256606-2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="470" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCuFXgFKCpMIqB8nIb4gI40zYLJY3Dp03joUdW_WNr77NOa-XrmUqyOYHELCDMFNzcN_6eXH_TcJDetAgNC0yVkZh_d8mHCKxnP_5jhwKk2mMfhfsowADvkIgH5Qe15jjsFsSMJmQO_mVJrc7u6rtqcCOKFfr5iLvQRbe5C_-M8zqpwYrnWlpnjFhrexU/s16000/EV256606-2.jpg" /></a></div><ul style="text-align: left;"><li>ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก เรียงสลับกัน ก้านใบกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร โคนและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมัน แต่ใบอ่อนมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน</li></ul><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzDR54i7rsIlXRgTYQkHWLCwl3wHZnhBKrQAuLSxMdfLDPyfYPi13ecXpGtObryKExl5hMhlFJBmMWBQCl0YcDUh3KqbbSMWU1o_zKZy_rrlPBkGBYfMcYIq3cenimCi3mrwpcVPTwI5bDPs-1uMAqRpgW-MhGIOdDRG8XXps7NKobZgKytO_HZT0PBo8/s650/EV256606-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="242" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzDR54i7rsIlXRgTYQkHWLCwl3wHZnhBKrQAuLSxMdfLDPyfYPi13ecXpGtObryKExl5hMhlFJBmMWBQCl0YcDUh3KqbbSMWU1o_zKZy_rrlPBkGBYfMcYIq3cenimCi3mrwpcVPTwI5bDPs-1uMAqRpgW-MhGIOdDRG8XXps7NKobZgKytO_HZT0PBo8/s16000/EV256606-3.jpg" /></a></div><div><div><span style="color: #666666;">ภาพจาก : ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม</span></div><div><span style="color: #666666;">http://www.qsbg.org/Database/plantdb/mdp/medicinal-specimen.asp?id=742</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><ul style="text-align: left;"><li><b>ดอก </b> ออกดอกตามซอกใบ มีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ช่อหนึ่งมี 3 ดอก มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ที่โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกโค้งไปด้านหลัง เรียงซ้อนเกยกันทั้งหมด 4 กลีบ มีเกสรอยู่กลางดอก ส่วนดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยว มีขนาดใหญ่กว่า และมีก้านเกสร 4 แฉก รังไข่มีขนปกคลุม</li><li><b>ช่วงเวลาการออกดอก</b> เดือนมกราคมถึงสิงหาคม</li><li><b>ผล</b> มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อผลแก่ มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ขั้วผล 4 กลีบภายในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองประมาณ 4-5 เมล็ด </li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgz4dbo2IAA1fN7yINQPH7irv9pJ_9R0AbxJfNyRH_TnNlSHTjq-wik0_EOOum07o40oGHlzJPdfJWU8bsWOIA72k1IfBcC-UrB0pQ9Xm11NW3scE8K7VkxsDqWl7fJjB7Nv1XVCZ5Dc1vfymnVBsgczhIPTMJj5IDjGdd6ebGypHKgHrEONGois07QjMo/s650/EV256606-5.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="244" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgz4dbo2IAA1fN7yINQPH7irv9pJ_9R0AbxJfNyRH_TnNlSHTjq-wik0_EOOum07o40oGHlzJPdfJWU8bsWOIA72k1IfBcC-UrB0pQ9Xm11NW3scE8K7VkxsDqWl7fJjB7Nv1XVCZ5Dc1vfymnVBsgczhIPTMJj5IDjGdd6ebGypHKgHrEONGois07QjMo/s16000/EV256606-5.jpg" /></a></div><br /><b>9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา </b><br />มีถิ่นกำเนิดในทวีบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม พบในป่าผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบ ในทุกภาคของประเทศไทยและพบมากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร และอุดรธานี </div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEht5xqLez2Nj9OHMn7vsYA8A9v_BNPavs-g1rZf-ZcicCWBXDOlll8ITTUfm5KkvNqA34VdcB9E2L68tX-Xns7JGbfaELw0j6WZrHMrdZ5pd3wzPlUUYg4wbh40X9ZT5VOuIxUmI9X8nFPzSBAusStXJMkrMYDIrLd5eK5l2BsVMrKYtM11Z6NycBuo_pk/s650/EV256606-6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="452" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEht5xqLez2Nj9OHMn7vsYA8A9v_BNPavs-g1rZf-ZcicCWBXDOlll8ITTUfm5KkvNqA34VdcB9E2L68tX-Xns7JGbfaELw0j6WZrHMrdZ5pd3wzPlUUYg4wbh40X9ZT5VOuIxUmI9X8nFPzSBAusStXJMkrMYDIrLd5eK5l2BsVMrKYtM11Z6NycBuo_pk/s16000/EV256606-6.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><span style="color: #666666;">แผนที่แสดงถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของมะเกลือ</span></div><span style="color: #666666;">ภาพจาก Plant of the world online. <br />https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:322726-1</span><br /><br /><b>10. การปลูกและการขยายพันธุ์</b> </div><div class="separator" style="clear: both;">ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด<br /><div><b><br /></b></div><div><b>11. การใช้ประโยชน์</b><br /> ผลมะเกลือ มีสรรพคุณตามตำรายาไทย คือ ผลสดที่โตเต็มที่และมีสีเขียวเข้มช่วยขับพยาธิ ส่วนผลสุกที่มีสีดำสามรถนำไปใช้ย้อมผ้า ย้อมแหซึ่งจะให้สีดำเข้มและติดได้ทนนาน ที่สำคัญมากและต้องระวังคือ ผลมะเกลือสีดำห้ามนำไปรับประทานโดยเด็ดขาดเพราะมีสารพิษที่จะทำให้ตาบอดได้ นอกจากนี้ ไม้มะเกลือซึ่งมีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนำไปทำเครื่องเรือน เครื่องดนตรี หรือทำตะเกียบได้ดีเช่นกัน</div><div><br /> พรรณไม้นี้สามารถสัมผัสของจริงได้ที่บริเวณด้านข้างระหว่างอาคารส่วนการศึกษา บนพื้นที่สูงกับอาคารเทคโนโลยีทางการศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</div></div><div><br /></div></div><hr /><b><span style="color: #666666;">เขียน/เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>ถ่ายภาพ :</b> </span></div><div><span style="color: #666666;">สราวุธ เบี้ยจรัส นัชรี อุ่มบางตลาด อรวรรณ ฟังเพราะ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง :</b><br />พิชัย สราญรมย์, สาโรช เมาลานนท์ และวราวรรณ กิจธรรม. (2526). ความรู้เรื่องมะเกลือและแนวทางวิจัย. <i>ข่าวสารเกษตรศาสตร์</i>. 28(2), 1-11. https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/kukr/search_detail /dowload_digital_file/39174/70288</span><div><span style="color: #666666;"><br />แพรวพรรณ เกษมุล. (2556). <i>การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชสกุล Diospyros ในภาคใต้โดยใช้เทคนิคอาร์เอพีดี</i> [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์]. https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream /2010/9616/1/384702.pdf</span></div><div><span style="color: #666666;"><br />มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). <i>ข้อมูลต้นไม้ : มะเกลือ</i>. ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=3964</span></div><div><span style="color: #666666;"><br />มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะแพทยศาสตร์. (2564, 30 พฤศจิกายน). <i>มะเกลือ</i>. สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์. https://www.med.tu.ac.th/department/attm/?p=2151</span></div><div><span style="color: #666666;"><br />มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะเภสัชศาสตร์. (ม.ป.ป). <i>มะเกลือ</i>. ฐานข้อมูลสมุนไพร.</span></div><div><span style="color: #666666;">https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=90</span><div><br /></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-66062938813351180342023-09-21T14:22:00.004+07:002023-12-19T11:11:18.173+07:00พรรณไม้ในสถาบัน สกร.ภาคเหนือ : ขะจาวขะจาว เป็นต้นไม้มงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานให้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดลำปางในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชสมบัติครบรอบปีที่ 50 โดยได้พระราชทานพันธุ์ไม้ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัดและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOei6vsdBzA-yhOidnq8eDxoz24Y_tfhi1Fo4bGBI6IQXyap1zVVoj5YJzrgd03tBSCNdvb201vqfmD4N4uzah7vulyKFb4Pboo9pGmHmwJazjbf0-Z2pKNK5Q3nhsVw0UsI0cHH7EsZv6af_0RtfU6t0SDJFGNBvGonu5qe0VRb1A8-97hFzJmq2AcrU/s675/EV256605-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="675" data-original-width="506" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOei6vsdBzA-yhOidnq8eDxoz24Y_tfhi1Fo4bGBI6IQXyap1zVVoj5YJzrgd03tBSCNdvb201vqfmD4N4uzah7vulyKFb4Pboo9pGmHmwJazjbf0-Z2pKNK5Q3nhsVw0UsI0cHH7EsZv6af_0RtfU6t0SDJFGNBvGonu5qe0VRb1A8-97hFzJmq2AcrU/s16000/EV256605-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div>ในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ มีต้นขะจาว ซึ่งนับเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญยิ่งต้นหนึ่ง เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูก เมื่อครั้งเสด็จยังสถาบัน กศน.ภาคเหนือ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ9u2OE0OKkMfCl_o13MnKyt0WMcgPiFYlsvoDxlE5mPDkMq7cxdTEYinT0X12_Qix1TD4l-xtPZeByCTCZLhwb4jdmgSw6JM_tpO_JHEnSxOzeTDztslREqZNmhlqA_5lIH8iBrzvbqM9ub_UL1Cuxo6UFWhgCDyJ1wIXv_cauqwi1eGyI1cbxwDS7KI/s650/EV256605-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ9u2OE0OKkMfCl_o13MnKyt0WMcgPiFYlsvoDxlE5mPDkMq7cxdTEYinT0X12_Qix1TD4l-xtPZeByCTCZLhwb4jdmgSw6JM_tpO_JHEnSxOzeTDztslREqZNmhlqA_5lIH8iBrzvbqM9ub_UL1Cuxo6UFWhgCDyJ1wIXv_cauqwi1eGyI1cbxwDS7KI/s16000/EV256605-2.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;"><div><b>ลักษณะทั่วไปของต้นขะจาว </b> </div><div>ขะจาว เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นมักแตกง่ามใกล้โคนต้น เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา มีต่อมระบายอากาศเป็นจุดกลมเล็ก ๆ สีขาวตามลำต้น เรือนยอดเป็นพุ่มรูปไข่กว้างค่อนข้างทึบ</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์</b></div></div><b>1. ชื่อวิทยาศาสตร์</b>: <i>Holoptelea integrifolia</i> (Roxb.) Planch.<br /><b>2. ชื่อไทย</b> : ขะจาว <br /><b>3. ชื่อท้องถิ่น</b> : กระเจา, กระเชา (ภาคกลาง) กระเจาะ ขะเจา (ภาคใต้) กระเช้า (กาญจนบุรี) กะเซาะ (ราชบุรี) กาซาว (เพชรบุรี) ขะจาวแดง ฮังคาว (ภาคเหนือ) ตะสี่แค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) <br />พูคาว (นครพนม) มหาเหนียว (นครราชสีมา) ฮ้างค้าว (อุดรธานี เชียงราย ชัยภูมิ) <br /><b>4. ชื่อสามัญ</b> : Indian Elm<br /><b>5. วงศ์ </b>: URTICACEAE<br /><b>6. ลักษณะวิสัย</b> : ไม้ต้น (Tree)<br /><b>7. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์</b></div><div><ul style="text-align: left;"><li><b>ลำต้น</b> ลำต้นเปลา (สูงชะลูดไม่มีกิ่งที่ลำต้น) เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeQahAgHRAbK1xVNWeii9_p1RR8oGP_q7Wlo1KdwbkzRMx_UWqBuh0ht8Jh80wwCPWsQtIXI5tmijtEfLk2jymfSUzCEBqWlfXF4Zqi73Kr9sFnmYwTmgXLcRyjJR8d6q9dmzFCcFa-7B3lakeo9F8bkxVdnqW_hZe4xJxvR0nQri-UFHmdeeDAN9-drs/s648/EV256605-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="577" data-original-width="648" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeQahAgHRAbK1xVNWeii9_p1RR8oGP_q7Wlo1KdwbkzRMx_UWqBuh0ht8Jh80wwCPWsQtIXI5tmijtEfLk2jymfSUzCEBqWlfXF4Zqi73Kr9sFnmYwTmgXLcRyjJR8d6q9dmzFCcFa-7B3lakeo9F8bkxVdnqW_hZe4xJxvR0nQri-UFHmdeeDAN9-drs/s16000/EV256605-3.jpg" /></a></div><ul style="text-align: left;"><li><b>ใบ</b> เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรีป้อมกว้าง 4-9 เซนติเมตร ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนใบมนหรือป้าน ปลายใบเรียวแหลม ก้านใบมีขน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นจักฟันเลื่อยห่าง ๆ</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi01o3Ly2UDLURMcWpqyJQEQeOIeVKkYkcNlTRsZX-emul0iUaI-3Nl95Mk4VMyWQif-ordoCr2w3wRymcuZ9kCjGj4TltrTI0N-E5dVR78u7aziZlQiWuIU1iZJrag6fWh1jQny3M922PuPrB6dZZpHQ-1CluJcDSaZUk_ZyLhToU8ByqBD-VE6lOvvwk/s650/EV2566054.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="241" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi01o3Ly2UDLURMcWpqyJQEQeOIeVKkYkcNlTRsZX-emul0iUaI-3Nl95Mk4VMyWQif-ordoCr2w3wRymcuZ9kCjGj4TltrTI0N-E5dVR78u7aziZlQiWuIU1iZJrag6fWh1jQny3M922PuPrB6dZZpHQ-1CluJcDSaZUk_ZyLhToU8ByqBD-VE6lOvvwk/s16000/EV2566054.jpg" /></a></div><ul style="text-align: left;"><li><b>ดอก</b> ขะจาวออกดอกเป็นช่อกระจุก ช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ ช่อดอกยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีแดงออกน้ำตาล มีกลีบ 5-6 กลีบ เกสรแยกเพศเป็นดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย มีเกสรเพศผู้ 3-9 อัน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มีก้านสั้น ๆ ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด</li><li><b>ระยะเวลาออกดอก</b> เดือนธันวาคม-มกราคม</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOKohbmvxlLEf7WmkKjwOak4Fjairx7sa3mJH4lzxrEr3iufFuZxBU3lrCuOQ8PDHuPzLmOqkMBRD9eIza9nEKB7e0teFpjwzFVjPxG2b5_CN4Nl_ao3yTdwQu4shN6YhC25bq8MdCA0_grI9JU8Rr8IuOfXTS5vnFGjvgFQtEo5V4k2HX8iMoHO3Fn44/s650/EV256605-5.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="488" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOKohbmvxlLEf7WmkKjwOak4Fjairx7sa3mJH4lzxrEr3iufFuZxBU3lrCuOQ8PDHuPzLmOqkMBRD9eIza9nEKB7e0teFpjwzFVjPxG2b5_CN4Nl_ao3yTdwQu4shN6YhC25bq8MdCA0_grI9JU8Rr8IuOfXTS5vnFGjvgFQtEo5V4k2HX8iMoHO3Fn44/s16000/EV256605-5.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">ดอกขะจาว ภาพโดย Dinesh Valke from Thane, India - Holoptelea integrifolia, CC BY-SA 2.0,</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=5158618</span></div><div><br /></div></div><ul style="text-align: left;"><li><b>ผล</b> ผลเป็นรูปโล่แบน มีปีกบางล้อมรอบ มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด บริเวณปีกมีลายเส้นออกเป็นรัศมีโดยรอบมีปีกบางล้อมรอบ</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh89sLpK3uBkRjN1McHkRAMGI7izJWj5BX4sJm7fUqVUMpABw0t3iKOvJStZKYxOTjUjJJ7uN4KKVVkTYTZjvpuVAqw80uhh7mRSt0SJWSmozr35WJxWvpoL9u0ewGTuvKj3xpC9lNvl8ZVeFq87RhCw5yOsbcWUbPp284oUiB0izUKZ_J-xn46RrNOj9Y/s650/EV256605-6.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="373" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh89sLpK3uBkRjN1McHkRAMGI7izJWj5BX4sJm7fUqVUMpABw0t3iKOvJStZKYxOTjUjJJ7uN4KKVVkTYTZjvpuVAqw80uhh7mRSt0SJWSmozr35WJxWvpoL9u0ewGTuvKj3xpC9lNvl8ZVeFq87RhCw5yOsbcWUbPp284oUiB0izUKZ_J-xn46RrNOj9Y/s16000/EV256605-6.jpg" /></a></div><br /><b>9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา</b><br />ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณและป่าทุ่งบนที่ราบหรือตามเชิงเขาที่ไม่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนัก พบในอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม และเกาะบอร์เนียว <br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9qZNT35INCp7h_sXnBxI_78ZleLwScNPb5n3a1m--5DQQiraNB9xPbTduzV_NtTvGhTOtyyjIwRnFY1NK375uAzZT5BKpeIADyF2r2y8zzJNLGlswWU0TWLpaU-p98SsE670LUvkbLNGooq4ddUM1k1AZlWUzdIWNLpkfSWwN6uGBhvl5tDHA0OLSwcI/s650/EV256605-7.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="416" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9qZNT35INCp7h_sXnBxI_78ZleLwScNPb5n3a1m--5DQQiraNB9xPbTduzV_NtTvGhTOtyyjIwRnFY1NK375uAzZT5BKpeIADyF2r2y8zzJNLGlswWU0TWLpaU-p98SsE670LUvkbLNGooq4ddUM1k1AZlWUzdIWNLpkfSWwN6uGBhvl5tDHA0OLSwcI/s16000/EV256605-7.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">แผนที่แสดงถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของขะจาว</span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">ภาพจาก https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:854174-1</span></div><div><br /></div><b>10. การปลูกและการขยายพันธุ์ </b><div>ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง ทนแล้ง<br /><b><br /></b></div><div><b>11. การใช้ประโยชน์</b><br />ต้นขะจาวเป็นไม้เนื้อแข็ง มีเปลือกหุ้มต้นที่เหนียวมาก มีกลิ่นเหม็นเขียว สามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เนื้อไม้ ใช้ทำสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในร่ม ทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ เสียม ทำพานท้ายปืน เส้นใยจากเปลือกเหนียว ใช้ทำเชือก ผ้าและกระสอบ เปลือกมีสรรพคุณทางยา <br />ใช้ทำยารักษาเรื้อนสุนัข กันตัวไร และเป็นยาแก้ปวดตามข้อ <div><br /></div></div><div><div><b>ขะจาว ต้นไม้คู่เมืองลำปาง</b></div><div>ต้นขะจาวหรือเก๊าจาว ที่มีความสำคัญเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปางมีอยู่ 2 แห่งคือ</div><div><br /></div><div><b>1. ต้นขะจาวที่วัดพระธาตุลำปางหลวง </b></div>มีลักษณะเป็นสองต้น ต้นใหญ่และต้นเล็กโตแยกออกจากกันที่โคน แต่พุ่มและปลายรวมกันเป็นต้นเดียว ต้นใหญ่มีเส้นรอบวงเกือบ 35 เมตร ความสูง 60 เมตร และต้นเล็กมีเส้นรอบวง 3.02-3.96 เมตร สูงโดยประมาณ 15 เมตร มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาตามความเชื่อว่า ต้นขะจาวต้นนี้ ปลูกเมื่อครั้งพุทธกาล โดยชาวลั่วะคนหนึ่งได้นำกิ่งขะจาวมาทำเป็นคานหาบกระบอกน้ำผึ้ง มะพร้าว และมะตูม มาถวายพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง และได้อธิษฐานแล้วนำปลายไม้ขะจาวปักลงในดิน ไม่นานไม้คานนั้น ก็แตกกิ่งก้านเจริญเติบโต ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำเอารากไม้ต้นขะจาวไปบูชา หรือนำไปทำเป็นเครื่องรางของขลังห้อยคอ ต่อมาต้นขะจาวซึ่งเป็นต้นเดิมตามตำนาน ได้แห้งและผุลงจนไม่เห็นซากเดิม แต่ก็มีต้นใหม่งอกออกมาตรงที่เดิมเป็นพุ่มใหญ่ ปัจจุบันต้นขะจาวต้นนี้ อยู๋ในความดูแลของวัดพระธาตุลำปางหลวง อ.เมือง จ.ลำปาง<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8p6IIpmKk9fm8kZl3SSTmLV9l73h3jUvffiuMSH9SZzmiVUHAo_XEp5vt_K28SJtJNJ9XM0m0Tsy-PPSxLGPMF5i_h4iuWtFyx956UNO4EVoXBYtEJ5N8S1sftrr_W_J53By7Wtusbz0fyFwMbirrqPdSdtzYCHMIYPWWnErZMhdgtU-m0ulKnRAT_x8/s750/EV256605-7.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="750" data-original-width="500" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg8p6IIpmKk9fm8kZl3SSTmLV9l73h3jUvffiuMSH9SZzmiVUHAo_XEp5vt_K28SJtJNJ9XM0m0Tsy-PPSxLGPMF5i_h4iuWtFyx956UNO4EVoXBYtEJ5N8S1sftrr_W_J53By7Wtusbz0fyFwMbirrqPdSdtzYCHMIYPWWnErZMhdgtU-m0ulKnRAT_x8/s16000/EV256605-7.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">ต้นขะจาวที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ภาพจาก https://travel.kapook.com/view195496.html</span></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: left;"><b>2. ต้นขะจาวที่ชุมชนบ้านท่าโทก</b> </div><div style="text-align: left;">มีต้นขะจาวขนาดใหญ่อยู่ ณ บริเวณกลางหมู่บ้านท่าโทก ซอย 6 หรือ “ซอยเก๊าจาว” หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งฝาย อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งชาวบ้านคาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 1,000 ปี อยู่ข้างหอหลวงเจ้าพ่อแสงเมือง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในชุมชน ประกอบด้วยต้นขะจาวต้นใหญ่ซึ่งต้นแม่ 2 ต้น และต้นเล็กอีก 2 ต้น ซึ่งเกิดจากเมล็ดขะจาวต้นแม่ มีตำนานเล่าว่าเจ้าพ่อแสงเมืองท่านเป็นทหารศึก ในยามมีศึกท่านจะซุ่มดูข้าศึกอยู่บนต้นขะจาว และส่งสัญญานให้กองทัพทราบว่ามีศัตรูเข้ามารุกราน ปัจจุบันต้นขะจาวต้นนี้อยู่ในความดูแลของชาวบ้านชุมชนบ้านท่าโทก อ.ทุ่งฝาย อ.เมือง จ.ลำปาง</div><div style="text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPmRkoa7aiqDnETbD55X4eeosa2X407OTsWRPG5E7ftowCm6sbQePos2JEP4-cTqq26bgJb5OmducQMCvaAfB4dTwfI8RMcfpMijOQMW41OFZw3WhXP3Mv2GycuPNaBcCOpGfCWfXxImYULGjhMJM0OY9VJWEqKSGN6BoSDr2TgXopCTDXTrMrjH533-g/s650/EV256605-8.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="432" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPmRkoa7aiqDnETbD55X4eeosa2X407OTsWRPG5E7ftowCm6sbQePos2JEP4-cTqq26bgJb5OmducQMCvaAfB4dTwfI8RMcfpMijOQMW41OFZw3WhXP3Mv2GycuPNaBcCOpGfCWfXxImYULGjhMJM0OY9VJWEqKSGN6BoSDr2TgXopCTDXTrMrjH533-g/s16000/EV256605-8.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">ต้นขะจาวอายุ 1000 ปี ณ บ้านท่าโทก ต. ทุ่งฝาย อ. เมือง จ.ลำปาง</span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">ภาพจากเฟซบุ๊ก รุกขกร กรมป่าไม้ https://www.facebook.com/RFD.Arborist/posts/2315368692067732/</span></div><div><br /></div><div style="text-align: left;">ต้นขะจาวทั้ง 2 ต้นนี้ ได้รับการคัดเลือกให้บันทึกลงในหนังสือ <b>รุกข มรดกของแผ่นดิน</b> ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา 2 เมษายน 2561 โดยคัดเลือกและรวบรวมประวัติและเรื่องราวของต้นไม้ที่มีชีวิตยืนยาวในท้องถิ่นทั่วภูมิภาคของไทย</div> <hr /><b><span style="color: #666666;">เขียน/เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">นางสาวนัชรี อุ่มบางตลาด ครู ชำนาญการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง:</span></b></div><div><div><span style="color: #666666;">กระทรวงวัฒนธรรม. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2561) <i>รุกข มรดกของแผ่นดิน</i> [Ebook]. น.186-189. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด. http://tree.culture.go.th/tree2561/1/mobile/index.html</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><i>ขะจาว ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปาง</i>. (2562, 15 มกราคม). เพซบุ๊กรุกขกร กรมป่าไม้.</span></div><div><span style="color: #666666;">https://www.facebook.com/RFD.Arborist/posts/2315368692067732/</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><i>ต้นไม้ประจำจังหวัดลำปาง ต้นขะจาว</i>. 108 พรรณไม้ไทย. https://www.panmai.com/PvTree/tr_52.shtml</span></div><div><span style="color: #666666;">ตามรอย 63 รุกข มรดกของแผ่นดิน สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน. https://travel.kapook.com/view195496.html</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. ส่วนผลิตกล้าไม้. (ม.ป.ป). ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดลำปาง : ขะจาว. https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด/ลำปาง/</span></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-2872721605502290642023-09-07T15:46:00.000+07:002023-09-07T15:46:21.675+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการทดลองนำร่อง (Pilot Study)<b> การทดลองนำร่อง (Pilot Study) </b>เป็นอีกวิธีหนึ่งในการตรวจสอบและประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้จริง ซึ่งการทดลองนำร่องหรือการทดลองใช้หลักสูตร หมายถึง การนำหลักสูตรนั้น ๆ ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของหลักสูตร แต่ลดขนาดและจำนวนกลุ่มเป้าหมายลง โดยเหลือเพียงจำนวนน้อยและระยะเวลาสั้นลง ตลอดจนเลือกเอาเฉพาะตอนใดตอนหนึ่งของหลักสูตรมาทำการทดลอง<div><br /></div><div><div>วัตถุประสงค์ในการใช้การทดลองนำร่องในการประเมินผลหลักสูตรก่อนดำเนินการ ก็เพื่อจะรู้ว่าหากมีการดำเนินการใช้หลักสูตรแล้วจะมีผลอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีอุปสรรคข้อจำกัดอะไรที่อาจจะทำให้วัตถุประสงค์ของหลักสูตรไม่ได้รับการสนองตอบ นอกจากนี้การทดลองนำร่องยังทำให้ผู้พัฒนาหลักสูตรได้ตรวจสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อถือได้ของเครื่องมือที่สร้างขึ้น ข้อมูลที่ได้จากการทดลองนำร่องจะนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyPKtewA3J2Q72d6EEH1sICC7Nt6JKExGmktnRwF7z7EUMjuNikxbQltm3289LsXUVfg6KUoUN9PACtLvpHN97l18JznPU5ddAad7a0-K-2Tcd6LHqEOSmtcgoivawSqVPLC1GOdR0Tkh7S-QHcPOc6GkKzw9sNUvCNznzeB20h7oxOTFYcKowCQ4moFI/s300/ED256607-01.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="276" data-original-width="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyPKtewA3J2Q72d6EEH1sICC7Nt6JKExGmktnRwF7z7EUMjuNikxbQltm3289LsXUVfg6KUoUN9PACtLvpHN97l18JznPU5ddAad7a0-K-2Tcd6LHqEOSmtcgoivawSqVPLC1GOdR0Tkh7S-QHcPOc6GkKzw9sNUvCNznzeB20h7oxOTFYcKowCQ4moFI/s16000/ED256607-01.png" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666; font-size: x-small;">ภาพโดย pikisuperstar จาก Freepik</span></div><br /><div>เมื่อเราใช้เทคนิคการทดลองแล้ว หลักสูตรหรือกิจกรรมต่าง ๆ ในหลักสูตรที่จัดทำขึ้นก็คือสาเหตุหรือสิ่งที่เราจัดกระทำ ในขณะที่ผลที่เกิดขึ้นจากหลักสูตรหรือจากการดำเนินกิจกรรมตามหลักสูตรที่มีต่อกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มข้างเคียงก็คือผล</div><div><br /></div><div>การทดลองนำร่องสำหรับประเมินผลหลักสูตรนี้ จะเกี่ยวข้องกับการกำหนดออกแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) ในลักษณะเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยนิยมใช้แบบทดสอบ แบบสอบถาม และการสังเกต เป็นเครื่องมือและวิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งการใช้การทดลองเพื่อประเมินผลหลักสูตรมีรูปแบบหรือแบบแผนการทดลอง ที่อาจนำมาใช้ได้ดังนี้</div></div><div><br /></div><div><b>1. แบบสองกลุ่มสุ่มทดสอบก่อน-หลัง (Randomized Two Group Pretest-Posttest Design)</b> หรืออาจเรียกว่า แบบกลุ่มควบคุมที่แท้จริง ทดสอบก่อน-หลังการทดลอง (The True Control Group Pretest-Posttest Design) ลักษณะรูปแบบเป็นดังนี้<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaoRCMhKJcbPDBQZ8Apc5L9JZ7eyfGIOMsxw6TekOPmULWeDTxgHX0qnwP1nk_BhYO8ozzTTh1plAe9oDHShXJ-zXtyzfQe2E5EyQQT9XXS-dF7_q7iM3ERhdTafpDKZVXimiHIwgq7rFQjN6yxIERs9EddkiqBDlGNuebW66BD2ltg9_IY7-xLwybPU0/s600/ED256607-02.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="240" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiaoRCMhKJcbPDBQZ8Apc5L9JZ7eyfGIOMsxw6TekOPmULWeDTxgHX0qnwP1nk_BhYO8ozzTTh1plAe9oDHShXJ-zXtyzfQe2E5EyQQT9XXS-dF7_q7iM3ERhdTafpDKZVXimiHIwgq7rFQjN6yxIERs9EddkiqBDlGNuebW66BD2ltg9_IY7-xLwybPU0/s16000/ED256607-02.png" /></a></div><div>รูปแบบที่ 1 นี้ เป็นการจัดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมโดยวิธีสุ่ม (R) หน่วยการสุ่ม</div><div>อาจเป็นผู้เรียน ห้องเรียน หรือสถานศึกษา แล้วแต่ความประสงค์ในการประเมิน ทั้งสองกลุ่มได้รับการทดสอบก่อน (O1) จากนั้นกลุ่มทดลองจะได้รับการทดลองหรือเรียนตามหลักสูตร (X) ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับ เมื่อทดลองเสร็จแล้วจะมีการทดสอบทั้งสองกลุ่มหลังการทดลอง (O2) อีกครั้ง แล้วเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้น<br /><br /></div><div>การใช้แบบแผนการทดลองนี้มีข้อดีคือ ทำให้ผู้ประเมินหลักสูตรสามารถรู้ได้ว่า</div><div>ผลที่เกิดขึ้นกับกลุ่มทดลองนั้น เป็นผลจากการจัดกิจกรรมตามหลักสูตรโดยตรง เมื่อเปรียบเทียบกับ</div><div>อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้รับกิจกรรมตามหลักสูตร แต่อย่างไรก็ตามแบบแผนการทดลองนี้อาจมีข้อจำกัด</div><div>ไม่สามารถนำไปใช้ได้ หากไม่มีจำนวนกลุ่มบุคคลเพียงพอต่อการเลือกสุ่มหรือในกรณีมีกลุ่มเฉพาะเจาะจงอยู่แล้ว</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>2. แบบสองกลุ่มทดสอบเฉพาะหลังการทดลอง (Randomized Two Group Posttest Only Design)</b> หรืออาจเรียกว่า แบบกลุ่มควบคุมที่แท้จริง ทดสอบเฉพาะหลังการทดลอง (The True Control Group Posttest Only Design) ลักษณะรูปแบบเป็นดังนี้<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_OlTIB_ResO_rKYQ8-taJ8AC6fch9KmwLS-eF_VprJ1MQz9d4Ju_Bco0uXS-npj3t0BvkhN4oUIInY9WQakvUfbY2q74RWxLKUqD_zqZwTXiyB_KX4njLDbWZEZCqjplz4muBK0p_SHH14svPugGE70Q_PJr8lxq9vAeadqK_2myScyH2wY-q0XqKMvU/s600/ED256607-03.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="227" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_OlTIB_ResO_rKYQ8-taJ8AC6fch9KmwLS-eF_VprJ1MQz9d4Ju_Bco0uXS-npj3t0BvkhN4oUIInY9WQakvUfbY2q74RWxLKUqD_zqZwTXiyB_KX4njLDbWZEZCqjplz4muBK0p_SHH14svPugGE70Q_PJr8lxq9vAeadqK_2myScyH2wY-q0XqKMvU/s16000/ED256607-03.png" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div>รูปแบบที่ 2 นี้ เป็นการจัดกลุ่มผู้เรียนหรือชั้นเรียนหรือโรงเรียน ออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวิธีสุ่มให้กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มทดลองเข้ารับการทดลองหรือเรียนตามหลักสูตร (X) อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับ ไม่มีการทดสอบก่อนการทดลองทั้งสองกลุ่ม จะมีการทดสอบเฉพาะหลังเสร็จสิ้นการทดลอง (O) เท่านั้น<div style="text-align: left;"><br /></div><b>3. แบบสองกลุ่มเปรียบเทียบทดสอบก่อน-หลัง (Two Group Pretest-Posttest Design)</b> หรืออาจเรียกว่า แบบกลุ่มควบคุมที่ไม่เท่าเทียมกัน ทดสอบก่อน-หลังการทดลอง (Non-Equivalent Control Group Pretest-Posttest Design) ลักษณะรูปแบบเป็นดังนี้<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpyR5cdvYvsfhWUB7QmzBboyjbjar3AG78aGz_URtd_MzcIjTjDFpQbsfjFit226nRcH5bL3BNsnvnw1d8O0ELIM3fJD2jXbAROx0xojGDKYfW8RKtxwxl4VX_QISIz-zBwzdoyj1IURnnk8TbEyPh0j7VvJOQSbiBXGLnNqa7LG83d7n1EViUHW19yC0/s600/ED256607-04.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="308" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpyR5cdvYvsfhWUB7QmzBboyjbjar3AG78aGz_URtd_MzcIjTjDFpQbsfjFit226nRcH5bL3BNsnvnw1d8O0ELIM3fJD2jXbAROx0xojGDKYfW8RKtxwxl4VX_QISIz-zBwzdoyj1IURnnk8TbEyPh0j7VvJOQSbiBXGLnNqa7LG83d7n1EViUHW19yC0/s16000/ED256607-04.png" /></a></div>รูปแบบที่ 3 นี้ อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “รูปแบบกึ่งการทดลอง” (Quasi-Experimental Design) ซึ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมิได้จัดโดยวิธีการสุ่ม ดังนั้นจะต้องจัดกลุ่มควบคุมให้มีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มทดลองให้มากที่สุด โดยมีขั้นตอนในการใช้รูปแบบนี้ ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่จะให้เข้ารับหลักสูตรทดลอง</li><li>กำหนดกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มปรียบเทียบ ซึ่งมีคุณลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกับกลุ่มทดลอง ถือเป็นกลุ่มควบคุม</li><li>รวบรวมข้อมูลที่แสดงความคล้ายกันและความต่างกันของกลุ่มตัวอย่างทั้งสอง</li><li>ทำการทดสอบกลุ่มตัวอย่างทั้งสองก่อนการทดลองหลักสูตร (O1)</li><li>ทดลองหลักสูตรโดยให้กลุ่มทดลองรับหลักสูตรทดลอง (X) ส่วนกลุ่มควบคุมไม่ได้รับหรืออาจรับหลักสูตรอื่นก็ได้</li><li>ทำการทดสอบทั้งสองกลุ่มเมื่อจบการทดลอง (O2)</li></ol> การใช้แบบแผนการทดลองนี้มีข้อดี คือ มีการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มและมีการเปรียบเทียบระหว่างก่อน-หลังการรับหลักสูตร แต่มีข้อจำกัดคือ มีปัญหาในเรื่องความเท่าเทียมกันของกลุ่มตัวอย่าง เนื่องจากไม่มีการสุ่ม ทำให้การเลือกกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมอาจเกิดความลำเอียงได้ นั่นคือ กลุ่มทดลองอาจจะมีความสนใจ ความพร้อม ตลอดจนความกระตือรือร้นมากกว่ากลุ่มควบคุม<div><br /></div><div><b>4. แบบกลุ่มเดียวอนุกรมเวลา (One Group Time Series Design) </b>หรืออาจเรียกว่า แบบกลุ่มทดลองเพียงกลุ่มเดียว ทดสอบแบบอนุกรมเวลา (The Single Group Pretest-Posttest Time Series Design) ลักษณะรูปแบบเป็นดังนี้<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXCMrvNjUxoG59Ci6aTzpKQS1wqDXElObVG3-JSDwUlCvza7oV7QPR9V5IgZfeHKpOmjS2zGz-4E7uaQTqjeZU8FBgUfRlzta3sMWnP2cmitFiCqBaRhoBQ2y2TENO9eWqNJQJ6YAbZUUvx2RfYhK97pO_gHDpXKWICihjd3eF4M7FAUrrcCWt7YGX2M4/s630/ED256607-05.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="214" data-original-width="630" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXCMrvNjUxoG59Ci6aTzpKQS1wqDXElObVG3-JSDwUlCvza7oV7QPR9V5IgZfeHKpOmjS2zGz-4E7uaQTqjeZU8FBgUfRlzta3sMWnP2cmitFiCqBaRhoBQ2y2TENO9eWqNJQJ6YAbZUUvx2RfYhK97pO_gHDpXKWICihjd3eF4M7FAUrrcCWt7YGX2M4/s16000/ED256607-05.png" /></a></div>รูปแบบที่ 4 นี้ ไม่มีการสุ่ม เป็นการใช้กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มควบคุมภายในตัวของมันเอง การวัดกลุ่มทดลองมีการวัดผลหลาย ๆ ช่วง ทั้งก่อนและหลังการทดลอง โดยมีขั้นตอนในการใช้รูปแบบนี้ ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>เตรียมหรือเลือกวิธีการวัดผลหลักสูตรที่สามารถจะกระทำซ้ำ ๆ กันได้</li><li>เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มทดลองซึ่งเป็นกลุ่มที่จะสามารถทำการวัดได้หลาย ๆ ครั้ง</li><li>ทำการวัดผลกลุ่มทดลองก่อนรับหลักสูตรทดลองอย่างน้อย 3 ครั้ง (O1, O2, O3)</li><li>ทดลองหลักสูตรกับกลุ่มทดลอง (X)</li><li>ทำการวัดผลกลุ่มทดลองเมื่อเสร็จสิ้นการทดลองหลักสูตรแล้ว โดยใช้ช่วงเวลาเดียวกับการวัดก่อนการทดลอง (O4, O5, O6) ต่อจากนั้นก็นำผลเฉลี่ยของข้อมูลก่อนและหลังการรับหลักสูตรที่จัดเก็บเป็นระยะ มาเปรียบเทียบกันว่าแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร</li></ol>การใช้แบบแผนการทดลองนี้มีข้อดี คือ ทำให้รู้ถึงพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มทดลองหรือกลุ่มเป้าหมายทั้งก่อนและหลังการรับหลักสูตร นอกจากนั้นก็ยังมีความเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้กับหลักสูตรที่มีกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงเพียงกลุ่มเดียวและหลักสูตรที่มีลักษณะการดำเนินกิจกรรมระยะยาว ในทางตรงกันข้าม หลักสูตรที่มีช่วงการดำเนินกิจกรรมหรือช่วงระยะเวลาดำเนินงานสั้น ๆ ก็ไม่เหมาะสม และเป็นข้อจำกัดในการนำแบบแผนการทดลองนี้ไปใช้<br /><br /><b>5. แบบสองกลุ่มอนุกรมเวลา (Control Group Time Series Design)</b> หรืออาจเรียกว่า แบบกลุ่มควบคุมไม่เท่าเทียมกัน ทดสอบแบบอนุกรมเวลา (Non-Equivalent Control Group Pretest-Posttest Time Series Design) ลักษณะรูปแบบเป็นดังนี้<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuEMm5ntaleE3kCq0ob7ZcQ-_aYxoyQVhuPONYj0Ae1xt4SuKY9Eqpl_z23lW7pZwU4MjH6GefHfPg3ktsN4hpq5eMFju5MY491x81CEYii8-Dmyu7EFDaJS4LKIhz3O7EV5oe5ChNfFX9FuWbAMNAiUJPOIPV_a8IPZVpUErd3Jt93dBUWuBF2SbdKic/s630/ED256607-06.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="420" data-original-width="630" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhuEMm5ntaleE3kCq0ob7ZcQ-_aYxoyQVhuPONYj0Ae1xt4SuKY9Eqpl_z23lW7pZwU4MjH6GefHfPg3ktsN4hpq5eMFju5MY491x81CEYii8-Dmyu7EFDaJS4LKIhz3O7EV5oe5ChNfFX9FuWbAMNAiUJPOIPV_a8IPZVpUErd3Jt93dBUWuBF2SbdKic/s16000/ED256607-06.png" /></a></div><div style="text-align: left;"><b>6. แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อน-หลัง (One Group Pretest-Postest Design)</b> หรืออาจเรียกว่า แบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (The Single Group Pretest-Posttest Design) ลักษณะรูปแบบเป็นดังนี้</div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvF-IXcMnnMDasKKwSw6IZ4VWeyUX9UX8deheCb14Mz_1IfcEO3k9qyQvxQRVO-cC6wbeev06yIyAfYTMBbXkKsLdewMTzt6mPgSNx8kxy_5IN27LTlZl9d8AYiqbuKlv8HyXhQwV4mZ7592OD_MG-M4nLprIugcIMLcNhUbMQ-6XGpAxkSwzyPqSUAGM/s650/ED256607-07.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="224" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgvF-IXcMnnMDasKKwSw6IZ4VWeyUX9UX8deheCb14Mz_1IfcEO3k9qyQvxQRVO-cC6wbeev06yIyAfYTMBbXkKsLdewMTzt6mPgSNx8kxy_5IN27LTlZl9d8AYiqbuKlv8HyXhQwV4mZ7592OD_MG-M4nLprIugcIMLcNhUbMQ-6XGpAxkSwzyPqSUAGM/s16000/ED256607-07.png" /></a></div>รูปแบบที่ 6 นี้ ไม่มีการสุ่ม ใช้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว มีการวัดผล 2 ครั้ง ก่อนและหลังการทดลอง เป็นรูปแบบที่มีความสมบูรณ์น้อยมาก ไม่ว่าจะใช้กับการประเมินแบบรวบยอดหรือแบบย่อยก็ตาม จึงเป็นรูปแบบที่เสนอแนะให้ใช้เป็นรูปแบบสุดท้าย โดยมีขั้นตอนในการใช้รูปแบบนี้ ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>ทำการทดสอบกลุ่มตัวอย่างทุกคน (O1)</li><li>ให้กลุ่มตัวอย่างรับหลักสูตรทดลอง (X)</li><li>ทำการทดสอบกลุ่มตัวอย่างเมื่อจบการทดลอง (O2)</li></ol>ข้อดีของรูปแบบนี้คือ เป็นรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้เมื่อหลักสูตรได้รับการจัดทำขึ้นเพื่อใช้กับกลุ่มเป้าหมายใดกลุ่มเป้าหมายหนึ่งเป็นการเฉพาะ โดยกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวนั้นไม่อาจจะทำการเลือกสุ่มเป็นกลุ่มตัวอย่างเพื่อเข้ารับหลักสูตรได้ และแบบแผนการทดลองนี้ยังเหมาะสำหรับหลักสูตรที่มีระยะเวลาดำเนินการสั้น ข้อดีอีกข้อหนึ่งของรูปแบบนี้คือ ช่วยให้เป็นการเปรียบเทียบผลระหว่างก่อนการดำเนินหลักสูตรและหลังการดำเนินหลักสูตร<br /><br />ส่วนข้อจำกัดก็คือ กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการคัดเลือกให้รับหลักสูตรเป็นกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ซึ่งอาจเป็นการเลือกมาโดยขาดการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นผลที่พึงเกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายจึงไม่อาจกล่าวชัดเจนได้ว่าดีหรือไม่ประการใด หากจะมีการนำไปเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ นอกจากจะเปรียบเทียบได้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนั้นเป็นการภายใน<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEH_X6JEVWHAUoxELfNn-vVqPqmVZRfv5K9eOacf0rdCqvzB2G2khVXLLKRun9L8FMIIpjActeMSFuaEBD5CEpqW7KYwmb4m3BRStvyk3eUdvO4GxhKsXyPmgi5p0VrceWg8a9jxqaj73mM0WdIOHPsE_kqceAUaalUhOTIjGnuY3sCGShDjmVAHtk7HE/s675/ED256607-07.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="121" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEH_X6JEVWHAUoxELfNn-vVqPqmVZRfv5K9eOacf0rdCqvzB2G2khVXLLKRun9L8FMIIpjActeMSFuaEBD5CEpqW7KYwmb4m3BRStvyk3eUdvO4GxhKsXyPmgi5p0VrceWg8a9jxqaj73mM0WdIOHPsE_kqceAUaalUhOTIjGnuY3sCGShDjmVAHtk7HE/s16000/ED256607-07.png" /></a></div>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการทดลองนำร่อง (Pilot Study) ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการดำเนินการในลักษณะการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งจะต้องมีการเลือกแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) ที่เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการประเมิน อาจกล่าวได้ว่า การวิจัยเชิงทดลองเป็นการวิจัยที่สามารถสรุปความเป็นเหตุเป็นผลได้ชัดเจนมากกว่าการวิจัยแบบอื่น และเมื่อกลุ่มตัวอย่างมีความเป็นตัวแทนของประชากร จะสามารถสรุปอ้างอิงข้อค้นพบกลับไปยังประชากรได้ ดังนั้น การสุ่ม (Randomizstion) จึงใช้ในขั้นการเลือกกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย เพื่อให้เป็นตัวแทนที่ดี วัตถุประสงค์ของการสุ่มก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกอย่างมีระบบหรือเฉพาะเจาะจง โดยการลดโอกาสหรือความน่าจะเป็นที่คนประเภทใดประเภทหนึ่งจะถูกคัดเลือกเข้าสู่กลุ่มควบคุมหรือกลุ่มทดลอง โดยหลักการของการสุ่มคือองค์ประกอบแต่ละตัวในกลุ่มประชากรจะมีโอกาสได้รับเลือกเท่าเทียมกัน เป็นผลทำให้คุณลักษณะที่แตกต่างกันในกลุ่มประชากรกระจัดกระจาย สำหรับแบบแผนการทดลองที่นำมากล่าวข้างต้นเป็นแบบแผนที่ไม่ซับซ้อนมากนัก และเป็นเพียงบางส่วนของแบบแผนการวิจัยเชิงทดลองทั้งหมด หากผู้ศึกษาสนใจแบบแผนอื่น ๆ สามารถศึกษาค้นคว้าได้จากเอกสารหรือตำราหรือแหล่งเรียนรู้อื่นที่เกี่ยวกับการวิจัยเชิงทดลอง<br />
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เขียน/เรียบเรียง :</b><br />อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง : </span></b></div></div><div><div><span style="color: #666666;">ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). <i>การประเมินหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">สุวิมล ติรกานันท์. (2546). <i>ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์</i> : แนวทางสู่การปฏิบัติ. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-20071746497787288652023-09-07T13:38:00.005+07:002023-09-07T13:38:55.832+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เป็นการประเมินที่ใช้ผลสรุปเพื่อการตัดสินใจก่อนเริ่มกิจกรรมหรือโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการด้านการศึกษาจะต้องพิจารณาแยกเป็น 2 มิติ คือ มิติของ “ผู้เสนอ” โครงการ และมิติของผู้ได้รับผลจากการดำเนินงานตามโครงการ ซึ่งเรียกว่า “ผู้รับ” การวิเคราะห์ในแต่ละมิติ ให้คำนึงถึงความเป็นไปได้ของทรัพยากรที่จำเป็นต้องมีหรือต้องใช้ และการเตรียมการเพื่อให้โครงการดำเนินไปได้ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งสามารถเขียนเป็นภาพประกอบได้ดังนี้ (Werdelim, 1977 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2545: 68-70)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRqU7rxMXR801hAmGlwOMQLexYD7-cR87VNWitUlAAQGxm6bE-qHfbKnxrbpk5xDDBCeRjvBGiDWwyRxqmzIheZ-CIri475wSEPrH0g1q0XedOBXtlAjULDiomHZCkGbWcO2Rss6n6llzk23Urz_KcE6vyitEZJrLxT5KJMjyCUklMwud656R63JsIvfU/s650/ED256606-1.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="384" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRqU7rxMXR801hAmGlwOMQLexYD7-cR87VNWitUlAAQGxm6bE-qHfbKnxrbpk5xDDBCeRjvBGiDWwyRxqmzIheZ-CIri475wSEPrH0g1q0XedOBXtlAjULDiomHZCkGbWcO2Rss6n6llzk23Urz_KcE6vyitEZJrLxT5KJMjyCUklMwud656R63JsIvfU/s16000/ED256606-1.png" /></a></div><br />จากภาพประกอบ แสดงให้เห็นรูปแบบและปัจจัยที่ศึกษาตามแนวความคิดของเวอร์เดอลิน ซึ่งแสดงไว้ 7 ด้านด้วยกัน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านกำลังคน ด้านเทคนิค ด้านกฎหมาย ด้านสติปัญญา ด้านภูมิหลัง และด้านสังคม เมื่อพิจารณาจากผู้เสนอแผน ก็ต้องมอง 2 ทาง คือ ความเป็นไปได้ด้านทรัพยากร เช่น เศรษฐกิจ กำลังคน เทคนิควิธี อีกทางหนึ่งคือ ด้านการเตรียมการในด้านกฎหมาย ถ้าพิจารณาจากผู้รับแผน ก็ต้องมองความเป็นไปได้ 2 ทาง เช่นเดียวกัน คือ การศึกษาความเป็นไปได้ด้านสังคมที่แวดล้อมและเกี่ยวข้องกับโครงการ และการศึกษาความเป็นไปได้ด้านสติปัญญาและด้านภูมิหลังของผู้เรียน<div><br />เวอร์เดลิน ได้แนะให้ศึกษาตัวแปรของปัจจัยแต่ละด้าน ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>ความเป็นไปได้ด้านเศรษฐกิจ ศึกษากำลังเงินค่าใช้จ่ายของโครงการในด้านต่าง ๆ เช่น เงินเดือนครู อาคารสถานที่ สื่อ เครื่องมือ อาหาร ยาและสุขภาพอนามัย การปรับปรุงระบบขององค์กร และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ต้องคาดคะเนออกมาเป็นวงเงินค่าใช้จ่ายที่มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดและสอดคล้องกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจมากที่สุด และจะต้องมีระบบทดสอบความคลาดเคลื่อนได้</li><li>ความเป็นไปได้ด้านกำลังคนหรือทรัพยากรมนุษย์ ศึกษาความพร้อมของผู้สอนและบุคลากรที่จะร่วมโครงการ เช่น ผู้มีคุณสมบัติที่จะสร้างสื่อและผลิตวัสดุอุปกรณ์เพื่อการสอนผู้เรียน และการฝึกอบรมครู ผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ หรือบุคคลอื่น ๆ ในองค์กรให้สามารถทำงานได้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องวางแผนดำเนินการให้รอบคอบ อาจจะต้องตรวจสอบหรือทดลองก่อน</li><li>ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ต้องมีการตรวจสอบหรือทดลองว่า สิ่งต่าง ๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ฯลฯ มีอยู่พร้อมจะดำเนินการได้ตามโครงการ</li><li>ความเป็นไปได้ทางด้านกฎหมาย ศึกษากฎหมาย ระเบียบ ข้อตกลงและสัญญาต่าง ๆ รวมทั้งกลไกการบริหารที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามโครงการ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิของครู อำนาจหน้าที่ของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ทางการศึกษาที่จะดำเนินการ</li><li>ความเป็นไปได้ทางสังคม ศึกษาบุคคลที่เกี่ยวข้องและได้รับผลจากโครงการ เช่น ผู้เรียน ครู และกลุ่มบุคคลต่าง ๆ เพื่อจะดูว่าจะยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพียงใด วิธีการศึกษา คือ สุ่มตัวอย่างมาให้แสดงความคิดเห็น หรือเจตคติเกี่ยวกับการดำเนินงาน หรือผลที่ได้จากโครงการ โดยใช้เครื่องมือวัดทางสังคมที่เหมาะสม มีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้</li><li>ความเป็นไปได้เกี่ยวกับภูมิหลังและสติปัญญาของผู้เรียนและบุคคลกรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาจได้จากข้อมูลเก่าที่มีอยู่แล้ว หรือบางกรณีอาจจำเป็นต้องรวบรวมใหม่จากกลุ่มตัวอย่าง ข้อจำกัดของการศึกษาในเรื่องนี้คือ ไม่สามารถวัดภูมิหลังและความสามารถของบุคคลได้ในสถานการณ์ที่เป็นจริง ผลคาดคะเนจึงอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง</li></ol>การศึกษาความเป็นได้ของโครงการหรือการใช้หลักสูตร จะต้องมีการรวบรวมความคิดเห็นจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น กลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการจากโครงการหรือรับผลจากหลักสูตร และกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ปฏิบัติโครงการหรือจัดหลักสูตร ทั้งนี้อาจใช้การสัมภาษณ์ การสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม และการสังเกต เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVWaum7CGoZxPcOK3WItfBJ8M2IIUQ4nO4OHh8cytNDPG83eSWZUxg2-WQkZEBdBv92NZKlsM8-v3SRYJz-xwmv8Che2eslasomHr7Ouo8UgJh1PHU0Zol81VoSkXeDaNuTo4gC8h1kO11cIAy6ooytyyzEbhmqBSJqSdVRo10HgE13BlbgNVkSM6uuIg/s675/ED256606-2.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="138" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVWaum7CGoZxPcOK3WItfBJ8M2IIUQ4nO4OHh8cytNDPG83eSWZUxg2-WQkZEBdBv92NZKlsM8-v3SRYJz-xwmv8Che2eslasomHr7Ouo8UgJh1PHU0Zol81VoSkXeDaNuTo4gC8h1kO11cIAy6ooytyyzEbhmqBSJqSdVRo10HgE13BlbgNVkSM6uuIg/s16000/ED256606-2.png" /></a></div><span style="color: #666666;"><div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;">ภาพโดย upklyak จาก Freepik</span></div></span><div style="text-align: center;"><br /></div><div><div><b>ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการทางการศึกษา</b></div><b><div><b><br /></b></div><span style="color: #660000;">• ตัวอย่างที่ 1</span></b><span style="color: #660000;"> </span></div><div><span style="color: #660000;">การศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สำหรับโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษาในกรุงเทพมหานคร (ฉลวย ประชาบาล, 2533 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2545: 70)</span></div><div><b><br />ความมุ่งหมายของการวิจัย</b><br />เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สำหรับโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษาในกรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาจาก<br /><ol style="text-align: left;"><li>ความพร้อมด้านการจัดการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย ความพร้อมด้านทรัพยากร และความพร้อมด้านการสอนของอาจารย์</li><li>ความต้องการของตลาดแรงงาน</li></ol><b>กลุ่มตัวอย่าง</b> : ผู้บริหารโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษา อาจารย์ผู้สอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ ในโรงเรียนเอกชนอาชีวศึกษา ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล หรือหัวหน้าแผนกของห้างสรรพสินค้า ธนาคาร และรัฐวิสาหกิจ<br /><br /><b>เครื่องมือวิจัย</b> : แบบสอบถามมาตราประมาณค่า 5 ระดับ<br /></div><div><br /></div><div><div><b><span style="color: #660000;">• ตัวอย่างที่ 2 </span></b></div><div><span style="color: #660000;">การประเมินสภาพความพร้อมของท้องถิ่นในการขยายการศึกษาพื้นฐาน 12 ปี (วัลลภ กันทรัพย์, 2540 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2545: 70-71)</span></div><div><br /></div><div><b>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</b></div><div>เพื่อประเมินสภาพความพร้อมของท้องถิ่นในการขยายการศึกษาพื้นฐาน 12 ปี โดยเน้นศึกษาที่สภาพความพร้อมของโรงเรียน หน่วยงานการศึกษาในระดับท้องถิ่น ผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชน</div></div><div><b><br />ประเด็นหลักที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล</b> แบ่งเป็น 6 ข้อ ดังนี้</div><div><div><ol style="text-align: left;"><li>สภาพความพร้อมของโรงเรียน</li><li>สภาพความพร้อมของหน่วยงานสนับสนุนการศึกษาในท้องถิ่น</li><li>สภาพความต้องการของผู้ปกครอง</li><li>สภาพความพร้อมของชุมชน</li><li>สภาพความพร้อมของผู้เรียน</li><li>ทางเลือกปฏิบัติในการขยายการศึกษาพื้นฐาน 12 ปี</li></ol></div><div><b>กลุ่มตัวอย่าง</b> : มี 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มผู้เรียน กลุ่มผู้ปกครอง และกลุ่มบุคคลในชุมชน</div><div><b>เครื่องมือในการวิจัย</b> : ใช้แบบสอบถามกับทุกกลุ่มตัวอย่าง แยกเป็น 5 ฉบับ นอกจากกลุ่มประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มบุคคลในชุมชนที่ใช้วิธีสัมภาษณ์แทน</div></div><div><br /></div><span style="color: #660000;"><b>• ตัวอย่างที่ 3</b> </span><div><span style="color: #660000;">การประเมินความเป็นไปได้ ก่อนเริ่มดำเนินโครงการขยายการศึกษาภาคบังคับจากประถมศึกษาปีที่ 6 เป็นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (นิศา ชูโต, 2536 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2545: 71-72)</span></div><div><br /><b>ประเด็นที่ประเมิน</b><br /><ol style="text-align: left;"><li>ความพร้อมของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ที่จะจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยพิจารณาความพร้อมของสถานที่เรียน บุคลากร วัสดุครุภัณฑ์และค่าใช้จ่าย</li><li>การคาดคะเนผลกระทบของการขยายโอกาสการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่มีต่อการจัดการศึกษาและคุณภาพแรงงาน ดังต่อไปนี้<br />2.1 การจัดการศึกษาในระดับประถมศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาที่ขยายโอกาส<br />2.2 การจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนใกล้เคียง<br />2.3 การศึกษาในระดับอุดมศึกษา<br />2.4 คุณภาพแรงงาน</li><li>แนวปฏิบัติในการขยายโอกาสทางการศึกษา ซึ่งต้องแก้แผนการศึกษาแห่งชาติและพระราชบัญญัติต่าง ๆ จึงต้องดำเนินโครงการนำร่องขยายการศึกษาภาคบังคับ เพื่อหารูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสม</li></ol>ข้อมูลจากประเด็นที่ประเมินข้อ 1-3 นี้ สามารถนำมาใช้พิจารณาความเป็นไปได้ ที่จะทำให้สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติดำเนินโครงการขยายโอกาส ซึ่งควรเริ่มจากโครงการนำร่องก่อน<br /><br /></div><div>กล่าวโดยสรุป การศึกษาความเป็นไปได้ จึงมีลักษณะเป็นการวิเคราะห์เชิงระบบ เพื่อพิจารณากลไกของระบบที่จะช่วยให้การดำเนินงานหลักสูตรเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของหลักสูตร โดยทั่วไปมักพิจารณาด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคนิค ความพร้อมและความสามารถของหน่วยงาน/สถานศึกษาผู้จัดหลักสูตร ดังนั้น การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) จึงมักถูกนำมาใช้ในกรณีที่มีหลักสูตรแล้ว และต้องการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดหลักสูตร<br /><br /></div>
<hr /><b><span style="color: #666666;">เขียน/เรียบเรียง : </span></b><div><span style="color: #666666;">อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง :</span></b></div><div><span style="color: #666666;">ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). <i>การประเมินหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.</span></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-382338873090014572023-09-06T15:11:00.000+07:002023-09-06T15:11:15.604+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการประเมินความจำเป็น (Needs Assessment)<p style="text-align: left;"></p><div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzMrBhYkGT8Q84EKZ24W5Fp2Ryo4CWpBfCov4La0KtVPMzEke9izLtYxzvKPeUacO7K2H8seaMsohz6XFcl1fYsGXG_nSanJJc4XrNMThnbUh2K7efec4UTW_uvjkAQREuzYILzXb4yw4xB3VWZ_MFXxD9ImIeFJB5xCD98EKC23g9DANKP4vRzFaRaZo/s300/ED256605-1.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="225" data-original-width="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzMrBhYkGT8Q84EKZ24W5Fp2Ryo4CWpBfCov4La0KtVPMzEke9izLtYxzvKPeUacO7K2H8seaMsohz6XFcl1fYsGXG_nSanJJc4XrNMThnbUh2K7efec4UTW_uvjkAQREuzYILzXb4yw4xB3VWZ_MFXxD9ImIeFJB5xCD98EKC23g9DANKP4vRzFaRaZo/s16000/ED256605-1.png" /></a></div>การประเมินความจำเป็นของหลักสูตร เป็นการศึกษาว่า หลักสูตรที่จัดทำขึ้นสนองตอบความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้รับผลหรือรับบริการโดยแท้จริงเพียงใดประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งเป็นการศึกษาว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเป็นความต้องการที่แท้จริงของหน่วยงานองค์กรนั้นโดยตรง และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายในด้านคุณภาพชีวิตโดยรวมหรือไม่<br /><br />นอกจากนี้ การประเมินความจำเป็นยังเป็นกระบวนการสำหรับการวิเคราะห์เพื่อให้ทราบแน่ชัดลงไปว่า ปัญหาและความต้องการใดเป็นปัญหาและความต้องการที่แท้จริง ปัญหาและความต้องการใดมีความสำคัญกว่ากัน<br /><br />ดังนั้นการประเมินความจำเป็นจึงเป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งเป็นขั้นตอนขั้นแรกหรือขั้นที่ 1 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร และมีวิธีดำเนินการได้หลายวิธี ได้แก่ การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกต การทดสอบ การประชุมสัมมนา การศึกษาจากเอกสาร เป็นต้น<br /><br />ในการวัดความจำเป็นเกี่ยวกับหลักสูตรนั้น อาจใช้แนวคำถามต่อไปนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>อะไรเป็นสาเหตุเริ่มแรกให้เกิดความจำเป็นขึ้น</li><li>ความจำเป็นดังกล่าวเป็นของใคร</li><li>รู้ได้อย่างไรว่าความจำเป็นนั้นมีมากขนาดไหน วัดด้วยมาตรฐานใด</li></ol><b>ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรและมีการประเมินความจำเป็น</b><br /><b>• ตัวอย่างที่ 1 </b><br />การพัฒนาหลักสูตรการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนสำหรับพ่อแม่ในชุมชนเกษตรกรรมชนบท (นิภา ทองไทย, 2525 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2545: 60-62)<br /><br />ในขั้นตอนที่ 1 ของการพัฒนาหลักสูตร ผู้วิจัยได้ทำการสำรวจชุมชนโดยตั้งวัตถุประสงค์ของการสำรวจ ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน อันจะส่งผลต่อวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนของชุมชน</li><li>เพื่อสำรวจการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนของพ่อแม่ในชุมชนว่ามีความถูกต้องเหมาะสมตามข้อแนะนำ ซึ่งเสนอแนะไว้ในเอกสารและหนังสือเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนที่นำมาอ้างอิงอย่างไรหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจมาพิจารณาถึงสภาพของปัญหาและความจำเป็นของหลักสูตร</li><li>เพื่อสำรวจความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติตน และความต้องการของพ่อแม่ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่าง ว่ามีความรู้ความเข้าใจและการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนอย่างไร ยังขาดความรู้ความเข้าใจในด้านใดบ้าง และมีความต้องการที่จะอบรมเรื่องใดเป็นของจุดมุ่งหมายและเนื้อหาของหลักสูตร</li></ol><b>เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล</b> คือ แบบสังเกตและแบบสัมภาษณ์ประกอบด้วย<br /><ol style="text-align: left;"><li>แบบสังเกตสภาพทั่วไปของชุมชน และแบบสังเกตประเภทอาหารที่มีจำหน่ายในท้องตลาด (ทำการสังเกต 25 วัน) เพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1</li><li>แบบสัมภาษณ์พ่อแม่เด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนเกษตรกรรมเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียน เพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 และ 3</li></ol><div style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju8ecPkYN6D_BPLdbI87CVXNipkZVTwKXsdUsMLOD5peEyEUSAEeroS1ZpQ2A4lWEVEJmGOAi4-oQIsJWMGJUUb2xgR2UW4IOUgZoFIaCbWO2r5aFbQ_YxH5OvoIut7j-z55MwE02cKJ6JTeQTZjXZ38s9wpjhLJJq8K4JtRxpkx6W88teGlB1sqNGqfk/s500/ED256605-2S.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju8ecPkYN6D_BPLdbI87CVXNipkZVTwKXsdUsMLOD5peEyEUSAEeroS1ZpQ2A4lWEVEJmGOAi4-oQIsJWMGJUUb2xgR2UW4IOUgZoFIaCbWO2r5aFbQ_YxH5OvoIut7j-z55MwE02cKJ6JTeQTZjXZ38s9wpjhLJJq8K4JtRxpkx6W88teGlB1sqNGqfk/s500/ED256605-2S.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="236" data-original-width="500" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju8ecPkYN6D_BPLdbI87CVXNipkZVTwKXsdUsMLOD5peEyEUSAEeroS1ZpQ2A4lWEVEJmGOAi4-oQIsJWMGJUUb2xgR2UW4IOUgZoFIaCbWO2r5aFbQ_YxH5OvoIut7j-z55MwE02cKJ6JTeQTZjXZ38s9wpjhLJJq8K4JtRxpkx6W88teGlB1sqNGqfk/s16000/ED256605-2S.png" /></a></div></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666; font-size: x-small;">ภาพโดย upklyak จาก freepik</span></div><br /><b>• ตัวอย่างที่ 2</b></div><div>การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์สำหรับครูประถมศึกษา (วิชิต สุรัตน์เรืองชัย, 2534 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2545: 63-68)<br /><br />ผู้วิจัยประเมินความจำเป็นโดยการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับครูประถมศึกษา โดยตั้งวัตถุประสงค์ของการสำรวจ ดังนี้เพื่อศึกษาความรู้พื้นฐานของครูประถมศึกษาเกี่ยวโรคเอดส์<br /><ol style="text-align: left;"><li>เพื่อศึกษาสภาพความเสี่ยงของครูประถมศึกษาต่อการได้รับเชื้อเอดส์</li><li>เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนเรื่องโรคเอดส์ในโรงเรียนประถมศึกษา</li><li>เพื่อศึกษาความต้องการของครูประถมศึกษาเกี่ยวกับการฝึกอบรมทางด้านเนื้อหาสาระสำหรับการฝึกอบรม วิธีการฝึกอบรม สื่อประกอบการฝึกอบรม ระยะเวลาในการฝึกอบรม และความต้องการอื่น ๆ</li></ol></div><div><b>เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล</b> คือ แบบทดสอบและแบบสอบถาม ประกอบด้วย<br /><ol style="text-align: left;"><li>แบบทดสอบวัดความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ สำหรับครูประถมศึกษา เพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1</li><li> แบบสำรวจข้อมูลสำหรับครูประถมศึกษา เพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 - 4 เป็นแบบสอบถาม ชนิดคำถามปลายปิด แบบเลือกตอบ และคำถามปลายเปิด แบ่งออกเป็น 3 ตอน ได้แก่<br />ตอนที่ 1 สภาพความเสี่ยงความเสี่ยงของครูประถมศึกษาต่อการได้รับเชื้อเอดส์<br />ตอนที่ 2 สภาพการจัดการเรียนการสอนเรื่องโรคเอดส์ในโรงเรียนประถมศึกษา<br />ตอนที่ 3 ความต้องการของครูประถมศึกษาเกี่ยวกับการฝึกอบรม</li></ol></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguCyEhAAdbWEFhAwc4_ZkVO7UuY8rypRzLUfZkfpT1GeIOH8HACZqD20VC1jYfvWmsOnYJ3MwpwkIMEpR3MC3b71UAtA7URRwDwfOOHqjQ0GCP6Mx-u0FDpYCbi1Ube086zynpNzynqdP2tPRD5l3D-hJeafW-qL3qwaZo_3eOX0UcDhK2ApleA52gFRw/s675/ED256605-3.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="121" data-original-width="675" height="72" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguCyEhAAdbWEFhAwc4_ZkVO7UuY8rypRzLUfZkfpT1GeIOH8HACZqD20VC1jYfvWmsOnYJ3MwpwkIMEpR3MC3b71UAtA7URRwDwfOOHqjQ0GCP6Mx-u0FDpYCbi1Ube086zynpNzynqdP2tPRD5l3D-hJeafW-qL3qwaZo_3eOX0UcDhK2ApleA52gFRw/w400-h72/ED256605-3.png" width="400" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div>อาจกล่าวได้ว่า การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการประเมินความจำเป็น (Needs Assessment) ก็เพื่อตรวจสอบว่าความจำเป็นของหลักสูตรมีอยู่จริง และมีมากพอที่จะดำเนินการใช้หลักสูตร กล่าวคือ เป็นการพิจารณาความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ควรจะเป็นกับสิ่งที่เป็นอยู่จริง ถ้ามีความแตกต่างมาก แสดงว่าความจำเป็นมีมาก และความจำเป็นจะมีน้อย ถ้าสิ่งที่เป็นอยู่หรือการปฏิบัติใกล้เคียงกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ดังนั้น การประเมินด้วยวิธีการนี้ จึงมักถูกนำมาใช้ในกรณีที่ยังไม่มีหลักสูตร
<hr /><b><span style="color: #666666;">เขียน/เรียบเรียง :
</span></b><div><span style="color: #666666;">อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง :</b><br />ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). <i>การประเมินหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-20881015187165151562023-09-06T12:26:00.005+07:002023-09-06T12:31:54.498+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ ด้วยวิธีการตัดสินพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (Expert Judgement)การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ด้วยวิธีการตัดสินพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (Expert Judgement) นิยมใช้สำหรับการพิจารณาหลักสูตร เพื่อดูว่าหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น ในแต่ละส่วนของหลักสูตรมีความสอดคล้องกันหรือไม่ มีความเป็นเหตุเป็นผลกันเพียงใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ส่วนประกอบของsลักสูตรจะประกอบด้วย เป้าหมาย จุดมุ่งหมายทั่วไป จุดมุ่งหมายเฉพาะ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยพิจารณาตัดสินว่าส่วนประกอบที่กล่าวมานี้สอดคล้องไปด้วยกันจริงหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการประเมินหลักสูตร ควรประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาหลักสูตร และผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของวิชาต่าง ๆ ที่บรรจุไว้ในหลักสูตร ความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงและมีความเป็นกลาง จึงเป็นสาระสำคัญของการประเมินตามแนวทางนี้<br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQnT1wRbHM2BxVb8sPvZwJO4CDhW_kCP_0Xszn2cj54zOenReucu8EdXwfgdpt2dtxBw5cM6wI8lWO4M8lsHsgr1Z5eTlnSlPUZjfqlXK6untTzz-WO4GJBETmj3ph2TYW-kyIye_RbYxhXRPFly9M1yz3WGZ-G-t5oRGLOxkhUFuwrQQggWAWa3EvQeQ/s350/ED256604-0.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="308" data-original-width="350" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQnT1wRbHM2BxVb8sPvZwJO4CDhW_kCP_0Xszn2cj54zOenReucu8EdXwfgdpt2dtxBw5cM6wI8lWO4M8lsHsgr1Z5eTlnSlPUZjfqlXK6untTzz-WO4GJBETmj3ph2TYW-kyIye_RbYxhXRPFly9M1yz3WGZ-G-t5oRGLOxkhUFuwrQQggWAWa3EvQeQ/s16000/ED256604-0.png" /></a><br /><span style="color: #666666; font-size: x-small;">ภาพโดย storyset จาก Freepik</span><br /><br /></div>สำหรับข้อดีของการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญก็คือ มีความง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ เป็นการใช้ความสามารถทางปัญญาแบบบูรณาการของมนุษย์ และเป็นที่ยอมรับและยกย่องความเชี่ยวชาญชำนาญพิเศษของบุคคล อย่างไรก็ดี ปัญหาที่จะมักประสบก็คือการขาดแคลนผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดประการหนึ่งของการประเมินหลักสูตรโดยใช้วิธีการนี้ ส่วนข้อจำกัดอื่น ๆ ได้แก่ ผลการประเมินตามวิธีนี้อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถตรวจซ้ำได้ กล่าวคือ ถ้าประเมินใหม่ ผลการประเมินอาจแปรเปลี่ยนได้ง่าย เป็นการประเมินที่มีความเป็นอัตนัยสูง และผลการประเมินตามวิธีนี้อาจจะยากต่อการสรุปในการอ้างอิงทั่วไป<div><br />ในการประเมินผลหลักสูตรโดยการใช้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความสอดคล้องของส่วนประกอบของหลักสูตร จะใช้การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Item Objective Congruence : IOC) ซึ่งมีสูตรการคำนวณ ดังนี้<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsko4gvsv6ODBf4_ykPR_3MDcOnGwdaeaC2q9y4ogVv5CHkXQW_fw_TcWWomxh6NCIljskX6WPJKxQ35ji8SzkTAQqDcNSvuuOLyS3rJT8m9fdWHoLoRP33gQ6mEr2DdnZv4dr-1IDmn1uXHop6DXg_9xN4PzvEki6-W2TkQSaLQDYNNG-Ok31zH4C80I/s480/ED256604-1.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="171" data-original-width="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsko4gvsv6ODBf4_ykPR_3MDcOnGwdaeaC2q9y4ogVv5CHkXQW_fw_TcWWomxh6NCIljskX6WPJKxQ35ji8SzkTAQqDcNSvuuOLyS3rJT8m9fdWHoLoRP33gQ6mEr2DdnZv4dr-1IDmn1uXHop6DXg_9xN4PzvEki6-W2TkQSaLQDYNNG-Ok31zH4C80I/s16000/ED256604-1.png" /></a><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">โดยนำคำตอบของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนมาให้คะแนน ดังนี้</div>ข้อใดมีความเห็นว่าสอดคล้อง กำหนดคะแนนเป็น +1<br />ข้อใดมีความเห็นว่าไม่แน่ใจ กำหนดคะแนนเป็น 0<br />ข้อใดมีความเห็นว่าไม่สอดคล้อง กำหนดคะแนนเป็น -1<br /><ul style="text-align: left;"><li>ค่า IOC นี้ จะมีค่าอยู่ระหว่าง – 1 ถึง +1 โดยค่าที่เป็นบวก จะหมายถึง ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นร่วมกันว่ารายการข้อคำถามข้อนั้นมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ซึ่งโดยทั่วไป </li><li>ถ้าค่า IOC เท่ากับ .50 หรือมากกว่า แสดงค่า ส่วนประกอบที่เป็นรายการข้อคำถามในข้อนั้น มีความสอดคล้องกันตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ </li><li>ถ้าค่า IOC น้อยกว่า .50 ก็แสดงว่า ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นร่วมกันว่า รายการข้อคำถามหรือส่วนประกอบของหลักสูตรในข้อนั้นไม่สอดคล้องกัน</li></ul><div>ตัวอย่างการคำนวณหาค่า IOC ภายหลังจากทำการสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 5 คน เกี่ยวกับความสอดคล้องของส่วนประกอบของหลักสูตร ปรากฏผลดังตารางนี้<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtvEMtkNtds1Vf4jn2SBtJ3o5m9AdQcCjITWTdm8kJIGtR5zvi_pze0nZiLHZxFEJfaMDRec3T7-lxaCZrmSZm7LqukoCXeiAtmtxMqlPbnCYS0sngw_S0tKRDfyTG-qG3wmPXLK7jp_eqnKI-5YOmsETcC9MnUrrzEqafHnSLqCBgVqyiYvIMFHKCNjQ/s675/ED256604-2.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="359" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhtvEMtkNtds1Vf4jn2SBtJ3o5m9AdQcCjITWTdm8kJIGtR5zvi_pze0nZiLHZxFEJfaMDRec3T7-lxaCZrmSZm7LqukoCXeiAtmtxMqlPbnCYS0sngw_S0tKRDfyTG-qG3wmPXLK7jp_eqnKI-5YOmsETcC9MnUrrzEqafHnSLqCBgVqyiYvIMFHKCNjQ/s16000/ED256604-2.png" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;">จากตัวอย่างการคำนวณ จะเห็นว่าข้อที่ 1 ความสอดคล้องระหว่างหลักการและเหตุผลกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่เขียนไว้มีความสอดคล้องกัน เช่นเดียวกับข้อที่ 3 ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับเนื้อหาวิชา แต่ข้อที่ 2 ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรไม่สอดคล้องกัน ดังนั้น จากการประเมินส่วนนี้จึงควรมีการปรับปรุงการเขียน 2 ส่วนให้สัมพันธ์กัน ซึ่งอาจเขียนได้ใหม่ตามคำแนะนำเพิ่มเติมที่ได้จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญนั่นเอง</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">ผลการตัดสินใจพิจารณาหลักสูตรก่อนนำไปใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้ได้คำตอบว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้นมีความสมเหตุสมผล นอกจากนั้นยังจะช่วยให้เกิดการปรับแก้หรือเขียนหลักสูตรขึ้นใหม่</div><div class="separator" style="clear: both;">ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">นอกจากนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงร่างหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญ อาจใช้แบบสอบถามมาตราประมาณค่า 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ดังตัวอย่างต่อไปนี้</div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJOSwm9DRWjlYaqdiOd1tIdAAqHF5qjnRjTRIW_P0f82c9lIqCaj3paF9Nyy0fjHWwNOgTKUHyXnNVs_joo8gnIEWEnf66dYidvBmbrzFveRLGMamyDquXQQWxFPa4zPGdsM2E9CfuyR3EGxfzX9-RWiWt8ZI5JNENjGr8lHUKXJ21U66jdDT_eWWC_E0/s675/ED256604-3.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="567" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJOSwm9DRWjlYaqdiOd1tIdAAqHF5qjnRjTRIW_P0f82c9lIqCaj3paF9Nyy0fjHWwNOgTKUHyXnNVs_joo8gnIEWEnf66dYidvBmbrzFveRLGMamyDquXQQWxFPa4zPGdsM2E9CfuyR3EGxfzX9-RWiWt8ZI5JNENjGr8lHUKXJ21U66jdDT_eWWC_E0/s16000/ED256604-3.png" /></a></div>คำตอบของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนให้ค่าน้ำหนักคะแนน ดังนี้<br /> มากที่สุด ให้คะแนนเป็น 5<br /> มาก ให้คะแนนเป็น 4<br /> ปานกลาง ให้คะแนนเป็น 3<br /> น้อย ให้คะแนนเป็น 2<br /> น้อยที่สุด ให้คะแนนเป็น 1</div><div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_ejv0JdVW8H41SkDdPhjEaEdhAROiHStcZAnvuZVpY0F-Ifa9JtO2YhaJ5VeU8bhJH8o5sj6Zl7UBQTnE2M_SJ6LQjvIAwRE7porl3tayHJQ2JLBzZ0WPTdOsi_2UrAt5jXLfMosP063rITL_dnJn3baIBGu7p-Wep95tGb9CxoBbajorSAarQJdHxe0/s480/ED256604-4.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="219" data-original-width="480" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_ejv0JdVW8H41SkDdPhjEaEdhAROiHStcZAnvuZVpY0F-Ifa9JtO2YhaJ5VeU8bhJH8o5sj6Zl7UBQTnE2M_SJ6LQjvIAwRE7porl3tayHJQ2JLBzZ0WPTdOsi_2UrAt5jXLfMosP063rITL_dnJn3baIBGu7p-Wep95tGb9CxoBbajorSAarQJdHxe0/s16000/ED256604-4.png" /></a></div></div><br /><div><b>การแปลความหมาย</b></div><div>การแปลความหมายค่าเฉลี่ยน้ำหนักคะแนน แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ<br /> ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง มากที่สุด<br /> ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง มาก<br /> ค่าเฉลี่ย 2.51 - 3.50 หมายถึง ปานกลาง<br /> ค่าเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง น้อย<br /> ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง น้อยที่สุด<br /><br />การกำหนดเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของความชัดเจน ความถูกต้อง ความสอดคล้องของหลักสูตรและองค์ประกอบต่าง ๆ ในหลักสูตร ใช้คะแนนเฉลี่ยรายข้อ ถ้าคำนวณค่าเฉลี่ยได้ตั้งแต่ 3.51 ขึ้นไป ถือว่าใช้ได้ ข้อใดที่ได้คะแนนต่ำกว่านี้ ก็จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลเป็นรายข้อ โดยการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการกับผู้เชี่ยวชาญ หรือนำข้อเสนอแนะที่ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ไว้ มาปรับปรุงหลักสูตรต่อไป<br /><br /></div><div>กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าการประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ด้วยวิธีการตัดสินพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (Expert Judgement) มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ดังนี้<div><br /></div><div><b>ข้อดีและข้อจำกัด</b></div><div style="text-align: left;"><b>ข้อดี</b><br />1. ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ</div><div><div>2. เป็นการใช้ความสามารถทางปัญญาแบบบูรณาการของมนุษย์</div><div>3. เป็นการยอมรับและยกย่องความเชี่ยวชาญชำนาญพิเศษของบุคคล</div><div><b>ข้อจำกัด</b></div><div>1. เป็นการประเมินที่มีความเป็นอัตนัยสูง</div><div>2. ผลการประเมินอาจแปรเปลี่ยนไปได้ง่าย</div><div>3. ผลการประเมินอาจยากต่อการสรุปในการอ้างอิงทั่วไป</div></div><div><br /></div></div>
<hr /> <b><span style="color: #666666;">เขียน/เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง :</span></b></div><div><span style="color: #666666;">ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). <i>การประเมินหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.</span></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-11710479504107231312023-09-05T17:40:00.000+07:002023-09-05T17:40:28.022+07:00บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ไข่น้ำแร่ แช่ออนเซ็นบ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีความสวยงามแปลกตา เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงว่าใต้พื้นโลกเรายังมีความร้อนระอุอยู่ บ่อน้ำพุแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ และอำเภอเมืองลำปาง แต่ตัวน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลแจ้ซ้อน เขตอำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดลำปาง <div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioqE0JLwLaMUiJqGIvJGSkIiQCaFRIRfVZG5aL59ZTuDtsF8qZmLQtYQGe85TjCvtWUXzIb8eU5KxozkrA6wYOB-2czFUYgmfPgnl_ci1H--y9MZpFY7cQhEiW5cwER3RcHSLowPrBJ5XsMMPWO-vla-SQ5YXTAKfyboDANNAulxNwJmpzNYjKddgu4A0/s675/EV256603-01.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioqE0JLwLaMUiJqGIvJGSkIiQCaFRIRfVZG5aL59ZTuDtsF8qZmLQtYQGe85TjCvtWUXzIb8eU5KxozkrA6wYOB-2czFUYgmfPgnl_ci1H--y9MZpFY7cQhEiW5cwER3RcHSLowPrBJ5XsMMPWO-vla-SQ5YXTAKfyboDANNAulxNwJmpzNYjKddgu4A0/s16000/EV256603-01.jpg" /></a></div><br />น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เป็นสถานที่ที่มีความมหัศจรรย์ ความงดงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์มาอย่างอลังการ ทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้ เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ที่นี่มีธรรมชาติสวย ๆ ทั้งน้ำพุ บ่อน้ำร้อน โขดหิน ลำธาร น้ำตก ที่พัก ลานกางเต็นท์ และร้านอาหาร เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนจริง ๆ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง<br /><br />น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เกิดจากแหล่งความร้อนใต้โลกที่มาจากหินหนืดที่อยู่ระดับตื้นกว่าปกติ เนื่องจากบริเวณนี้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่ยังมีพลังในการเคลื่อนตัวอยู่ คือ รอยเลื่อนสาขาย่อยของรอยเลื่อนแม่ทา พาดอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ และแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้<div> <br />เมื่อฝนตก น้ำฝนจะซึมลงไปตามช่องระหว่างรอยแตกแยกของชั้นหิน และถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินอุ้มน้ำด้านล่าง จากการถ่ายความร้อนระหว่างหินหนืดใต้ดิน ทำให้น้ำที่กักอยู่ในชั้นหินร้อนจนเดือด แล้วเกิดแรงดัน น้ำร้อนจึงผุดขึ้นมาสู่ผิวดินตามรอยแตกแยกของหิน และมีกลิ่นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟต์หรือก๊าซไข่เน่า ที่มักพบในบ่อน้ำร้อนหรือปากปล่องภูเขาไฟ อัตราการไหลของน้ำร้อนวัดได้ประมาณ 35 ลิตรต่อวินาที และอุณหภูมิน้ำร้อนขณะอยู่ใต้ดินประมาณ 149 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำที่อยู่บนผิวดินจะอยู่ที่ประมาณ 68-82 องศาเซลเซียส<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjINqUv_ksgUXwJi9sKWvs9o5jVGKv0yK9ibvz95DxpQkcmxXvWMhHEZY36FcCeZi2-5vYN-lob2E8xJ9JG38WCg5qi8qqeIS_GYJd5FsPdnx8mvKI-baopz_dhdK-uogWgq9RyqLcHXFl0jbNVT73R7bP5W9rTCj-DTQV-FiRI0OIIjkQ1E5uxMybL8rI/s675/EV256603-02.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjINqUv_ksgUXwJi9sKWvs9o5jVGKv0yK9ibvz95DxpQkcmxXvWMhHEZY36FcCeZi2-5vYN-lob2E8xJ9JG38WCg5qi8qqeIS_GYJd5FsPdnx8mvKI-baopz_dhdK-uogWgq9RyqLcHXFl0jbNVT73R7bP5W9rTCj-DTQV-FiRI0OIIjkQ1E5uxMybL8rI/s16000/EV256603-02.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKDkC4Khcn8US7bGfSViUvqWXJ5e9nHhm0PMqswIwrAGUCNWqOvRYxV8cbC43Ih6EgR5WWIWLj1V6iDoXRNL7x7Ov06BzyUU2pbWNKtVIMUgFJboQSFE_H0WXyoHaQpVATKaRyc-h-DuHmQJh1B1zsHDH9gVC7WS5iKgZ873OyeyDj9UBKKZ4Dolh2-MY/s675/EV256603-03.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="151" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKDkC4Khcn8US7bGfSViUvqWXJ5e9nHhm0PMqswIwrAGUCNWqOvRYxV8cbC43Ih6EgR5WWIWLj1V6iDoXRNL7x7Ov06BzyUU2pbWNKtVIMUgFJboQSFE_H0WXyoHaQpVATKaRyc-h-DuHmQJh1B1zsHDH9gVC7WS5iKgZ873OyeyDj9UBKKZ4Dolh2-MY/s16000/EV256603-03.jpg" /></a></div><br />แหล่งน้ำพุร้อนบ้านแจ้ซ้อน พบเกิดอยู่บริเวณที่ราบลุ่มหุบเขาใกล้น้ำแม่มอน ประกอบด้วยบ่อน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาบนผิวดิน 9 บ่อ มีทั้งที่เป็นแบบ บ่อน้ำร้อน (Hot Pool) และแบบบ่อน้ำร้อนที่ไหลซึมขึ้นมา (Seep) มีอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 81 องศาเซลเซียส บริเวณของตัวแหล่งน้ำพุร้อนจะคลุมพื้นที่ประมาณ 1,200 ตารางเมตร มีโขดหินใหญ่น้อยจากธรรมชาติกระจัดกระจายแทรกตัวอยู่ท่ามกลางแอ่งน้ำร้อน พบก้อนหินมนใหญ่ ซึ่งเป็นหินแกรนิตและหินควอร์ตไซต์ กระจายอยู่ทั่วไป น้ำพุร้อนส่วนใหญ่จะไหลมารวมกัน แล้วไหลลงสู่แม่น้ำมอนใกล้ ๆ<br /></div><div><br /></div>อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ได้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบบ่อน้ำพุร้อนให้มีความสวยงาม เนื่องจากบ่อน้ำร้อนที่นี่จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยถึง 68-82 องศา เพื่อความปลอดภัย จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำในบ่อดังกล่าว แต่ทางอุทยานฯ ได้ทำทางเดินให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับบ่อน้ำร้อนได้อย่างปลอดภัย ไฮไลท์ของบ่อน้ำร้อนแห่งนี้ คือ ความสวยงามของไอน้ำร้อนสีขาวที่โพยพุ่งขึ้นมาจากบ่อ มองดูคล้ายหมอกจาง ๆ สีขาว ที่ปกคลุมและลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ผนวกกับแสงแดดที่ส่องสะท้อนลงยังบ่อน้ำร้อน เป็นภาพที่สวยสด งดงาม น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งอุณหภูมิของอากาศต่ำมากเท่าไหร่ หมอกไอน้ำก็จะยิ่งลอยพุ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ ในหน้าหนาว นอกจากนี้แล้ว การได้เห็นแสงพระอาทิตย์ขึ้นผ่านม่านหมอกไอน้ำหนา ๆ ที่ลอยมาจากบ่อน้ำร้อนจนกลายเป็นสีทอง ในตอนเช้า ก็จะเป็นภาพที่ประทับใจ ไม่รู้ลืมเช่นเดียวกัน หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ไอน้ำก็จะลดลงจนหายไปในที่สุด และจะกลับมายลโฉมให้เห็นอีกที ก็ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แต่ไอหมอกจะลอยไม่สูง และไม่สวยเท่าในตอนเช้า<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKXCbV882zbDMQ_FswhF5gBrn_NKGsjhyB8ugboSuRQPRTx7dpvhD90tENUDM_N_O8tfqv8qJiWBLuMII-QFsxpO-X3SxEDKxV1BkZsqaqZav-d6Jas7Aqw5XkKMzxDyJYWS2QQ7UaDScdobyIQGrHzyhT4HxNsq3f3RiONfRxFls7_F40WccIz29MHhI/s675/EV256603-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKXCbV882zbDMQ_FswhF5gBrn_NKGsjhyB8ugboSuRQPRTx7dpvhD90tENUDM_N_O8tfqv8qJiWBLuMII-QFsxpO-X3SxEDKxV1BkZsqaqZav-d6Jas7Aqw5XkKMzxDyJYWS2QQ7UaDScdobyIQGrHzyhT4HxNsq3f3RiONfRxFls7_F40WccIz29MHhI/s16000/EV256603-04.jpg" /></a></div><br />กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน นั่นคือ การลงไปแช่และอาบน้ำแร่ให้สบายเนื้อสบายตัว มีให้บริการ ทั้งห้องแช่น้ำแร่ส่วนตัว ห้องรวมแบบตักอาบ หรือจะใช้บริการแบบห้องรวมที่แยกชาย หญิง แต่ที่อยากแนะนำคือ เลือกใช้บริการห้องแช่น้ำแร่แบบส่วนตัว ซึ่งจะมีความสะดวกสบายกว่ามาก เป็นเอกเอกเทศ มีมุมอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในห้องด้วย ภายในจะมีอ่างลักษณะกลม สามารถนั่งแช่น้ำแร่ได้ 3-4 คน โดยน้ำแร่ที่นำมาใช้นั้นต่อท่อโดยตรงมาจากบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิน้ำแร่ ประมาณ 39-42 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ร้อนจนเกินไป สามารถใช้แช่และอาบได้ ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่ คือ ช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น กลากเกลื้อน ผื่นคัน และยังช่วยบรรเทาอาการของโรคกระดูก แต่น้ำแร่จากที่นี่ไม่สามารถใช้ดื่มได้ เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ามาตรฐาน <div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJKWfbs4_TvPHocj5YullM0K0WoDGLGZb0SrNl7IvM3oduwO2JHBCs-cy1v3N39SJh7HYh1wmgaphjTJXvtapFPXBp99lBSDNwPlnXs22zDeaAisCqMuz9vcrG1o27hRVe6s_OVdI2YgcEtjw0psjDhiofneaQQO2aVykxIOr_ZrveygIa4GHy-JZLWoU/s675/EV256603-05.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJKWfbs4_TvPHocj5YullM0K0WoDGLGZb0SrNl7IvM3oduwO2JHBCs-cy1v3N39SJh7HYh1wmgaphjTJXvtapFPXBp99lBSDNwPlnXs22zDeaAisCqMuz9vcrG1o27hRVe6s_OVdI2YgcEtjw0psjDhiofneaQQO2aVykxIOr_ZrveygIa4GHy-JZLWoU/s16000/EV256603-05.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZWoHFrrQMOKjABeCG-idSMYYMHQThvwWEDI9byV3185LnQDUMvmfct-N5A4LPObEI1gAdY9AzUTonai5UOZdUD521trwx36nFnQpWiKKUJdjQ796CNG4XIUS73a6UaTWNTZAwwHMLo9Lv-2nhk83A5nCgf295J4WhZbf2RvdnwNRm7uLpEeb5zvcLXQ8/s675/EV256603-06.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="225" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZWoHFrrQMOKjABeCG-idSMYYMHQThvwWEDI9byV3185LnQDUMvmfct-N5A4LPObEI1gAdY9AzUTonai5UOZdUD521trwx36nFnQpWiKKUJdjQ796CNG4XIUS73a6UaTWNTZAwwHMLo9Lv-2nhk83A5nCgf295J4WhZbf2RvdnwNRm7uLpEeb5zvcLXQ8/s16000/EV256603-06.jpg" /></a></div><br />สำหรับใครที่เดินเที่ยวแล้วรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ทางอุทยานฯ ได้จัดพื้นที่ให้กลุ่มชาวบ้านมาให้บริการนวดตัวคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งอยู่บริเวณศาลาใกล้ ๆ กับห้องแช่น้ำแร่ มีที่กั้นแยกเพื่อความเป็นส่วนตัว <div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZHQQ-sfGe8ODeO2wQz4VJYpVQAS9Q1iTSPwmPoy5-jvFrm-aeOy4XvLmfyA41hquaza9vIzCgDS0nEGDkOslkn70h7aFIl7yiM4E9ErDE5ahFuiGHT6SGpdzu5o666LoX5vdXqAcocCQO_W_mrQ1qyXjx4h0pTbNBGyaHk69PEhcXb-nmSAvUFnkiP6s/s675/EV256603-07.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgZHQQ-sfGe8ODeO2wQz4VJYpVQAS9Q1iTSPwmPoy5-jvFrm-aeOy4XvLmfyA41hquaza9vIzCgDS0nEGDkOslkn70h7aFIl7yiM4E9ErDE5ahFuiGHT6SGpdzu5o666LoX5vdXqAcocCQO_W_mrQ1qyXjx4h0pTbNBGyaHk69PEhcXb-nmSAvUFnkiP6s/s16000/EV256603-07.jpg" /></a></div><br />และอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้หากมาเที่ยวที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน คือ การลองทานไข่น้ำแร่หรือไข่ออนเซ็น ภาพที่เราจะเห็นจนชินตา คือ นักท่องเที่ยวจะหิ้วตะกร้าไข่ เดินตรงไปยังบ่อน้ำร้อน ความพิเศษของไข่ต้มที่นี่ คือหากเราต้มในบ่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 73 - 74 องศา โดยใช้เวลาต้ม ประมาณ 15 - 16 นาที ไข่แดงจะแข็งส่วนไข่ขาวจะเป็นวุ้นเหลว อร่อยไม่เหมือนที่อื่น และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfyE_fT8Jy1QEamxrscdSm8bRUg7iDu6uDtlpo1nSPzO__3A1sWHggTEPTE8iAWmT1dKTIBLaG8nK4HtBMS8cE-DmB1l4hKXAtVloM2N3heSsou5Y2_wZ8QZpkksRnuSPUlzpZdnOXiXNWkEQjw1Fn4MFfhQbpmwty5h08ZaVi_rkv8SWTjX9YI43CJZc/s675/EV256603-08.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfyE_fT8Jy1QEamxrscdSm8bRUg7iDu6uDtlpo1nSPzO__3A1sWHggTEPTE8iAWmT1dKTIBLaG8nK4HtBMS8cE-DmB1l4hKXAtVloM2N3heSsou5Y2_wZ8QZpkksRnuSPUlzpZdnOXiXNWkEQjw1Fn4MFfhQbpmwty5h08ZaVi_rkv8SWTjX9YI43CJZc/s16000/EV256603-08.jpg" /></a></div><div><br /></div>ระหว่างเดินลัดเลาะไปตามทางเดิน ท่ามกลางบ่อน้ำร้อนนั้น เราจะเห็นริ้วสีขาว ๆ ยาว ๆ ไหลพลิ้วไปตามสายน้ำในบ่อ นั่นก็ คือ แบคทีเรีย Chloroflexus aurantiacus เป็นแบคทีเรียที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในน้ำร้อน ที่เกิน 50 องศาและอยู่รอดได้ในสภาวะไร้ออกซิเจน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดเป็นกลุ่มแรก ๆ ของโลก เพราะแต่ก่อนโลกของเรามีอุณหภูมิสูง ไม่มี ออกซิเจน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในช่วงอุณหภูมิประมาณ 52-60 องศาเซลเซียส<br /><br /><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOhJNdm4bwTCU6DkdFYx6NPqglUgbnHuzluwN2ve1xexeB9pXW_KV7tpIDkUCbjaLUIWS0XafT3Saopoqo_LmkHW5fRNlkkUnryOneq7g3KOlDVsebTVI1sbglkW0oodL7ndHkGi25qm3bnMRkxwVer1yiyoHQwcbrQ_WDi4vdUJha2Cx0iM_tIxGhn8s/s675/EV256603-09.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOhJNdm4bwTCU6DkdFYx6NPqglUgbnHuzluwN2ve1xexeB9pXW_KV7tpIDkUCbjaLUIWS0XafT3Saopoqo_LmkHW5fRNlkkUnryOneq7g3KOlDVsebTVI1sbglkW0oodL7ndHkGi25qm3bnMRkxwVer1yiyoHQwcbrQ_WDi4vdUJha2Cx0iM_tIxGhn8s/s16000/EV256603-09.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiUYhUsHc_GwOqLPOnzJoEcaazN2K2OjeNdgVRuwWL31mj8-iJTgb8lMrVR75q_nMx8YWbFZ92hNf0Q3dqTrYwrfzu0oYRf9Q9Xnn0iaWxQwRG4lKCMQlacaBRULafEzhkJmjkQqa-mDVv6hof3H2zjL15pdE0wJ005cpOD_IKdMD1aZQZkm-hEVPOCJw/s675/EV256603-10.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiiUYhUsHc_GwOqLPOnzJoEcaazN2K2OjeNdgVRuwWL31mj8-iJTgb8lMrVR75q_nMx8YWbFZ92hNf0Q3dqTrYwrfzu0oYRf9Q9Xnn0iaWxQwRG4lKCMQlacaBRULafEzhkJmjkQqa-mDVv6hof3H2zjL15pdE0wJ005cpOD_IKdMD1aZQZkm-hEVPOCJw/s16000/EV256603-10.jpg" /></a></div><br />หลังจากแช่น้ำแร่แล้ว เราสามารถเดินไปตามเส้นทางธรรมชาติ ประมาณ 200 เมตร จะพบน้ำตกแจ้ซ้อน ชั้นที่ 1 ที่มีน้ำไหลใสและสะอาดตลอดปี มีปลาเวียนว่ายในบริเวณแอ่งน้ำมากมายเต็มไปหมด น้ำตกแจ้ซ้อนเกิดจากลำน้ำแม่มอญ โดยจะมีแอ่งน้ำรองรับ ไหลตกลงมาเป็นชั้น ๆ อย่างสวยงาม ซึ่งจะมีทั้งหมด 6 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีความสวยงามต่างกันไป</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOMqHJbIx1Xp-9cLIHScA7fY-uMfn7BTD_liyTOg56a6qnutkv3LI_RSHw2_7jGsKWiVuVH3j8lA4VxKW_cSx-02srha9yyB-fOqLdO56xIk78IN7bIUnahnIVBeC3wqNMjYUlw5lS5rSx1w_MgTvIgzSka2bqT3niLsoMsTF15x7OoL1IDYSb6S8_E4w/s675/EV256603-11.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="225" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOMqHJbIx1Xp-9cLIHScA7fY-uMfn7BTD_liyTOg56a6qnutkv3LI_RSHw2_7jGsKWiVuVH3j8lA4VxKW_cSx-02srha9yyB-fOqLdO56xIk78IN7bIUnahnIVBeC3wqNMjYUlw5lS5rSx1w_MgTvIgzSka2bqT3niLsoMsTF15x7OoL1IDYSb6S8_E4w/s16000/EV256603-11.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjg3sj2eTc5va88v0FoUZ0kW5Gd-v0rJAK89p-8QaUrbPrCrm--mr3so0vD7rmYZcBsElGbgoDE_DfUMSNUO31IZE5SIx_u-wm-7H6eTqOio_jtdrR3slrRlOoi21SIVde06Kj0cZLPZ3NxcZHupu3qpzHUbxDXCqt2a6fgDYrgdu19d0Ccb1VgWs3eg98/s675/EV256603-12.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="301" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjg3sj2eTc5va88v0FoUZ0kW5Gd-v0rJAK89p-8QaUrbPrCrm--mr3so0vD7rmYZcBsElGbgoDE_DfUMSNUO31IZE5SIx_u-wm-7H6eTqOio_jtdrR3slrRlOoi21SIVde06Kj0cZLPZ3NxcZHupu3qpzHUbxDXCqt2a6fgDYrgdu19d0Ccb1VgWs3eg98/s16000/EV256603-12.jpg" /></a></div><div><br /></div>การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จากตัวเมืองลำปาง ขับรถไปตามถนนหมายเลข 1157 ประมาณ 75 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ในบริเวณอุทยานแจ้ซ้อน มีบ้านพักรับรองหลายราคา ซึ่งสามารถจองได้ในเว็บไซด์ของกรมอุทยานแห่งชาติ มีสถานที่กางเต็นท์ มีร้านอาหารสวัสดิการบริการ หรือท่านสามารถไปพักรีสอร์ทเอกชนก็ได้<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSpFYfgyJdxszaHgDPzbyvIRQFWjoJ2-IjBxFqaPdAaesGIJjbVZhywB9fx1dy466yPdGefJgsXjT8x34FCy64d14pyBenV42_shQzQD29XwX0_-3VjuV-zDgLCIgYlmrw-302B_JHtz8VKSA9G-JgoW79zMVOSKRQVt1sIb-BBT-O_dy-SoHeGAOJ0wo/s675/EV256603-14.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="225" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiSpFYfgyJdxszaHgDPzbyvIRQFWjoJ2-IjBxFqaPdAaesGIJjbVZhywB9fx1dy466yPdGefJgsXjT8x34FCy64d14pyBenV42_shQzQD29XwX0_-3VjuV-zDgLCIgYlmrw-302B_JHtz8VKSA9G-JgoW79zMVOSKRQVt1sIb-BBT-O_dy-SoHeGAOJ0wo/s16000/EV256603-14.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><br /></div></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เขียน/เรียบเรียง :</b></span><div><span style="color: #666666;">ณิชากร เมตาภรณ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>ถ่ายภาพ :</b></span></div><div><span style="color: #666666;">สราวุธ เบี้ยจรัส นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง :</b></span></div><div><span style="color: #666666;">กรมทรัพยากรธรณี. (ม.ป.ป.). <i>น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน</i>. https://www.dmr.go.th/น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน/</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป.). <i>อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน</i>. https://thai.tourismthailand.org/Attraction/อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><i>อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน</i>. (2566, 17 กุมภาพันธ์). ใน วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. https://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><i>น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ออนเซ็นไทยแลนด์ ความมหัศจรรย์จากธรรมชาติ</i>. (2563, 21 มกราคม). sanook. https://www.sanook.com/travel/1419145/</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">nukkpidet. (2563, 16 กันยายน). <i>อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ที่เที่ยวลำปาง อลังการบ่อน้ำร้อน ท่ามกลางธรรมชาติ</i>. trueID. https://travel.trueid.net/detail/OWBDoEQozGxY</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><i>บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน</i>. (ม.ป.ป.). thesunsignt. https://thesunsight.com/%E0%B9%88jaeson/</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-63284499327775070502023-09-05T12:49:00.000+07:002023-09-05T12:49:51.383+07:00น้ำพุร้อนสันกำแพง แรงดันธรรมชาติใต้พิภพ สู่ท้องฟ้าสูง น้ำพุร้อนสันกำแพง ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเดิมพื้นที่อำเภอแม่ออน เป็นส่วนหนึ่งของอำเภอสันกำแพง และได้แยกออกมาเป็นอำเภอ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2537 น้ำพุร้อนแห่งนี้จึงมีชื่อเป็นน้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ <div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4wn3WiYDZ0u6GplteosuWKYV1xQxoTRDstikzhJsai1F-OxFxod35jKQY_Yxu-AktUqCiNtBC2N5DW7ILOhxUv4x-6A_QWQqozACgj_TULBo1_3TaPtOByGhykNqYBbHRbyQgLISukEFNHamUJyc3uOCOhbgjtpP7TGDau211BixMODSvOXmS3iWzXNQ/s675/EV256602-01.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4wn3WiYDZ0u6GplteosuWKYV1xQxoTRDstikzhJsai1F-OxFxod35jKQY_Yxu-AktUqCiNtBC2N5DW7ILOhxUv4x-6A_QWQqozACgj_TULBo1_3TaPtOByGhykNqYBbHRbyQgLISukEFNHamUJyc3uOCOhbgjtpP7TGDau211BixMODSvOXmS3iWzXNQ/s16000/EV256602-01.jpg" /></a></div><br />ในอดีตบริเวณแห่งนี้ มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า มีธารน้ำร้อน และบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ มีพื้นที่ ประมาณ 75 ไร่ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงมาใช้ประโยชน์ ทั้งการเลี้ยงสัตว์ อาบน้ำแร่ และใช้ต้มพืชผักที่เก็บจากป่าเพื่อรักษาโรคผิวหนัง ในปี พ.ศ. 2515 น้ำมันมีราคาแพง รัฐบาลจึงมองหาแหล่งพลังงานทดแทน จากการสำรวจของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ปี 2515-2526 พบว่า พื้นที่นี้มีพลังงานความร้อนเพียงพอสำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากน้ำพุแห่งนี้แพงกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมัน ไม่คุ้มกับการลงทุน โครงการนี้จึงถูกระงับไว้เป็นพลังงานทดแทนในอนาคต <div><br /></div><div>ต่อมาได้มีการร่วมทุนกันระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสหกรณ์การเกษตรหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง พัฒนาบริเวณนี้และใช้ชื่อว่า “น้ำพุร้อนสันกำแพง” โดยมีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภทน้ำพุร้อนธรรมชาติให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiCus37lmJuBTlmroFL18ch75m7lh33STrjQ_xG7OwrLWC2q08izvMI91OtWxFoz8yIepW_2oVqQTC_W4sRbfaEazyTDTvSHxJZgF-vbfymuXaiVvQdd7skL5Cz-QkChTcLe5Zt4beqkrrNgN15yjqcQOOY0izlyvxXR_LG4fQXotwJ37ndMIW_E7iMQ6U/s675/EV256602-02.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiCus37lmJuBTlmroFL18ch75m7lh33STrjQ_xG7OwrLWC2q08izvMI91OtWxFoz8yIepW_2oVqQTC_W4sRbfaEazyTDTvSHxJZgF-vbfymuXaiVvQdd7skL5Cz-QkChTcLe5Zt4beqkrrNgN15yjqcQOOY0izlyvxXR_LG4fQXotwJ37ndMIW_E7iMQ6U/s16000/EV256602-02.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;">มีการปรับพื้นบริเวณที่มีบ่อน้ำพุให้เดินเที่ยวชมได้อย่างปลอดภัย ก่อสร้างอาคารบ่ออาบน้ำแร่ บ่อน้ำร้อน ธารน้ำไหล ร้านค้า ร้านอาหาร ซุ้มพักผ่อนใต้ร่มไม้ จัดทำสวนไม้ดอกไม้ประดับและตกแต่งบริเวณโดยรอบให้สวยงาม และเริ่มเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2527</div><div style="text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiicpYoOPtv09vDdsYdOLrrP-GlZv-g8OeJYHXCf5PS4ZHi39lQZJGxmamO-T17hfdWAktKGRTdo61TtDh0XGO6VZ-4GV6BLtJ5ikTe9cBE0hot8-KH52w8Fvmiuzp5-QOoC3LYMLgc3AYtwltx6DxH13km826uJjBkBkPzP2OCbpk8zszxOf2_9_FJhnE/s675/EV256602-03.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiicpYoOPtv09vDdsYdOLrrP-GlZv-g8OeJYHXCf5PS4ZHi39lQZJGxmamO-T17hfdWAktKGRTdo61TtDh0XGO6VZ-4GV6BLtJ5ikTe9cBE0hot8-KH52w8Fvmiuzp5-QOoC3LYMLgc3AYtwltx6DxH13km826uJjBkBkPzP2OCbpk8zszxOf2_9_FJhnE/s16000/EV256602-03.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;">น้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 30 กิโลเมตร จัดอยู่ในกลุ่มน้ำพุร้อนไกเซอร์ (Geyser) เป็นความมหัศจรรย์ธรรมชาติ ที่เกิดจากความร้อนในชั้นหินอัคนีที่ยังคงความร้อนอยู่ หนุนแทรกขึ้นมาในระดับความลึกไม่มากนัก เมื่อฝนซึมผ่านชั้นดินและหินลงไป ความร้อนที่กักเก็บอยู่จะทำให้อุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น จนกลายเป็นน้ำร้อนหรือไอน้ำ โดยคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพเปลี่ยนไป น้ำร้อนและไอน้ำดังกล่าวจะไหลหมุนเวียนแทรกขึ้นมาทางรอยแตก เลื่อนขึ้นสู่ผิวดินและปรากฏให้เป็นในลักษณะของน้ำพุร้อน </div><div style="text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjonRj53_EirNcNn_-iY28oE4Oj3qbIPmH1aTao9oeVPWs3vlWuut5cFaAUOU_RQljjiSTGTCkwFo_4NtzPiblgKjEU3bP4J_kpc4ARYbDj_UCJxaBaMJ9DXuk-Ytt3T93E_Vz6XgNPQBBIhec8lTCI1HP8o-LBiteIQZlHBpCbKIhNM4y9cX8DwmcOtLc/s675/EV256602-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="675" data-original-width="450" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjonRj53_EirNcNn_-iY28oE4Oj3qbIPmH1aTao9oeVPWs3vlWuut5cFaAUOU_RQljjiSTGTCkwFo_4NtzPiblgKjEU3bP4J_kpc4ARYbDj_UCJxaBaMJ9DXuk-Ytt3T93E_Vz6XgNPQBBIhec8lTCI1HP8o-LBiteIQZlHBpCbKIhNM4y9cX8DwmcOtLc/s16000/EV256602-04.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div>ปัจจุบัน บริเวณน้ำพุร้อนสันกำแพง ได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เน้นธรรมชาติ บริเวณลานกว้างจะพบน้ำพุที่พวยพุ่งขึ้นจากพื้นดิน สูงกว่า 15 เมตร จำนวน 2 บ่อ ความสูงของน้ำพุร้อนทำให้ละอองน้ำที่กระเซ็นออกมาโดยรอบ กระทบกับผิวหน้าจะรู้สึกเย็น เหมือนกับการได้ฉีดน้ำแร่ ทำให้รู้สึกสดชื่นท่ามกลางไอแดดร้อน ๆ ใกล้กันจะพบบ่อน้ำร้อนที่กำลังเดือดพล่าน มีอุณหภูมิสูงถึง 105 องศาเซลเซียส ที่บ่อนี้ นักท่องเที่ยวนิยมนำไข่มาต้ม เพียง 3 นาที ก็จะได้ไข่ลวกที่แสนอร่อย บริเวณใกล้กันมีธารน้ำซึ่งไหลคดเคี้ยวเป็นทางยาวมาจากตัวน้ำพุ ที่ทำไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งห้อยขา แช่เท้าได้ เป็นการผ่อนคลายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ปลายธารน้ำความร้อนก็จะลดลง ใครชอบน้ำที่ค่อนข้างร้อน สามารถเลือกนั่งต้นธารน้ำได้ พร้อมกับชมวิวสวย ๆ และบรรยากาศที่ร่มรื่น งดงาม รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบและอุดมสมบูรณ์ ในช่วงท้ายสุดของธารน้ำ จะพบบ่อขนาดเล็กสำหรับเด็ก ๆ ให้สามารถลงไปเล่นแช่น้ำกันได้อย่างสนุกสนาน <br /><div style="text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBki_CcOyh8ABl1hCYQJ97m0Dkx66OwKk0yZ8S4CjGs9J6Q3lWhzaHH3cacpVEvn4q5WABpHUnFjloQXXNfUb0auQT2w_7YyfsGiAkyF4D24ljCI2B941sWq-jurRj7ZXTF9EL_82RDLOgueFwUN9U54yUvURcNeBnzStQRHgIPAjCT8ZybYadk5dYk_A/s675/EV256602-05.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="336" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBki_CcOyh8ABl1hCYQJ97m0Dkx66OwKk0yZ8S4CjGs9J6Q3lWhzaHH3cacpVEvn4q5WABpHUnFjloQXXNfUb0auQT2w_7YyfsGiAkyF4D24ljCI2B941sWq-jurRj7ZXTF9EL_82RDLOgueFwUN9U54yUvURcNeBnzStQRHgIPAjCT8ZybYadk5dYk_A/s16000/EV256602-05.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;">ส่วนบ่อที่จะแช่น้ำแร่ จะแยกออกไปอีกโซน มีทั้งอาบน้ำแร่แบบตักอาบ แบบแช่อาบ แบบแช่รวม และสระอาบน้ำแร่แบบโอโซน และเรือนพักอาบน้ำแร่ให้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการนั่งแช่แบบไม่ต้องเร่งรีบ นอกจากนี้ยังมีบริการนวดแผนไทยและนวดฝ่าเท้าอีกด้วย </div><div style="text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhq1lQ1gRSBIUKTFp9klawgWStaoboWTOtvoTpf07_GWOeKLI237cfTX4TPnfgLDBqY9np_FY_XAk04tF9YDb2z70HtG5JkRidYu7UZjyxkhZoxsjgmP38JLFL9W6Bi2EF3aZ0zmUmFAasrC9B20DDN1MBOFs2t4d1Xl-Ro7DyygSG1iVkcrzGJpME5hjg/s675/EV256602-06.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhq1lQ1gRSBIUKTFp9klawgWStaoboWTOtvoTpf07_GWOeKLI237cfTX4TPnfgLDBqY9np_FY_XAk04tF9YDb2z70HtG5JkRidYu7UZjyxkhZoxsjgmP38JLFL9W6Bi2EF3aZ0zmUmFAasrC9B20DDN1MBOFs2t4d1Xl-Ro7DyygSG1iVkcrzGJpME5hjg/s16000/EV256602-06.jpg" /></a></div><br />ประโยชน์ของการแช่น้ำแร่มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยรักษาสมดุลของเกลือแร่ในเซลล์ ป้องกันผิวพรรณไม่ให้เกิดสิวและช่วยในการรักษาโรคผิวหนังบางชนิด เพิ่มสมรรถภาพในเซลล์ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยให้เซลล์แข็งแรงและยึดเกาะกันได้เหนียวแน่น ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยเป็นตัวกลางนำวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงเซลล์ บำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ชะลอความแก่ ร่างกายผ่อนคลาย จากอาการปวดหัว เส้นตึง บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อได้ บรรเทาอาการปวดตามข้อและกระดูก หรือนิ้วล๊อค ด้วยคุณสมบัติที่ดีดังกล่าว จึงทำให้น้ำพุร้อนสันกำแพงเป็นทางเลือกที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาพักผ่อนและใช้บริการ<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhm3yfnd9u5YesCZLJJx8KQf3-Dx1ShDJLw1iGWtfjcoUaypu0YWvSE0m3npnCR7lboqPH7co3j0NZfoyY8t8yiN1I7IBiTlnNp8fwX5nFLQo5uUwwahxkFfWjX4deJFr1WUYwmEP9OX3J-dRJoyjrpgH-mtwompBNGls7OdK7OsYiFVfdRRWermLfG0uU/s675/EV256602-07.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhm3yfnd9u5YesCZLJJx8KQf3-Dx1ShDJLw1iGWtfjcoUaypu0YWvSE0m3npnCR7lboqPH7co3j0NZfoyY8t8yiN1I7IBiTlnNp8fwX5nFLQo5uUwwahxkFfWjX4deJFr1WUYwmEP9OX3J-dRJoyjrpgH-mtwompBNGls7OdK7OsYiFVfdRRWermLfG0uU/s16000/EV256602-07.jpg" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAUwU4dBI-u35RoU4yjs2T8GMsiQcoMjL8yD5ETXVwI6CstZc6IllPv-fSIptUF9AK0kzyeR4EzSiKoYun7UQp6MnehQL1P7EpwYm9VZ1jIb7IVQvkvekoWjBqC7CLi6N3_dquedyo8-e909fIRHgH85E1SAmef6UIGyYW4yNiW9mLVuqIEfNNnTBmhik/s675/EV256602-08.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="149" data-original-width="675" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAUwU4dBI-u35RoU4yjs2T8GMsiQcoMjL8yD5ETXVwI6CstZc6IllPv-fSIptUF9AK0kzyeR4EzSiKoYun7UQp6MnehQL1P7EpwYm9VZ1jIb7IVQvkvekoWjBqC7CLi6N3_dquedyo8-e909fIRHgH85E1SAmef6UIGyYW4yNiW9mLVuqIEfNNnTBmhik/s16000/EV256602-08.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><br /></div></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เขียน/เรียบเรียง :</b><br />ณิชากร เมตาภรณ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">ถ่ายภาพ :</span></b></div><div><span style="color: #666666;">สราวุธ เบี้ยจรัส นักวิชา่การโสตทัศนศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง :</span></b></div><div><div><span style="color: #666666;">nukkpidet. (2564, 9 มีนาคม). <i>น้ำพุร้อนสันกําแพง ที่เที่ยวเชียงใหม่ บ่อน้ำแร่ ออนเซ็น บำบัดโรค</i>. trueID. https://travel.trueid.net/detail/e2RAq6zZeQjk<br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">palanla. (2561, 17 ธันวาคม). <i>น้ำพุร้อนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย</i>. https://www.palanla.com/th/domesticLocation/detail/1400</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">น้ำพุร้อนสันกำแพง. (ม.ป.ป.) <i>น้ำพุร้อนสันกำแพง ตามโครงการพระราชดำริ</i>. https://skphotsprings.wordpress.com/abuot/</span></div><div><br /></div><div><span style="color: #666666;">องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านสหกรณ์ จังหวัดเชียงใหม่. (2565, 15 กรกฎาคม). <i>น้ำพุร้อนสันกำแพง</i>. http://www.bansahakorn.go.th/travel_view.php?cateid=6&id=2</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-73243320639827629902023-09-04T18:13:00.004+07:002023-09-05T12:03:40.235+07:00น้ำพุร้อนโป่งเดือด อัศจรรย์ความร้อนใต้พิภพ ไอน้ำสีขาว ที่ลอยอยู่เหนือน้ำพุร้อน เสียงเดือดของน้ำพุที่พวยพุ่งจากใต้ดิน ดังก้องกังวาลตลอดทั้งวันทั้งคืน เป็นสิ่งที่คุ้นหูคุ้นตาบรรดานักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ทำให้น้ำพุร้อนโป่งเดือดเป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้แห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ น้ำพุร้อนโป่งเดือดตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ที่มีสภาพธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าทึบ ป่าต้นน้ำ และแหล่งธรรมชาติที่สวยงาม มีพื้นที่ 1,252 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมอำเภอแม่แตง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง ของจังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่บริเวณที่เป็นน้ำพุร้อนโป่งเดือดนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxnLIwGYavmnMIbtbZttaRIZMndqNZKLbqL5ZvLLR8xuXq2Ib1FpsAt5MuCrEqtvFLmPTBwSx7-ZFP5-zNDtlw3AiXvLMlikoCG-DyhI7nYJ7wRXxCGl_D9l-y-acxufQQlPmNUe15ey0pCBreMAVcSvy-sXFaT576PkN_JeEbePycRsSUJ2n6iur3Rwc/s680/EV256601-01.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="453" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxnLIwGYavmnMIbtbZttaRIZMndqNZKLbqL5ZvLLR8xuXq2Ib1FpsAt5MuCrEqtvFLmPTBwSx7-ZFP5-zNDtlw3AiXvLMlikoCG-DyhI7nYJ7wRXxCGl_D9l-y-acxufQQlPmNUe15ey0pCBreMAVcSvy-sXFaT576PkN_JeEbePycRsSUJ2n6iur3Rwc/s16000/EV256601-01.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ “น้ำพุร้อนโป่งเดือด” โดยมีกิจกรรมแนะนำ คือ กิจกรรมการเดินผ่านป่า ต้นไม้ใหญ่ และมอสที่ขึ้นระหว่างทาง และแวะชมบ่อน้ำพุร้อนที่พุ่งมาจากใต้ดิน ทั้งบ่อเล็กและบ่อใหญ่ จากนั้นจะพบถังกักเก็บน้ำร้อนเพื่อปล่อยน้ำร้อนมาตามท่อ มายังบริเวณบ่อแช่น้ำแร่กลางแจ้ง และห้องแช่น้ำแร่ส่วนตัว โดยเส้นทางเดินจะเป็นรอบวงกลม ยาวประมาณ 1,550 เมตร บางช่วงจะมีสะพานไม้ที่ยาว ประมาณ 700 เมตร ระหว่างทางจะมีแผ่นป้ายให้ความรู้เป็นระยะ ๆ อีกด้วย</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhw6ov3OwGy9B8XvCy6SJi-yDIew1sAg5z1k0I2V65uwERJW_pMipeC3tLNgDmP7ODlxokET5tsgwuylzIi8CDCinBrTAOks-IGX2S7oVUofkmDbRrUyFTnCeMdfMYuAYAbOkDDwZYa2pTklzd94eHIzC79imfCCXjQhO2wxAFvL92IkhWB3e78GobfXn0/s680/EV256601-02.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhw6ov3OwGy9B8XvCy6SJi-yDIew1sAg5z1k0I2V65uwERJW_pMipeC3tLNgDmP7ODlxokET5tsgwuylzIi8CDCinBrTAOks-IGX2S7oVUofkmDbRrUyFTnCeMdfMYuAYAbOkDDwZYa2pTklzd94eHIzC79imfCCXjQhO2wxAFvL92IkhWB3e78GobfXn0/s16000/EV256601-02.jpg" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjAy1HDkGKKa_CVsdr0BG6hYDhUp59JXLQ2N3yhBpVM57TVYec32vVvfkDrgr8SKDjLEx96f8DxJGtA7F7fFkuZhuHMkAj1HG5sLyYUdMhG294yrJbmLvneNmeGayQ5N4M-TQPJX5sNZ3kcTyMbad_3Ixkzte2QqOkMM3BnyvRoR6GdjmrImn0s7Ez6tI/s680/EV256601-03.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjAy1HDkGKKa_CVsdr0BG6hYDhUp59JXLQ2N3yhBpVM57TVYec32vVvfkDrgr8SKDjLEx96f8DxJGtA7F7fFkuZhuHMkAj1HG5sLyYUdMhG294yrJbmLvneNmeGayQ5N4M-TQPJX5sNZ3kcTyMbad_3Ixkzte2QqOkMM3BnyvRoR6GdjmrImn0s7Ez6tI/s16000/EV256601-03.jpg" /></a></div><br />น้ำพุร้อนโป่งเดือด หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า โป่งเดือดป่าแป๋ เป็นน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่ปล่อยกระแสน้ำร่วมกับไอน้ำออกมาเป็นระยะ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เกิดจากน้ำฝนและน้ำผิวดินที่ไหลลงสู่ใต้ดิน ตามรอยแตกและรูพรุนของหินจนถึงความลึกระดับหนึ่ง และได้รับความร้อนจากชั้นหินหลอมเหลวใต้ดิน จนกลายเป็นน้ำร้อนไหลย้อนกลับขึ้นมาขังในโพรงที่แทรกอยู่ใต้ดิน และเปลี่ยนสภาพเป็นไอน้ำ เกิดแรงดันที่สูงมาก ทำให้น้ำที่อยู่ในโพรงดังกล่าว พุ่งขึ้นมาสู่ผิวดิน ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส ที่เรียกว่าโป่งเดือด เนื่องจากน้ำพุที่ผุดขึ้นเหนือพื้นดินนั้น มีเสียงคล้ายกับน้ำต้มเดือดนั่นเอง<div> <br />น้ำพุร้อนโป่งเดือดแห่งนี้ เป็นน้ำพุร้อนประเภทไกเซอร์ (Geyser) ไกเซอร์ คือเป็นน้ำพุที่พุ่งขึ้นจากผิวดินด้วยแรงดันภายใต้โลก มาจากชื่อของน้ำพุร้อน Geyser ในประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งมีความหมายว่า พรั่งพรู เพราะมีมวลน้ำจำนวนมากพรั่งพรูมาจากใต้ดิน การเกิดของไกเซอร์ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะทางอุทกธรณีวิทยา ซึ่งน้ำพุร้อนแบบนี้จะเดือดและพุ่งขึ้นมาสูงกว่าระดับผิวดินเป็นครั้งคราวหรือตลอดเวลา การพุ่งขึ้นสูงสุดของน้ำจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คงที่ โดยมีอุณหภูมิของน้ำผิวดินอยู่ที่ ประมาณ 90-99 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิของน้ำใต้ดินอยู่ที่ประมาณ 176-203 องศาเซลเซียส <br /><div><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgORidAwriiodWhBMjNFnCtv8YGBD6iswOnaWgrRGAIp8yDTWsFTFA1w9E06nZD5TfMr2sZt3oSRNb2dfxMV4rGnkijhDCcxLn2s0KHc-jgYnCe1XFhFbP2tlpFt0h4tHiTCV39zaaQiWbivwooez1CAyTeF1kVI0RsL1FucN0zZ82J7lda5fe5NwT7sbA/s680/EV256601-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgORidAwriiodWhBMjNFnCtv8YGBD6iswOnaWgrRGAIp8yDTWsFTFA1w9E06nZD5TfMr2sZt3oSRNb2dfxMV4rGnkijhDCcxLn2s0KHc-jgYnCe1XFhFbP2tlpFt0h4tHiTCV39zaaQiWbivwooez1CAyTeF1kVI0RsL1FucN0zZ82J7lda5fe5NwT7sbA/s16000/EV256601-04.jpg" /></a></div><div><br /></div>น้ำพุร้อนโป่งเดือด มีบ่อน้ำร้อน (Hot Pool) ขนาดต่าง ๆ กัน รวมประมาณ 10 บ่อ มีแนวการวางตัวอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้) บ่อที่ใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร ในอดีตน้ำร้อนจากบ่อนี้เคยพุ่งสูงมากกว่า 2 เมตร จากระดับผิวดิน โดยในช่วงเวลาทุก ๆ 30 วินาที น้ำร้อนจะพุ่งขึ้นมาครั้งหนึ่ง น้ำพุร้อนที่พุ่งขึ้นมามีลักษณะเป็นฟองก๊าซผสมกับไอน้ำร้อนที่โปรยปรายเป็นละอองกระจายไปทั่ว น้ำร้อนมีอุณหภูมิ 99 ถึง 100 องศาเซลเซียส บริเวณตัวแหล่งน้ำพุร้อนคลุมพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร พบสาหร่ายสีขาว สีแดง และสีเขียวตามบ่อน้ำพุร้อน และธารน้ำร้อน อัตราการไหลรวมทั้งหมดของน้ำพุร้อนประมาณ 20 ลิตรต่อวินาที<div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhe6lGMBkuWjXQyPkzwUJMbEztqBtzsZMoIImksSf3F0ySqfOXMRVVaTfr6WWv8Aw193h0p_E7DHpGv2_APaQQ6Hny75fFqxO09TUPklyAIOeRvmXGl7C351sCUt9oXejrHB48Cf6hcdDLjihndnFvyNAsIdN84JMW9NFUgy2dV5QeHuesyLY5MxE6pgMY/s680/EV256601-07.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhe6lGMBkuWjXQyPkzwUJMbEztqBtzsZMoIImksSf3F0ySqfOXMRVVaTfr6WWv8Aw193h0p_E7DHpGv2_APaQQ6Hny75fFqxO09TUPklyAIOeRvmXGl7C351sCUt9oXejrHB48Cf6hcdDLjihndnFvyNAsIdN84JMW9NFUgy2dV5QeHuesyLY5MxE6pgMY/s16000/EV256601-07.jpg" /></a></div><div><br /></div> ปัจจุบันการพุ่งของน้ำพุร้อนได้ลดระดับลงไปบ้าง จากการสอบถามผู้ที่เคยมาเที่ยว ในอดีตน้ำพุมีความสูงมากกว่านี้ แต่ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) มีความสูงเพียง 1 เมตร เท่านั้น เพราะปริมาณน้ำใต้ดินลดลงมาก และเนื่องจากน้ำที่พุ่งขึ้นมาจากน้ำพุร้อนแห่งนี้ มีอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส ทางอุทยานจึงทำรั้วกั้นไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไปใกล้บริเวณน้ำพุมากเกินไป และไม่อนุญาตให้นำไข่มาต้มที่บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ <div><br /></div><div>เมื่อชมมหัศจรรย์ของน้ำพุ และให้ไอน้ำร้อนปะทะเพื่อเป็นการสปาหน้าแล้ว เดินอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะมาถึงบริเวณที่โล่ง พบธารน้ำอุ่นใสแจ๋ว มีแอ่งน้ำกว้าง ประมาณ 1 เมตร เป็นช่วง ๆ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งบนโขดหินและแช่เท้าบริเวณลำธารนี้ได้เช่นกัน </div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2_JCOX34ftb_4k21lvrEmLSf1XmKPPAwGuSeCASjXeIfavXfCcgh62OiuR-EU-7PkCk1x2rWEoe2HiXL0DXMQ57s7WCA14JL3kTzAQRSukiEYdE1R4OiIxf2eJdYksEGJ-9Qk1Jt7zcQvEESFh8YUMNLRNBqkaBtrn8M8u1y-dOeOUxE-wvt53r5cJOQ/s680/EV256601-09.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2_JCOX34ftb_4k21lvrEmLSf1XmKPPAwGuSeCASjXeIfavXfCcgh62OiuR-EU-7PkCk1x2rWEoe2HiXL0DXMQ57s7WCA14JL3kTzAQRSukiEYdE1R4OiIxf2eJdYksEGJ-9Qk1Jt7zcQvEESFh8YUMNLRNBqkaBtrn8M8u1y-dOeOUxE-wvt53r5cJOQ/s16000/EV256601-09.jpg" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9fDPDHwbhRy3qFoCfUW9tXnLI7ffC1l3zcZVYOLQ1lEEx58UnEDoTdrIzN65FHfdB8Ok-Brx7VPKLgUwEHHkRqyIlHxK2pLqoqwiLw3FqykTuZ3u1ZHPgqRawvRPomp4XWS0nMhmY1YoRc3a24_p97dqkWE2YCmq-Ft1GE9yN5UCMzL70cezgsCoA090/s680/EV256601-08.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9fDPDHwbhRy3qFoCfUW9tXnLI7ffC1l3zcZVYOLQ1lEEx58UnEDoTdrIzN65FHfdB8Ok-Brx7VPKLgUwEHHkRqyIlHxK2pLqoqwiLw3FqykTuZ3u1ZHPgqRawvRPomp4XWS0nMhmY1YoRc3a24_p97dqkWE2YCmq-Ft1GE9yN5UCMzL70cezgsCoA090/s16000/EV256601-08.jpg" /></a></div><br /><div>นอกจากนี้ทางอุทยานฯ ได้ทำทางเดินไปยังบ่อแช่น้ำแร่กลางแจ้งที่มีหลายรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักสุขภาพได้ผ่อนคลาย </div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin--YXloOrG3j2KOflt4iA6RZsLJKQfRV39bPjC3P-GqIiuV8lzBYxiU14ZkvAsCmkVEIcp6M3sxQ2FAxGhpa50dJSkmIthcqFmE7iGxfX3o64VOwRClosjY4eYVufxq9D3Aj3d6KLwJ1umx_bYTC95zl0DLBQ8-bX0NDnU5QKwOorR8hia6V5vRDhW2A/s680/EV256601-10.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEin--YXloOrG3j2KOflt4iA6RZsLJKQfRV39bPjC3P-GqIiuV8lzBYxiU14ZkvAsCmkVEIcp6M3sxQ2FAxGhpa50dJSkmIthcqFmE7iGxfX3o64VOwRClosjY4eYVufxq9D3Aj3d6KLwJ1umx_bYTC95zl0DLBQ8-bX0NDnU5QKwOorR8hia6V5vRDhW2A/s16000/EV256601-10.jpg" /></a></div><br /><div>การแช่น้ำแร่ที่อุ่น ๆ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นบ่อสำหรับแช่เท้า บ่อสำหรับแช่ตัวที่สามารถว่ายน้ำได้ด้วย หรือห้องแช่น้ำแร่ส่วนตัว ที่มีทั้งห้องแบบธรรมดา และห้อง VIP ที่ด้านหลังเปิดโล่งเพื่อที่ระหว่างการแช่ตัว ยังสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามได้อย่างเพลิดเพลิน ที่สำคัญยังมองเห็น “ดอยเลี่ยม” ซึ่งเป็นดอยที่อยู่ไกลออกไปได้อีกด้วย เป็นความประทับใจที่ยากจะลืมเลือน ที่พิเศษอีกอย่าง คือ ที่นี่มีบ่อแช่น้ำแร่แยกต่างหากสำหรับภิกษุสงฆ์อีกด้วย </div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTVFi7baXuKwX0M05PUDm0BLuxz7HJzmIgPUjmz1-HggeepqeJcx0HS8D5BmYLfJHV5G4_YCLcpMwTYz_0RBwGE2DVqVCPTzU3k0GMN6xyDy24Ts_yuII1JU7IIvSAE0q3Gtk1jMVDllQHfUMf-Ke0zzyyUoAJHUXqZ10CTtjzMh62bpOVzrS8dczC7_M/s680/EV256601-11.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTVFi7baXuKwX0M05PUDm0BLuxz7HJzmIgPUjmz1-HggeepqeJcx0HS8D5BmYLfJHV5G4_YCLcpMwTYz_0RBwGE2DVqVCPTzU3k0GMN6xyDy24Ts_yuII1JU7IIvSAE0q3Gtk1jMVDllQHfUMf-Ke0zzyyUoAJHUXqZ10CTtjzMh62bpOVzrS8dczC7_M/s16000/EV256601-11.jpg" /></a></div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLN1iX7p9tsFozv3x6Fi1HVZ9vS4tqbDlJNJkiSBGrXpOsQrHBoHqEVSqsSEt7fte3cBaAMq_HAdYGHrOGek9v81QAwXG72ORxN7bcxCa20eCSb5bJCYe2yGMiTfwzTqFPf4tLpBoEn_7VRH52jcWdoKqnqMWJ4MGRbFR0yiZx8mi9uuNaAs9h-SK4Xxk/s680/EV256601-12.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="454" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLN1iX7p9tsFozv3x6Fi1HVZ9vS4tqbDlJNJkiSBGrXpOsQrHBoHqEVSqsSEt7fte3cBaAMq_HAdYGHrOGek9v81QAwXG72ORxN7bcxCa20eCSb5bJCYe2yGMiTfwzTqFPf4tLpBoEn_7VRH52jcWdoKqnqMWJ4MGRbFR0yiZx8mi9uuNaAs9h-SK4Xxk/s16000/EV256601-12.jpg" /></a></div><br /><div><div>น้ำพุร้อนโป่งเดือด จัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ ด้วยธรรมชาติแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ รวมถึงอากาศที่หนาวเย็น ทำให้เราสามารถเดินเที่ยวเล่นได้อย่างสบาย ๆ ภายในบริเวณอุทยานฯ ยังให้บริการบ้านพัก ร้านอาหาร ลานกางเต็นท์ และมีเต้นท์ให้เช่า ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวภายในอุทยาน บริเวณน้ำพุร้อน จุดชมวิวภูเขา และบริเวณใกล้เคียงได้โดยไม่ต้องกังวล</div></div><div> </div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7aEdslilRLVhbx7zTL2NGjnMCfsYrsLXiLd_u9x8r4vqorYsxLHJOrJeOwkr6vzQYV9Tyzvz8Ejaj_QD6QldeTFSY9H2B7ArVd4ZnpNuyr8t3pIf12DzeORIN-gP1XatZ9fbzkCdM3ENKdbDQrNiw7dNzzcqQFZsQHlLWdcT8GuTBlZC_waQCcxDsQ0U/s680/EV256601-13.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="342" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7aEdslilRLVhbx7zTL2NGjnMCfsYrsLXiLd_u9x8r4vqorYsxLHJOrJeOwkr6vzQYV9Tyzvz8Ejaj_QD6QldeTFSY9H2B7ArVd4ZnpNuyr8t3pIf12DzeORIN-gP1XatZ9fbzkCdM3ENKdbDQrNiw7dNzzcqQFZsQHlLWdcT8GuTBlZC_waQCcxDsQ0U/s16000/EV256601-13.jpg" /></a></div><br />การเดินทางไปเดินทางไปน้ำพุร้อนโป่งเดือด จากอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ไปตามเส้นทางหลวง หมายเลข 107 และเข้าแยกซ้ายมือที่ตลาดแม่มาลัย อำเภอแม่แตง ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 1095 ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 42 จะพบป้ายบอกทางน้ำพุร้อนโป่งเดือด ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 7 กิโลเมตร จะพบด่าน ของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ นด.1 (โป่งเดือด)<br /><br />การเข้าชมอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง มีค่าธรรมเนียมที่จ่ายแค่ครั้งเดียว แต่สามารถเข้าชมได้ 3 แห่ง ภายใน 1 วัน คือ น้ำพุร้อนโป่งเดือด จุดชมทะเลหมอกดอยกิ่ว (ห้วยน้ำดัง) และโป่งน้ำร้อนท่าปาย ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยให้เก็บบัตรผ่านไว้และแสดงให้เจ้าที่หน้าบริเวณทางเข้า<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjB0txwGqnXFVJ1Cy42XuxBqvZCRk6MrDL-YP1fYwWReCfDolFfBgldTrb21EpIIacU0KVAKfodBtqeVSMjPkLNW7QURUEu4QVZ-TKf0fgT1hzHBf6D_PrcexQzbkQUtegFNH8ko3Euf28lgOO9c3cxFlb_wpEF4-HjsogUf3Eocn7RU2GLtBdt3R2mlUI/s680/EV256601-14.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="453" data-original-width="680" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjB0txwGqnXFVJ1Cy42XuxBqvZCRk6MrDL-YP1fYwWReCfDolFfBgldTrb21EpIIacU0KVAKfodBtqeVSMjPkLNW7QURUEu4QVZ-TKf0fgT1hzHBf6D_PrcexQzbkQUtegFNH8ko3Euf28lgOO9c3cxFlb_wpEF4-HjsogUf3Eocn7RU2GLtBdt3R2mlUI/s16000/EV256601-14.jpg" /></a></div><div><br /></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>
เขียน/เรียบเรียง : </b><br />ณิชากร เมตาภรณ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>ถ่ายภาพ :</b></span></div><div><span style="color: #666666;">สราวุธ เบี้ยจรัส นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ<br /></span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง :</b><br />สำนักงานอุทยานแห่งชาติ. (ม.ป.ป). <i>น้ำพุร้อนโป่งเดือด - อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง</i>. https://portal.dnp.go.th/Content/nationalpark?contentId=1743<br /><br />Nukkpidet. ( 2563, 11 มิถุนายน). <i>แช่ น้ำพุร้อนโป่งเดือด Unseen ที่เที่ยวเชียงใหม่ ณ โป่งเดือดป่าแป๋</i>. TrueID. https://travel.trueid.net/detail/GjNLE8EkngzM</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">กรมทรัพยากรธรณี. (ม.ป.ป). <i>น้ำพุร้อนป่าแป้</i>. https://www.dmr.go.th/น้ำพุร้อนป่าแป้/<br /></span><div><br /></div></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-51152723636299949972023-09-04T15:22:00.004+07:002023-12-19T11:08:19.951+07:00พรรณไม้ในสถาบัน สกร.ภาคเหนือ : กาสะลอง (ปีบ)<div><b>กาสะลอง </b>หรือ <b>ปีป</b> เป็นไม้ที่ให้ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม นิยมปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับและให้ร่มเงา เป็นดอกไม้ที่อยู่ในความเชื่อและความศรัทธาของชาวล้านนา โดยจะเห็นได้จากการที่ชาวล้านนานิยมนำดอกกาสะลองมาบูชาพระในพิธีสวดเทศน์มาหาชาติเรียกว่าการ “ตั้งธรรมหลวง” ในช่วงประเพณียี่เป็ง นอกจากนี้ ชาวล้านนายังเชื่อว่า ดอกกาสะลองเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่า ใช้บูชาพระแม่ธรณี เนื่องจากเมื่อหล่นลงมาเกลื่อนพื้นจึงจะมีกลิ่นหอม ถือกันว่าดอกกาสะลองนี่แหละคือดอกปาริชาต ดอกไม้จากสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลิ่นหอมเย็นจรุงใจไปทั้งแผ่นดิน กระทั่งสวรรค์ชั้นพรหม และยมโลก<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXQbp5EUu8zL0Y8UTDHW_oZRQn_ZSCANUbcKOqkSVvqghZKcizljY0Ftsbsaj8XODuLc_Bi7hnenazBRGzFd2SpmSUmfMCLwT4MdaMlzk4YucUMrLE4Fmy-6FYN-DZfkHGNZUC6jhndJP7ZxxAjLAijdwLKR0j72PYCkrxO3I7oPAaFnpS6fTgvr_UHjA/s600/EV256604.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="450" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXQbp5EUu8zL0Y8UTDHW_oZRQn_ZSCANUbcKOqkSVvqghZKcizljY0Ftsbsaj8XODuLc_Bi7hnenazBRGzFd2SpmSUmfMCLwT4MdaMlzk4YucUMrLE4Fmy-6FYN-DZfkHGNZUC6jhndJP7ZxxAjLAijdwLKR0j72PYCkrxO3I7oPAaFnpS6fTgvr_UHjA/s16000/EV256604.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><b style="text-align: left;"><br /></b></div><b>ลักษณะทั่วไป</b><br />กาสะลอง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นตรงสูงโปร่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาในระดับสูง ดอกมีกลิ่นหอม<div><br /></div><b>ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์</b><br /><div><b>1. ชื่อวิทยาศาสตร์</b> : <i>Millingtonia hortensis</i> L.f.</div><div><b>2. ชื่อไทย</b> : ปีบ</div><div><b>3. ชื่อท้องถิ่น</b> : กาซะลอง กาดสะลอง (ภาคเหนือ) เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)</div><div><b>4. ชื่อสามัญ</b> : Indian cork tree, Tree jasmine</div><div><b>5. วงศ์ (Family)</b> : BIGNONIACEAE</div><div><b>6. สกุล (Genus)</b> : Millingtonia</div><div><b>7. ลักษณะวิสัย (Habit)</b> : ไม้ยืนต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ</div><div><b>8. ลักษณะทางพฤกษศาตร์</b></div><div><ul style="text-align: left;"><li><b>ลำต้น</b> สูงได้ถึง 15 เมตร เปลือกหนา สีเทาหรือน้ำตาลอมเทาแตกเป็นร่องตามยาว</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjM9la52Z69_QKgvG9VOgAGoTPlrrEAn5up-opMK97sUcviAJ7hHHDIFzxpag2J6OgxR8loSDbe40A4kyWeUB49InaOURJtVuv-voZZMSBmZJgOQCuwnk7_jFNCnI5vmdb7ddfWdFNYz1PVoPxzhDr9HYE-LYhgPUles4XrabCSIcGVB35q6qkirfXPPFc/s675/EV256604-01.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="675" data-original-width="450" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjM9la52Z69_QKgvG9VOgAGoTPlrrEAn5up-opMK97sUcviAJ7hHHDIFzxpag2J6OgxR8loSDbe40A4kyWeUB49InaOURJtVuv-voZZMSBmZJgOQCuwnk7_jFNCnI5vmdb7ddfWdFNYz1PVoPxzhDr9HYE-LYhgPUles4XrabCSIcGVB35q6qkirfXPPFc/s16000/EV256604-01.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><ul style="text-align: left;"><li><b>ใบ</b> เป็นใบประกอบแบบขนนกสามชั้น เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก มีใบย่อยจำนวนมาก ลักษณะใบมีรูปไข่แกมรูปใบหอก รูปขอบขนาน หรือรูปคล้ายสามเหลี่ยม กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือตัดขอบหยักเป็นซี่ฟัน และเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ด้านล่างมีขนตามซอกระหว่างเส้นกลางใบกับเส้นแขนงใบ เส้นแขนงใบข้างละ 3-5 เส้น</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKldLz41RsL7p6bdt-GjJgWNKIrTtaIVt3mJgkLRgDbQgRfixji4Wz7XetYvg5S78j1O6KcbJx5Rr_hzVkklZze11DH8c_4_Jg0pg4hWva-V_sTFFY915agQTRgypk4kT0ZR1d7TfK-G5swy2_5La-zE9aFEL4Ae9wcZL8O5DLV3tJEd0VhSoXraYX_B4/s675/EV256604-02.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="675" data-original-width="450" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKldLz41RsL7p6bdt-GjJgWNKIrTtaIVt3mJgkLRgDbQgRfixji4Wz7XetYvg5S78j1O6KcbJx5Rr_hzVkklZze11DH8c_4_Jg0pg4hWva-V_sTFFY915agQTRgypk4kT0ZR1d7TfK-G5swy2_5La-zE9aFEL4Ae9wcZL8O5DLV3tJEd0VhSoXraYX_B4/s16000/EV256604-02.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;"><ul style="text-align: left;"><li><b>ช่อดอก</b> ออกตามปลายกิ่ง เป็นช่อกระจุกแยกแขนงมีดอกจำนวนมาก แต่ละช่อยาว 10-35 เซนติเมตร </li><li><b>ดอก</b> ดอกบานให้กลิ่นหอมตลอดทั้งวันซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5-4 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงรูปทรงถ้วยมีสีเขียวปลายแยกเป็น 5 แฉก กว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร โคนดอกมีลักษณะเป็นหลอดแคบ ๆ ยาว 6-9 ซม. ปลายหลอดบานออกเป็นปากแตรแยกออกเป็น 5 แฉก ซีกบน 2 แฉก ซีกล่าง3 แฉก แต่ละแฉกยาว 1-1.5 เซนติเมตร ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ ก้านเกสรยาวไม่เท่ากัน มีทั้งก้านสั้นและยาวอย่างละ 1 คู่ และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบดอก</li><li><b>ช่วงเวลาการออกดอก</b> พฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคม</li></ul></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwivTO5QKZvGcUzeTZyC-NaTpNRdYoDORPDZmqkiY7QBbgF_4fZ-e-LCJ898hALT9Km1-x20mqzW5EPnrYGldyJdiR5g14STj4BFLaDn76lKfIO8Zxfw7FXQgMWnzYLfzBItJL7NqVV5VHN9zv5-5W-2Mzk1qgRuCUGocDoNUc-g9JKvj8_-03l2lZoMA/s650/EV256604-03.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwivTO5QKZvGcUzeTZyC-NaTpNRdYoDORPDZmqkiY7QBbgF_4fZ-e-LCJ898hALT9Km1-x20mqzW5EPnrYGldyJdiR5g14STj4BFLaDn76lKfIO8Zxfw7FXQgMWnzYLfzBItJL7NqVV5VHN9zv5-5W-2Mzk1qgRuCUGocDoNUc-g9JKvj8_-03l2lZoMA/s16000/EV256604-03.jpg" /></a></div><br /><div><div><ul style="text-align: left;"><li><b>ผล</b> เป็นฝักแบน ยาวแคบ รูปขอบขนาน ยาว 30-40 เซนติเมตร ปลายฝักแหลม ฝักอ่อนสีเขียว มีเนื้อ พอแห้งแข็ง แตกออกเป็น 2 ซีก ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก มีลักษณะแบน รูปหยดน้ำ มีปีกสีขาว ค่อนข้างบางใสอยู่โดยรอบเมล็ด</li></ul></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCEhwT5wRx7Sy-n8fmi26mDQFHfIRUPJtO0inmT4rQTxBAs1HQZZNMmQ53gpAUOGZI3jhhWODh_l1X-Vjk_K6mQUEYdGUOQtjZ-9bhYaIDucY0fE-J0NKd6Xw5qqNl5NH_cTLawdHRqUADWe_mTm2hw-yW3LIOgnoph75Izc0hYvNalp5XhRsE4k238Wg/s650/EV256604-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCEhwT5wRx7Sy-n8fmi26mDQFHfIRUPJtO0inmT4rQTxBAs1HQZZNMmQ53gpAUOGZI3jhhWODh_l1X-Vjk_K6mQUEYdGUOQtjZ-9bhYaIDucY0fE-J0NKd6Xw5qqNl5NH_cTLawdHRqUADWe_mTm2hw-yW3LIOgnoph75Izc0hYvNalp5XhRsE4k238Wg/s16000/EV256604-04.jpg" /></a></div><br /><b>9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา</b><br />ในประเทศไทยพบได้เกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ในต่างประเทศพบที่อินเดีย บังกลาเทศ เมียนมาร์ จีนตอนใต้ อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต</div><div><br /><b>10. การปลูกและการขยายพันธุ์</b><br /> ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือแยกหน่อที่แตกจากราก</div><div><br /><b>11. การใช้ประโยชน์</b><br /> ดอกปีบ มีสรรพคุณตามตำรายาไทย คือช่วยขยายหลอดลม บรรเทาอาการโรคหอบหืด โดยวิธีสุมยาตามหลักภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน นอกจากนี้ เนื้อไม้ยังนำไปใช้ทำเครื่องเรือน และส่วนเปลือกไม้มีลักษณะคล้ายฟองน้ำนำไปทำจุกก็อกขนาดเล็กได้</div><div> <br />เมื่อรู้ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และประโยชน์ของต้นไม้นามนี้แล้ว กำลังมองหาสถานที่เรียนรู้และสัมผัสของจริง ก็สามารถศึกษาได้บริเวณด้านข้างอาคารพัสดุ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ <br /></div><div><br /></div></div></div></div>
<hr /><b r=""><span style="color: #666666;"> เขียน/เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์ ครูชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><br /></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง :</span></b></div><div><div><span style="color: #666666;">นพพล เกตุประสาทและไพร มัทธวรัตน์ (รวบรวม). ปีบ. ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง. http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/old-fragrant/millingtonia.html<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ข้อมูลต้นไม้ : ปีบขาว. ระบบจัดการข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=275<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม. ชมรมฮักตั๋วเมือง. (2564, 30 มกราคม). รู้จักความหมายที่ซ่อนอยู่ของ “กาสะลอง” ของคนล้านนา. มติชนสุดสัปดาห์. https://www.matichonweekly.com/column/article_389349<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะเภสัชศาสตร์. (ม.ป.ป.). ปีบ. ฐานข้อมูลสมุนไพร. https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=237<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, สำนักสารนิเทศ. (2562, 24 กรกฎาคม). กาสะลองหรือดอกปีบ มีสรรพคุณบรรเทาอาการโรคหืด แพทย์แผนไทยแนะวิธีใช้อย่างง่าย. https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/129901/<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">อุทยานหลวงราชพฤกษ์. (ม.ป.ป.). ปีบ. https://rpplant.royalparkrajapruek.org/Display/Details_fn/3656</span></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-47453693223058637122023-08-14T18:32:00.000+07:002023-08-14T18:32:07.489+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยซองส์ (Puissance Analysis Technique)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0TwhB4waEB6Wo1I0P179lZ2F-g87frQgn4EO6JUZ6ySNh_P5x1odKGfwMof60Iy8KUJVGC_wa0p2-00Ez01-BxDRJCX96uYM45VZQzAaYraJNyD-YXkifNOxtSTb6vc_HKxfqSkqiprKizMpqXQHHJw245fHWLuBKUVfrnnuY7-4Yx7vRRhvSMvBRb4A/s656/ED256603.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="492" data-original-width="656" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0TwhB4waEB6Wo1I0P179lZ2F-g87frQgn4EO6JUZ6ySNh_P5x1odKGfwMof60Iy8KUJVGC_wa0p2-00Ez01-BxDRJCX96uYM45VZQzAaYraJNyD-YXkifNOxtSTb6vc_HKxfqSkqiprKizMpqXQHHJw245fHWLuBKUVfrnnuY7-4Yx7vRRhvSMvBRb4A/s320/ED256603.png" width="320" /></a></div><div><br /></div>การประเมินหลักสูตรเป็นบทบาทของสถานศึกษาที่จะแสดงให้สังคมเห็นว่า ได้จัดประสบการณ์ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนอย่างไร สอดคล้องกับความต้องการและบริบทต่าง ๆ ของสังคมและประเทศชาติเพียงใด ดังนั้น สถานศึกษาจึงควรให้ความสำคัญต่อการติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาตัดสินคุณค่า คุณภาพและประสิทธิภาพของหลักสูตร เพื่อให้ทราบว่าหลักสูตรสามารถทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่ ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือไม่ รวมถึงการดำเนินการใช้หลักสูตรเป็นไปได้ดีเพียงไร มีปัญหา อุปสรรค หรือพบข้อบกพร่องของหลักสูตรหรือไม่ ตลอดจนเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรว่าควรปรับปรุง พัฒนา หรือเปลี่ยนแปลง/ยกเลิกหลักสูตร ซึ่งการประเมินหลักสูตรสามารถทำได้ทั้งก่อนการใช้หลักสูตร ระหว่างการใช้หลักสูตร และหลังการใช้หลักสูตร<br /><br />ปุยซองส์เทคนิค เป็นวิธีการประเมินหลักสูตรรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบ 3 ส่วนของหลักสูตร ได้แก่ จุดมุ่งหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล แล้วนำมาใส่ในตารางวิเคราะห์ปุยซองส์ (The Puissance Analysis Matrix) และคิดคำนวณน้ำหนักออกมาโดยใช้สูตรปุยซองส์ ผลที่คำนวณได้สามารถแปลความหมายว่าหลักสูตรนั้น มีคุณภาพอยู่ในระดับใด<br /><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEGlfac0UaxfszfPZ5LM2_aDVLUhyx3DOCm9UkFB5mBhQ0KdNSUdP-BmoY8phzIB_0yb_esPq6myQRZP1-jznIw9iFbLSTUwCMkcXkHxuX81MahoF4C7jZ4gzcVnNPo-9Mc-YyVHVrhvnnJAodKlJILRo94NyUmAwaSlJNskPUq86YvmEM11XG_I9tBag/s700/ED256603-01.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="509" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjEGlfac0UaxfszfPZ5LM2_aDVLUhyx3DOCm9UkFB5mBhQ0KdNSUdP-BmoY8phzIB_0yb_esPq6myQRZP1-jznIw9iFbLSTUwCMkcXkHxuX81MahoF4C7jZ4gzcVnNPo-9Mc-YyVHVrhvnnJAodKlJILRo94NyUmAwaSlJNskPUq86YvmEM11XG_I9tBag/s16000/ED256603-01.png" /></a></div><div><br /></div>ตารางวิเคราะห์นี้สร้างขึ้นโดยใช้หลักการเรียนรู้ของกานเย่ (Gagne′) ที่ว่า การเรียนรู้ที่เกิดแก่ผู้เรียน มีหลายแบบหลายลักษณะด้วยกัน ซึ่งกานเย่ได้อธิบายไว้เป็น 6 แบบ ดูที่แนวนอนคือ<br /><ol style="text-align: left;"><li>การเรียนรู้แบบลูกโซ่ (Chaining) ผู้เรียนที่ได้เรียนรู้แบบนี้ สามารถทำอะไรเป็นลำดับขั้นตอนต่อเนื่องไปได้ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 1</li><li>การเรียนรู้แบบเชื่อมโยงโดยใช้ภาษา (Verbal Association) ผู้เรียนที่เรียนรู้แบบนี้ สามารถอธิบายเชื่อมโยงด้วยภาษาได้ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 2</li><li>การเรียนรู้แบบจำแนกความแตกต่าง (Multiple Discrimination) ผู้เรียนสามารถแยกแยะความเหมือนความแตกต่างได้ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 3</li><li>การเรียนรู้แบบความคิดรวบยอด (Concepts) ผู้เรียนสามารถอธิบายทฤษฎี โครงสร้าง บอกใจความสำคัญของเรื่องที่เรียนได้ถูกต้อง โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 4</li><li>การเรียนรู้แบบหลักการ (Principles) ผู้เรียนสามารถผสมผสานแนวคิดหลาย ๆ แนวคิดเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นหลักการใหม่ ๆ ได้ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 5</li><li>การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา (Problem Solving) ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้มาเพื่อใช้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 6</li></ol>นอกจากนี้กานเย่ยังได้อธิบายต่อไปว่า การเรียนรู้ในแต่ละแบบที่กล่าวมานั้นจะแสดงออกมาในลักษณะที่ต่างกันจากง่ายที่สุดไปถึงยากที่สุด กานเย่ได้อธิบายถึงระดับหรือขั้นของพฤติกรรมไว้ 9 ขั้น ดังนี้<br /><ol style="text-align: left;"><li>การบอกชื่อ (Name) เป็นการบอกหรือชี้เพื่อแสดงถึงการที่สามารถจำสิ่งที่ได้เรียน โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 1</li><li>การเลือก (Identify) โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 1</li><li>การบอกกฎเกณฑ์ (State a Rule) โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 1</li><li>การจัดลำดับ (Order) โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 2</li><li>การสาธิต (Demonstrate) โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 2</li><li>การสร้างสรรค์สิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา (Construct) โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 3</li><li>การอธิบาย (Describe) เป็นการอธิบายด้วยคำพูดของตัวเองอย่างเข้าใจและสามารถตอบคำถามต่าง ๆ ได้ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 3</li><li>การจำแนกแจกแจงประเภท (Distinguish) เป็นการแยกแยะสิ่งที่เหมือนกันและไม่เหมือนกัน โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 3</li><li>การประยุกต์กฎเกณฑ์ (Apple a Rule) เป็นการใช้กฎเกณฑ์ที่ได้เรียนมาในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยให้ค่าน้ำหนักเท่ากับ 3</li></ol>ตามหลักการเรียนรู้ของกานเย่ ความรู้หรือพฤติกรรมที่อยู่ในอันดับสูง ๆ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมั่นคงกว่าความรู้หรือพฤติกรรมในอันดับต้น ๆ หากครูสามารถสอนให้ผู้เรียนมีความรู้และแสดงพฤติกรรมในอันดับสูง ๆ ได้มากเท่าใด ย่อมหมายความว่า ผู้เรียนจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และสามารถใช้สิ่งที่เรียนให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหลักสูตรใดที่เน้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้และแสดงพฤติกรรมในขั้นสูง ๆ ได้ หลักสูตรนั้นนับได้ว่าเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพดี<div><br /><div><div><b>การใช้ตารางวิเคราะห์ปุยซองส์เพื่อวิเคราะห์หาคุณภาพของหลักสูตร </b>ทำได้ดังนี้<br /><br /></div><b>• ขั้นที่ 1 </b><br />นำจุดมุ่งหมาย กิจกรรมการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผลที่รวบรวมได้ทั้งหมดจากหลักสูตรมาวิเคราะห์ดูว่า แต่ละหัวข้อเป็นความรู้ที่อยู่ในลักษณะหรือแบบใด (แบบการเรียนรู้) และพฤติกรรมการเรียนรู้นั้นอยู่ในลำดับหรือขั้นไหน (ระดับพฤติกรรม) ตัวอย่างเช่น หลักสูตร ก. มีจุดมุ่งหมาย 10 ข้อ กิจกรรมการเรียนการสอน 10 ข้อ และกิจกรรมการวัดผลประเมินผล 10 ข้อ เพื่อความเข้าใจดูตัวอย่างตารางวิเคราะห์ประกอบ<br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgu2iKs2aolGThjy0D4TnZKeTqR7lQJSo6O7F3-5t8mn17rLFMcqSi0fDn2bhY7M9khFaVpzToxA8L44mYk6BhaMKXxO2VPYV7EVFxxXrpPkbarKnPBd5qtsnVltpweiUHNlX4A5DlkLmmSxqIiCckn_jj8g-tL2MGRoC7Fk6xQ426tAVlDVsJ672NdPHM/s1066/ED256603-02.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1066" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgu2iKs2aolGThjy0D4TnZKeTqR7lQJSo6O7F3-5t8mn17rLFMcqSi0fDn2bhY7M9khFaVpzToxA8L44mYk6BhaMKXxO2VPYV7EVFxxXrpPkbarKnPBd5qtsnVltpweiUHNlX4A5DlkLmmSxqIiCckn_jj8g-tL2MGRoC7Fk6xQ426tAVlDVsJ672NdPHM/s16000/ED256603-02.png" /></a></div><br /><b>• ขั้นที่ 2 </b><br />นำผลการวิเคราะห์ที่ได้จากขั้นที่ 1 มาใส่ลงในตารางวิเคราะห์ของปุยซองส์ ผลการวิเคราะห์ประกอบด้วย 2 ด้าน คือ แบบการเรียนรู้ (Types of Learning) กับระดับพฤติกรรมที่เป็นการปฏิบัติหรือแสดงออก (Performance Classes) ตัวอย่างเช่น หลักสูตร ก. มีจุดมุ่งหมาย 10 ข้อ กิจกรรมการเรียนการสอน 10 ข้อ และกิจกรรมการวัดผลประเมินผล 10 ข้อ เราจะต้องนำข้อมูลต่าง ๆ ทั้ง 30 ข้อ มาลงในช่องตารางวิเคราะห์ปุยซองส์<br /><br />หลังจากกรอกข้อมูลทุกหัวข้อในตารางเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องคำนวณน้ำหนักในแต่ละช่อง โดยใช้สูตร ดังนี้<br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMAWLyYyXA-vQFZj_7kHRauIi27IXtmb1pZI_V4RWafggwnFDBhb6CksEOP-cszHJNISFLgMg4ppyDE3S7Cp2WqTShIGTxxkJQKJ4H_aRjwPsxD5SbuJJdXuavrOqbsu9edjzm7Oz0fQASKO3lDRGBzmweaBXflaT8HWk3QM63qYV-BcyAiw91xmnIqik/s700/ED256603-03.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="62" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhMAWLyYyXA-vQFZj_7kHRauIi27IXtmb1pZI_V4RWafggwnFDBhb6CksEOP-cszHJNISFLgMg4ppyDE3S7Cp2WqTShIGTxxkJQKJ4H_aRjwPsxD5SbuJJdXuavrOqbsu9edjzm7Oz0fQASKO3lDRGBzmweaBXflaT8HWk3QM63qYV-BcyAiw91xmnIqik/s16000/ED256603-03.png" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHhPFv0UOCOx2Orr6_bGxUupQSvvqLn_VdFOj18PSZvj39eTulUtGc1OiBiGrzW01aWez8RV6Es7Y6cb6hPdvaKvBPe0bzAhVtUavQo7VAlUohey9fTXapdItvda7MKolQG6lt8ibn1J3Zf0sIRhCwnu9v2G2uoMmtWVk0l1nrkIchtqswUbla7tepFV8/s767/ED256603-04.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="767" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHhPFv0UOCOx2Orr6_bGxUupQSvvqLn_VdFOj18PSZvj39eTulUtGc1OiBiGrzW01aWez8RV6Es7Y6cb6hPdvaKvBPe0bzAhVtUavQo7VAlUohey9fTXapdItvda7MKolQG6lt8ibn1J3Zf0sIRhCwnu9v2G2uoMmtWVk0l1nrkIchtqswUbla7tepFV8/s16000/ED256603-04.png" /></a></div>ตัวอย่างเช่น ในช่องที่ตรงกับแบบการเรียนรู้แบบที่ 2 และพฤติกรรมการเรียนรู้ระดับที่ 3 <br />มีหัวข้อจุดมุ่งหมาย (จ.) กิจกรรมการเรียนการสอน (ก.) และการวัดผลประเมินผล (ว.) ที่จัดอยู่ในช่องนี้ คือ จ.1 จ.2 จ.8 ก.1 ก.2 ก.7 ว.1 และ ว.2 ซึ่งนับรวมได้ 8 ข้อด้วยกัน</div><div><div><br /><div style="text-align: center;">จากสูตร</div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRRa54Q01bsSY380UT3hkpBFVXja7kwK6Z2FXGvhcc6fGQtIAOT5o4gUZmlLch7uipEE-Rs2itp7Hu3ye5MfBIEu6MEKhPhJwE0INaCDbfGQW2l_WHFplARfNLvAFMCGyDJDv-k6KUj90YkLjGlvcoViUksTUP9IKqkr5hvwschtvTgIQulnRK7_cW7vo/s700/ED256603-03.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="62" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiRRa54Q01bsSY380UT3hkpBFVXja7kwK6Z2FXGvhcc6fGQtIAOT5o4gUZmlLch7uipEE-Rs2itp7Hu3ye5MfBIEu6MEKhPhJwE0INaCDbfGQW2l_WHFplARfNLvAFMCGyDJDv-k6KUj90YkLjGlvcoViUksTUP9IKqkr5hvwschtvTgIQulnRK7_cW7vo/s16000/ED256603-03.png" /></a></div><div style="text-align: center;">ดังนั้น น้ำหนักของช่องนี้ = 2 × 1 × 8<span style="white-space: pre;"> </span>= 16</div><div><br /></div><b>• ขั้นที่ 3 </b></div><div>หาคุณภาพหลักสูตร (The Puissance Measure) ใช้ตัวย่อ P.M. โดยใช้สูตรดังนี้</div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZtdzSMJW2h5j0OlQtDA7eyLcrRGaKqQ8BmAViMN-fgy8G8u-8Dn8BJs28Upsl8ga6meruXDfCgaSECi4DP5WRbfxJ2kHB3jCEiGI2XKzzTbu86lnxvKMg4kqeQyOQg2Le1Gw_QjMp6yvEJC_kS4D8rHj_TZRdgfJknZiQS5yxai6OpC7W53h0lDLM6v0/s700/ED256603-05.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="87" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZtdzSMJW2h5j0OlQtDA7eyLcrRGaKqQ8BmAViMN-fgy8G8u-8Dn8BJs28Upsl8ga6meruXDfCgaSECi4DP5WRbfxJ2kHB3jCEiGI2XKzzTbu86lnxvKMg4kqeQyOQg2Le1Gw_QjMp6yvEJC_kS4D8rHj_TZRdgfJknZiQS5yxai6OpC7W53h0lDLM6v0/s16000/ED256603-05.png" /></a></div><br />จากตัวอย่างหลักสูตรในตารางวิเคราะห์ปุยซองส์ คำนวณค่า P.M. ได้ดังนี้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWCUfMsIB05pb7aXiQ5pvyStOC7Es0lZGAj2PCPpcCA7Hos6X03Kh2OUP8LSYNIUnZ__1Va7CwTWXXSgYcitb0AvzCeBpPCmap92vonFB1RHVuTAUZ8llwTDXEfG1nj17tEzD2o7uf04jOHFoveR5mIIFrlYEzIM9Sh2V8SuCDwkRdUPSWEY8t7iOLniI/s700/ED256603-06.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="70" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWCUfMsIB05pb7aXiQ5pvyStOC7Es0lZGAj2PCPpcCA7Hos6X03Kh2OUP8LSYNIUnZ__1Va7CwTWXXSgYcitb0AvzCeBpPCmap92vonFB1RHVuTAUZ8llwTDXEfG1nj17tEzD2o7uf04jOHFoveR5mIIFrlYEzIM9Sh2V8SuCDwkRdUPSWEY8t7iOLniI/s16000/ED256603-06.png" /></a></div><br /><b>• ขั้นที่ 4 ขั้นแปลผล</b><br />เกณฑ์ที่ใช้ในการแปลผลที่คำนวณได้ มีดังนี้<br /> ค่า P.M. ตั้งแต่ 1 - 3.9 แสดงถึงคุณภาพต่ำ<br /> ค่า P.M. ตั้งแต่ 4 - 10 แสดงถึงคุณภาพปานกลาง<br /> ค่า P.M. ตั้งแต่ 10.1 – 18 แสดงถึงคุณภาพสูง<br />จากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น หลักสูตรมีค่า P.M. = 7.37 แสดงว่าหลักสูตรนี้มีคุณภาพในระดับปานกลาง ค่อนไปในทางสูงเล็กน้อย</div><div><br /></div>การตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรด้วยเทคนิคปุยซองส์นี้ เป็นวิธีการที่ตรวจสอบหลักสูตรโดยรวม ๆ ซึ่งด้วยวิธีการเดียวกันนี้ ผู้ตรวจสอบอาจจะแยกประเมินองค์ประกอบ 3 ส่วนของหลักสูตรทีละส่วนแยกต่างหากออกไป และสามารถคำนวณหาค่า P.M. ของแต่ละองค์ประกอบได้ด้วย<br /><br />ตัวอย่างเช่น จากหลักสูตรที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น หากนำมาคำนวณค่า P.M. แยกแต่ละส่วนประกอบ ดังตาราง<br /><div>1. ตัวอย่างการวิเคราะห์จุดมุ่งหมายโดยใช้ตารางวิเคราะห์ปุยซองส์</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5BjzRc1MChYw24cHiP4Uc9qcKHt-cZaszBlPDu2t3Ex3M9ffs7qzGAaD-pQRBg7ZsBaULrQYeXYYd0CgNLzLwRlBs7E3-tjW8qewY3Oci0DhsRm-tnF_cBWbWkED4VdFCIbaG_0gH7j7p8dPrE9y1VN9Z4GdWIBlNGGWnNycZ66GF2a6K1CdsGV3fyTE/s743/ED256603-07.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="743" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5BjzRc1MChYw24cHiP4Uc9qcKHt-cZaszBlPDu2t3Ex3M9ffs7qzGAaD-pQRBg7ZsBaULrQYeXYYd0CgNLzLwRlBs7E3-tjW8qewY3Oci0DhsRm-tnF_cBWbWkED4VdFCIbaG_0gH7j7p8dPrE9y1VN9Z4GdWIBlNGGWnNycZ66GF2a6K1CdsGV3fyTE/s16000/ED256603-07.png" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both;">2. ตัวอย่างการวิเคราะห์กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ตารางวิเคราะห์ปุยซองส์<br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO-bs1B384LsOFRcFLFrGOfa86P84bwlTvsPsher6DZ5K6ZC_CWfvtG8Epc5yB4feuIG_l9EDE5uztFxT-nZx6PrvfU756qyHQfvYKMqKKMjzRfBp9Z6XQiecR8g62yN3q3TDVnSknZszIpQy_AKKiqAg5DvrI8XyTpi5eay2PMQNyvhAvk4LUAqC6NUE/s701/ED256603-09.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="701" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO-bs1B384LsOFRcFLFrGOfa86P84bwlTvsPsher6DZ5K6ZC_CWfvtG8Epc5yB4feuIG_l9EDE5uztFxT-nZx6PrvfU756qyHQfvYKMqKKMjzRfBp9Z6XQiecR8g62yN3q3TDVnSknZszIpQy_AKKiqAg5DvrI8XyTpi5eay2PMQNyvhAvk4LUAqC6NUE/s16000/ED256603-09.png" /></a></div><br />3. ตัวอย่างการวัดผลประเมินผลโดยใช้ตารางวิเคราะห์ปุยซองส์</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYqjzV-m7fX6A032mWWHwfzPe1vOFJ-_FVCLMjiyyK2NV8U7IHjAHByx5I-NRNkKKrH6e8I-AU3pda--fROIVCGrSdV7OAZexcle0Iis_XgQdVhtv9ekKLt_RSyu5mhgGg7p6Pwtua1r_t39FfvVEO_zil5mRPOF1Q9ctHsNrfh9hCcuH01Fl1WkDD2qE/s700/ED256603-10.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="691" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYqjzV-m7fX6A032mWWHwfzPe1vOFJ-_FVCLMjiyyK2NV8U7IHjAHByx5I-NRNkKKrH6e8I-AU3pda--fROIVCGrSdV7OAZexcle0Iis_XgQdVhtv9ekKLt_RSyu5mhgGg7p6Pwtua1r_t39FfvVEO_zil5mRPOF1Q9ctHsNrfh9hCcuH01Fl1WkDD2qE/s16000/ED256603-10.png" /></a></div><br />จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อทำการวิเคราะห์ค่าน้ำหนักแต่ละช่องของแต่ละองค์ประกอบหลักสูตรทั้ง 3 ส่วน เรียบร้อยแล้ว จึงนำมาประเมินคุณภาพ โดยหาค่า P.M. ของแต่ละองค์ประกอบหลักสูตร สรุปได้ดังนี้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiitTBkFpbB2ETUI-Xby8pmAaUe4GxNi5QTl7YewyYuMrhVotXrsCtio8yLh7DIR1AhaOzeEroz2d5pmEqhlqbJSmsu1yEMRC17k5P97b8cQVSCcR1B9JQwFnuoeQ3yjBp9DggoeSEn37Bz8GxLD5T26GYJWYXGp9SgGyNxIdiaoDmZh6dvpFUvH89v8sY/s700/ED256603-11.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="492" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiitTBkFpbB2ETUI-Xby8pmAaUe4GxNi5QTl7YewyYuMrhVotXrsCtio8yLh7DIR1AhaOzeEroz2d5pmEqhlqbJSmsu1yEMRC17k5P97b8cQVSCcR1B9JQwFnuoeQ3yjBp9DggoeSEn37Bz8GxLD5T26GYJWYXGp9SgGyNxIdiaoDmZh6dvpFUvH89v8sY/s16000/ED256603-11.png" /></a></div>จากตารางข้างต้น ถ้าดูในภาพรวมแล้ว การวิเคราะห์องค์ประกอบของหลักสูตรมีคุณภาพในระดับปานกลาง แต่ถ้าพิจารณาแต่ละองค์ประกอบแล้ว จะต้องปรับปรุงองค์ประกอบหลักสูตรด้านกิจกรรมการเรียนการสอน<br /><br />การประเมินหลักสูตรของปุยซองส์ เป็นการประเมินเอกสารหลักสูตรด้านจุดมุ่งหมาย กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ซึ่งมีความเหมาะสมที่จะทำการประเมินก่อนการนำหลักสูตรไปใช้จริง การวิเคราะห์แต่ละองค์ประกอบหลักสูตรควรทำอย่างระมัดระวัง เมื่อนำทั้ง 3 องค์ประกอบมาเปรียบเทียบแล้ว จะทำให้มองเห็นว่าควรจะปรับปรุงคุณภาพขององค์ประกอบหลักสูตรส่วนใด<br /><br /><hr /><span style="color: #666666;"><b>เรียบเรียง </b>:<br />อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง:</b><br /></span><div><span style="color: #666666;">นิรมล ศตวุฒิ. (2543). <i>การพัฒนาหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.</span></div><div><span style="color: #666666;">ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). <i>การประเมินหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.</span></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-50829826729525688712023-08-14T13:25:00.006+07:002023-08-14T19:06:22.862+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)หลังจากที่ผู้พัฒนาหลักสูตรได้เขียนหลักสูตรครบถ้วนแล้ว ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ เช่น จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดผลและประเมินผล เป็นต้น ผู้พัฒนาหลักสูตรควรศึกษาวิเคราะห์และตรวจสอบหลักสูตรที่สร้างขึ้น ก่อนนำหลักสูตรไปใช้ โดยอาจใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือตั้งเป็นข้อคำถามเพื่อให้เป็นแนวทางหรือเกณฑ์ในการประเมิน<br /><br /><div style="text-align: center;"><b>แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)</b></div><br /><div class="separator" style="clear: both;"><div style="text-align: center;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkx_YHrIgqbt6ZwfzHGuHb8YkJcCmE-Q5HbTTr1zD-HCa0SZ-s5xZvjgb_a0l17VblMP3aiyTlDj-JzJl2RopkiGd9zHFomsMrVsCzz56OA-pS9P9ltv-B36qiSt73bJ9KoYdZ2w1KqqrL_4IuoGmRcmkW-DAG8NvAiT4d3EUvCWIsVXlAr9wNEqL6oiM/s320/ED256602-1.png" /></div><span style="color: #666666;"><div style="text-align: center;">ภาพจาก freepix</div></span></div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div>แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นเครื่องมือในการประเมินและการวิจัยแบบหนึ่ง เพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบที่จำเป็นครบถ้วน ชัดเจนหรือไม่ ในการสร้างแบบตรวจสอบรายการนั้น คุณภาพที่สำคัญคือ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา นั้นคือ ความครอบคลุมในรายการที่จะตรวจสอบนั่นเอง ดังตัวอย่างต่อไปนี้<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgetmPXdIAeEYJybOB0mYTgtA5O51cG0H8Zwk3eKBJcXoyAO2vqVu5Y8HZgWRlQ0pQnVV6opTAqWwOHdav66RgU-VG7XsXARrBFpouXSpRM0e0ntDOQnlWnMRCc5wXMMhFiUvhySfxVMwXKhCj4DcCgMVSUU6GnytsUpkU-I-h4UHgSQIdeNzMmIVVFni4/s1039/ED256602-2.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1039" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgetmPXdIAeEYJybOB0mYTgtA5O51cG0H8Zwk3eKBJcXoyAO2vqVu5Y8HZgWRlQ0pQnVV6opTAqWwOHdav66RgU-VG7XsXARrBFpouXSpRM0e0ntDOQnlWnMRCc5wXMMhFiUvhySfxVMwXKhCj4DcCgMVSUU6GnytsUpkU-I-h4UHgSQIdeNzMmIVVFni4/s16000/ED256602-2.png" /></a></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div>นอกจากการใช้แบบตรวจสอบรายการแล้ว อาจตั้งเป็นข้อคำถามเพื่อใช้เป็นแนวทางหรือเกณฑ์ในการประเมินก็ได้ ในบทความนี้จะขอนำคำถามเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรที่เสนอโดยแพร็ท (Pratt, 1980 อ้างใน ศักดิ์ศรี ปาณะกุล, 2543: 45-48) มาเป็นแนวทางการประเมิน ดังรายละเอียดต่อไปนี้<br /><b><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a> <b>1. จุดมุ่งหมายทั่วไป</b></div></b><ul style="text-align: left;"><li>มีการกล่าวถึงลักษณะของผลผลิตที่มุ่งหวังจากหลักสูตรไว้ชัดเจนหรือไม่</li><li>จุดมุ่งหมายของหลักสูตรมีความสำคัญเพียงพอหรือไม่</li><li>จุดมุ่งหมายของหลักสูตรได้ครอบคลุมความมุ่งหวังที่สำคัญทั้งหมดหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>2. หลักการและเหตุผล</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการกล่าวถึงความจำเป็นเกี่ยวการใช้หลักสูตรหรือไม่</li><li>ได้นำเอาข้อสรุปที่สำคัญเกี่ยวกับหลักสูตรมากล่าวไว้หรือไม่</li><li>ข้อสรุปเหล่านั้นเป็นความจริงหรือใช้ได้ไหม</li><li>ได้มีการคาดการณ์เกี่ยวกับการคัดค้านอันอาจเกิดขึ้นหรือไม่</li><li>ถ้าหากมีการศึกษาถึงความจำเป็น (needs assessment) วิธีการศึกษาค้นคว้าและการบรรยายเกี่ยวกับผลการค้นคว้ามีความสมบูรณ์เพียงพอไหม</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>3. จุดมุ่งหมายเฉพาะ</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการระบุจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือไม่</li><li>ได้มีการบอกประเภทหรือความสำคัญของจุดมุ่งหมายเฉพาะแต่ละข้อหรือไม่</li><li>จุดมุ่งหมายเฉพาะแต่ละข้อมีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายทั่วไปหรือไม่</li><li>จุดมุ่งหมายเฉพาะมีความชัดเจน ยืดหยุ่น นำไปใช้ได้ มีความสำคัญ และมีความเหมาะสมเพียงใด</li><li>จุดมุ่งหมายเฉพาะทุกข้อสามารถปฏิบัติได้ และตอบสนองจุดมุ่งหมายทั่วไปหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>4. เกณฑ์ในการวัด</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>ผลที่ได้จากหลักสูตรได้รับการประเมินอย่างมีหลักเกณฑ์หรือไม่</li><li>เกณฑ์ในการพิจารณามีความเหมาะสม ชัดเจน เชื่อถือได้ และมีประสิทธิภาพหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>5. การแบ่งระดับของคะแนน</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>ระบบการจัดลำดับคะแนนมีความชัดเจนเพียงใด</li><li>การจัดลำดับของคะแนนสะท้อนให้เห็นความสำคัญของจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>6. สภาพแวดล้อม</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>ระบบการจัดลำดับคะแนนมีความชัดเจนเพียงใด</li><li>การจัดลำดับของคะแนนสะท้อนให้เห็นความสำคัญของจุดมุ่งหมายเฉพาะหรือไม่</li><li>หลักสูตรมีความเหมาะสม ชัดเจนและมีความเกี่ยวเนื่องกับโครงการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และผู้เรียนหรือไม่</li><li>มีสถาบันอื่นใดสามารถใช้หลักสูตรนี้หรือไม่</li><li>มีการกล่าวถึงผลกระทบเกี่ยวกับหลักสูตร รายวิชา และครูหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>7. ลักษณะของผู้เรียน</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการกล่าวถึงคุณลักษณะของผู้เรียนที่เรียนตามหลักสูตรนี้หรือไม่</li><li>ได้มีการกล่าวถึงกระบวนการคัดเลือกผู้เรียนหรือไม่</li><li>มีการกำหนดความรู้พื้นฐานหรือไม่</li><li>ผู้ที่ไม่สามารถเข้าเรียนในหลักสูตรนี้จะสามารถตรวจสอบได้ด้วยวิธีใด</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>8. การเรียนการสอน</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>แผนการสอนมีรายละเอียดเพียงพอหรือไม่</li><li>มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด</li><li>เนื้อหาสาระน่าสนใจไหม</li><li>มีความสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายหรือไม่</li><li>วิธีการสอนมีความเหมาะสม ใช้หลายลักษณะ และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์หรือไม่</li><li>จุดมุ่งหมายเฉพาะสามารถชี้แนวทางการคัดเลือกวิธีสอน รวมทั้งกิจกรรมที่เหมาะสมหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>9. การจัดการเกี่ยวกับความแตกต่างของผู้เรียน</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการประเมินผลระหว่างการเรียนอย่างสม่ำเสมอ และประเมินผลเพื่อการวินิจฉัยหรือไม่</li><li>มีการเตรียมการเพื่อสอนซ่อมเสริมหรือไม่ และการสอนซ่อมเสริมมีความเหมาะสม</li><li>มีหลายรูปแบบ และมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงไร</li><li>มีการส่งเสริมผู้เรียนที่มีศักยภาพในการเรียนที่แตกต่างกันหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>10. การส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติ</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการระบุจำนวนผู้เรียนหรือจำนวนกลุ่มขั้นต่ำสุดและสูงสุดไว้หรือไม่</li><li>มีการวางแผนแก้ปัญหาสำหรับผู้เรียนจำนวนมากหรือน้อยกว่าที่กำหนดไว้หรือไม่</li><li>มีการระบุถึงวัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่เป็นสื่อการเรียนการสอนหรือไม่</li><li>สื่อและเครื่องมือเหล่านั้นมีความสอดคล้องสัมพันธ์กับหลักสูตรหรือไม่</li><li>มีการกล่าวถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนหรือไม่</li><li>ได้มีการคิดคำนวณถึงเวลาที่จะใช้ทั้งหมดหรือไม่</li><li>ได้กล่าวถึงคุณสมบัติ ความสามารถและหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้สอนหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>11. การทดลองใช้หลักสูตร</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการทดลองใช้หลักสูตรแบบนำร่อง หรือภาคสนามหรือไม่</li><li>รายงานผลการทดลองใช้น่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>12. การประเมินโครงการใช้หลักสูตร</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีการประเมินโครงการใช้หลักสูตร ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับกันหรือไม่</li><li>มีองค์ประกอบหรือส่วนใดของหลักสูตรที่จำเป็นต้องมีการประเมินโดยเฉพาะหรือไม่</li><li>มีการปรับปรุงและพัฒนาส่วนใดหรือไม่</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>13. การนำหลักสูตรไปใช้</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>มีแนวทางและกำหนดเวลาการใช้หลักสูตรหรือไม่</li><li>บทบาทหน้าที่ของผู้ใช้หลักสูตร ได้ระบุไว้ชัดเจนเพียงพอหรือไม่</li><li>แผนการใช้หลักสูตรมีความชัดเจน และเป็นไปได้เพียงใด</li></ul><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s35/ED256602-4%20icon.png" style="font-weight: 700; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="35" data-original-width="35" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgO3qAKZC9z0AYL3ag5QAo2xMLvmMbpzh3xQItHmQiyx79URHjujTaYY53u5xsuHy6UlugsN2WlxEoDM7bjqPU5SbDj_lZn-eCEBx4MBtIavryc_UDyscqCSrvtwnGexJsKcbneiOb8YAkCQAC3lbpmrcbJmo3G2H8V9G-X6REDPRwtgKlwtWNTf8a6mJU/s16000/ED256602-4%20icon.png" /></a><b>14. ผลผลิต</b><br /><ul style="text-align: left;"><li>หลักสูตรมีรูปแบบที่เป็นอิสระในตัวเองหรือไม่</li><li>ผลผลิตจากหลักสูตรเป็นที่น่าพอใจ และมีความสนใจในวิชาชีพมากน้อยเพียงใด</li></ul>การประเมินหลักสูตรโดยใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือตั้งเป็นข้อคำถามเพื่อให้เป็นแนวทางหรือเกณฑ์ในการประเมินที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหรือแนวทางในการประเมิน ซึ่งผู้พัฒนาหลักสูตรสามารถนำไปปรับปรุงประเด็นหรือข้อคำถามเพื่อให้สอดคล้อง เหมาะสมกับหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น<br /><div><br /></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เรียบเรียง</b></span></div><div><span style="color: #666666;">อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง</b></span></div><div><span style="color: #666666;">ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). <i>การประเมินหลักสูตร</i> (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.</span></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-33073151405833635862023-08-14T11:55:00.000+07:002023-08-14T11:55:02.420+07:00การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้การประเมินหลักสูตรเป็นบทบาทของสถานศึกษาที่จะแสดงให้สังคมเห็นว่าได้จัดประสบการณ์ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนอย่างไร สอดคล้องกับความต้องการและบริบทต่าง ๆ ของสังคมและประเทศชาติเพียงใด ดังนั้น สถานศึกษาจึงควรให้ความสำคัญต่อการติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาตัดสินคุณค่า คุณภาพและประสิทธิภาพของหลักสูตร เพื่อให้ทราบว่าหลักสูตรสามารถทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่ ผู้เรียนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือไม่ รวมถึงการดำเนินการใช้หลักสูตรเป็นไปได้ดีเพียงไร มีปัญหา อุปสรรค หรือพบข้อบกพร่องของหลักสูตรหรือไม่ ตลอดจนเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรว่าควรปรับปรุง พัฒนา หรือเปลี่ยนแปลง/ยกเลิกหลักสูตร ซึ่งการประเมินหลักสูตรสามารถทำได้ทั้งก่อนการใช้หลักสูตร ระหว่างการใช้หลักสูตร และหลังการใช้หลักสูตร<br /><br />สำหรับบทความนี้จะขอนำเสนอเทคนิคและวิธีการในการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ ซึ่งการประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการนำหลักสูตรไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการประเมินก่อนที่จะมีการใช้หลักสูตรจริง ๆ<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUJZ-eFO73A6YGNAtsPBblsuszkvh53cheNjXVoSn4UJFczgMVHpApgeQ5KRooUePF29kTN-PnIsczLriqfetyd-WYJ-NysV9jILyRslF8KVjGU7VZR23NNkLs2c8zB96Z2jh-h1fu8x95qckAJQXNa6O6u0A5dNDS48gxalwdAJeigrbfzBYlwJZthuI/s400/ED256601-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="300" data-original-width="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUJZ-eFO73A6YGNAtsPBblsuszkvh53cheNjXVoSn4UJFczgMVHpApgeQ5KRooUePF29kTN-PnIsczLriqfetyd-WYJ-NysV9jILyRslF8KVjGU7VZR23NNkLs2c8zB96Z2jh-h1fu8x95qckAJQXNa6O6u0A5dNDS48gxalwdAJeigrbfzBYlwJZthuI/s16000/ED256601-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">ภาพจาก freepix</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><b>เทคนิคและวิธีการในการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้</b><br />เทคนิคและวิธีการที่นิยมในการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ ประกอบด้วย<br /><ol style="text-align: left;"><li>การใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) หรือตั้งเป็นข้อคำถามเพื่อใช้เป็นแนวทางหรือเกณฑ์ในการประเมิน</li><li>การใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยซองส์ (Puissance Analysis Technique)</li><li>การตัดสินพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (Expert Judgement)</li><li>การประเมินความจำเป็น (Needs Assessment) ใช้ในกรณีที่ยังไม่มีหลักสูตร จึงต้องประเมินความจำเป็น อาจดูจากสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม จากนั้นจึงดำเนินการพัฒนาหลักสูตรตามความจำเป็นหรือความต้องการหรือเพื่อแก้ไขปัญหา</li><li>การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ใช้ในกรณีที่มีหลักสูตรแล้ว</li><li>การทดลองนำร่อง (Pilot Study)</li></ol><b>วัตถุประสงค์ในการประเมินหลักสูตร</b><br />การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้กระทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามสำคัญ ๆ ได้แก่<br /><ol style="text-align: left;"><li>หลักสูตรมีส่วนประกอบครบถ้วน ชัดเจน หรือไม่ อาจประเมินโดยการใช้แบบตรวจสอบรายการ และส่วนประกอบมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ก็อาจใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยซองส์ในการประเมิน</li><li>หลักสูตรมีความสอดคล้องหรือมีความสัมพันธ์กันในแต่ละส่วนหรือแต่ละองค์ประกอบของหลักสูตรที่พัฒนาหรือจัดทำขึ้นหรือไม่ เพียงใด อาจประเมินโดยใช้การตัดสินพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ</li><li>หลักสูตรสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือองค์กรโดยแท้จริงหรือไม่ เพียงใด อาจใช้การประเมินความจำเป็น</li><li>หลักสูตรมีความเป็นไปได้ คุ้มทุน ทันเวลาในการนำไปดำเนินการหรือนำไปใช้หรือไม่ เพียงใด อาจประเมินโดยใช้การศึกษาความเป็นไปได้</li><li>หลักสูตรมีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องมากน้อย เพียงใด เมื่อมีการนำไปทดลองใช้</li></ol>สำหรับเทคนิคและวิธีการในการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ สามารถศึกษารายละเอียดได้จากบทความที่เกี่ยวข้องได้แก่<br /><ul style="text-align: left;"><li>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการใช้แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)</li><li>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบปุยซองส์ (Puissance Analysis Technique)</li><li>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการตัดสินพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ (Expert Judgement)</li><li>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการประเมินความจำเป็น (Needs Assessment)</li><li>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)</li><li>การประเมินหลักสูตรก่อนนำไปใช้ โดยการทดลองนำร่อง (Pilot Study)</li></ul>จากวัตถุประสงค์ของการประเมินที่แตกต่างกัน ก็ทำให้เลือกเทคนิคและวิธีการที่ใช้ประเมินแตกต่างกันตามไปด้วย ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ดังนั้น ผู้พัฒนาหลักสูตรจึงควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการประเมิน ก่อนตัดสินใจเลือกเทคนิคและวิธิการในการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในการนำหลักสูตรไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป<div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjECd7tiO6rr0MGX0U9S1mfycnezJKPauyceUkG7ybv2ZqQLcw3LkCMDZL4TUlJqMwfkOZukRoMvGcWYfrVFwahM7fqvy9kzxKTe7jmXlU4DRQPPPkC-7On3vro3W6_gHzVpBRFgrEQK8gc5IqCSup0ldJKYvKY6NHhh46XY8B0XAl3kdbeILUIhrxMkKA/s700/T1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="186" data-original-width="700" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjECd7tiO6rr0MGX0U9S1mfycnezJKPauyceUkG7ybv2ZqQLcw3LkCMDZL4TUlJqMwfkOZukRoMvGcWYfrVFwahM7fqvy9kzxKTe7jmXlU4DRQPPPkC-7On3vro3W6_gHzVpBRFgrEQK8gc5IqCSup0ldJKYvKY6NHhh46XY8B0XAl3kdbeILUIhrxMkKA/s16000/T1.jpg" /></a><br />ภาพโดย macrovector จาก freepix</div><br />
<p></p><hr /><b><span style="color: #666666;">เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">อรวรรณ ฟังเพราะ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /><b>อ้างอิง :</b><br />ศักดิ์ศรี ปาณะกุล. (2545). การประเมินหลักสูตร (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.</span></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-18460027683274828462022-11-23T11:01:00.009+07:002023-12-19T14:57:27.211+07:00พรรณไม้ในสถาบัน สกร.ภาคเหนือ : พิกุล<b> พิกุล </b>เป็นพรรณไม้ที่ให้ดอกที่มีกลิ่นหอม มีทรงพุ่มสง่างาม ใบหนาทึบให้ร่มเงาอย่างดี คนสมัยก่อนจึงนิยมปลูกไว้ไม้ในบริเวณบ้าน โดยเชื่อว่าจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว เป็นสิริมงคล รักษา เนื่องจากมีตำนานกล่าวไว้ว่า พิกุลมีอยู่บนสวนสวรรค์ชั้นมิสกวันของพระอินทร์ มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ในตัว และเชื่อว่าต้นพิกุลมีเทวดาทวยเทพสถิต นอกจากนี้ พิกุล ยังเป็นต้นไม้ที่คุ้นเคยกับคนไทยมาเนิ่นนาน โดยจะเห็นได้จากวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่องที่มักกล่าวถึงดอกพิกุล ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือวรรณคดีไทยเรื่อง พิกุลทอง นอกจากนี้จิตรกรรมไทยก็มีการนำดอกพิกุลมาเป็นต้นแบบของลวดลายไทยด้วยเช่นกัน<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjY-JfUBWvCITfOICcv0Dfgr2O_AwgjmiqrvwBx9TGjMrKMAAdwsTDpg-uAmKAj2ivnhhj_8P_6VjnY78oputJvN10Je4kVZLYuK_9Bz1OZWi_Ysrs3OTqgj-YQel08yqOz71a0chqf8ZyJnsQfmvxK_cHoOwNDdhnUbwZMLEaasofV15sLa_6bbYIYxY0/s600/EV256508-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="400" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjY-JfUBWvCITfOICcv0Dfgr2O_AwgjmiqrvwBx9TGjMrKMAAdwsTDpg-uAmKAj2ivnhhj_8P_6VjnY78oputJvN10Je4kVZLYuK_9Bz1OZWi_Ysrs3OTqgj-YQel08yqOz71a0chqf8ZyJnsQfmvxK_cHoOwNDdhnUbwZMLEaasofV15sLa_6bbYIYxY0/s16000/EV256508-1.jpg" /></a></div><div><br /></div><b>ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์</b><div><b>1. ชื่อวิทยาศาสตร์</b> : <i>Mimusops elengi</i> L. </div><div><b>2. ชื่อไทย</b> : พิกุล</div><div><b>3. ชื่อท้องถิ่น </b>: กุน (ภาคใต้) แก้ว (ภาคเหนือ) ซางดง (ลำปาง) พิกุลเถื่อน (นครศรีธรรมราช) พิกุลป่า (สตูล) พิกุลเขา</div><div><b>4. ชื่อสามัญ</b> : Bullet wood, Headland flower, spanish cherry</div><div><b>5. วงศ์</b> : Sapotaceae </div><div><b>6. สกุล</b> : Mimusops</div><div><b>7. ลักษณะวิสัย</b> : ไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ</div><div><b><br />8. ลักษณะทางพฤกษศาตร์</b></div><ul style="text-align: left;"><li><b>ลำต้น</b> เป็นไม้ยืนต้น ไม่พลัดใบ ขนาดกลาง ทรงพุ่มกลม สูงประมาณ 8-15 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว เรือนยอดแน่นทึบสีเขียวเข้ม แผ่กว้างเป็นพุ่มตรงหรือรูปเจดีย์ เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกเป็นร่องตื้นตามยาว กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม</li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhziIo9JKrG5Vj3sUmh6XnBEdtu2pElgTRXaG7b7jyRpWXj7b9RAcrbXiTVuckzeVUnCA0HtTau0F-b0ghlNi1WR3KZnUxsPAs4Mh1TCs_Q1kUlsJ0cG01hJn9R_kF75439SwQoJUKmVx-QcYplLp0zz05FGzqz7hNuGSDL3F0ZBdiBdv_tTZuygbBvcxg/s600/EV256508-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="400" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhziIo9JKrG5Vj3sUmh6XnBEdtu2pElgTRXaG7b7jyRpWXj7b9RAcrbXiTVuckzeVUnCA0HtTau0F-b0ghlNi1WR3KZnUxsPAs4Mh1TCs_Q1kUlsJ0cG01hJn9R_kF75439SwQoJUKmVx-QcYplLp0zz05FGzqz7hNuGSDL3F0ZBdiBdv_tTZuygbBvcxg/s16000/EV256508-2.jpg" /></a></div><ul style="text-align: left;"><li><b>ใบ</b> ไม่ผลัดใบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ รูปรี หรือรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 5-10 เซนติเมต โคนใบมน ปลายใบแหลม ใบคล้ายแผ่นหนัง ขอบใบเรียบ หลังใบสีเขียวเข้ม ผิวเรียบเป็นมัน ใต้ท้องใบสีเขียวอ่อน มีจนสีน้ำตาลแดงที่เส้นกลางใบ<br /><br /></li><li><b>ดอก</b> พิกุลมักดอกออกตามซอกใบหรือซอกกิ่ง เป็นดอกเดี่ยว ๆ หรือบางทีก็ออกดอกเป็นกระจุกเล็ก ๆ คล้ายช่อ กระจุกละ 2-6 ดอก ดอกบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0-1.5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมีสีน้ำตาลเหลือง 8 กลีบ แยกจากกัน เรียงเป็น 2 วง วงละ 4 กลีบ รูปไข่ ผิวด้านนอกมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม กลีบดอกมีสีครีม โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายแยกเป็นแฉกรูปใบหอก 24 กลีบ เรียงเป็น 3 วง วงละ 8 กลีบ กลีบดอกจะสั้นกว่ากลีบเลี้ยงเล็กน้อย ดอกหลุดร่วงได้ง่าย แต่ยังคงกลิ่นหอมอยู่ได้นานแม้จะแห้งแล้วก็ตาม<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk_Dq5kTQ0622fFyb7Hd_4YfNjIBY_Z1XBDdnZTRqND40Tu8bJdWxIqO83Pnj9tFIsRkFWOsUfEbzAnXNKR6iDVKffRZ7I59trIRCsUAyEcFCrhFzCPnBtxZfcGfG6NlJWgSdsv3CkeWQtK0lUXNWsqmBWXpnjM40cKgStzDMed4J0LgW_06bE1uM2CoI/s600/EV256508-03.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" data-original-height="341" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhk_Dq5kTQ0622fFyb7Hd_4YfNjIBY_Z1XBDdnZTRqND40Tu8bJdWxIqO83Pnj9tFIsRkFWOsUfEbzAnXNKR6iDVKffRZ7I59trIRCsUAyEcFCrhFzCPnBtxZfcGfG6NlJWgSdsv3CkeWQtK0lUXNWsqmBWXpnjM40cKgStzDMed4J0LgW_06bE1uM2CoI/s16000/EV256508-03.png" /></a></li></ul><ul style="text-align: left;"><li><b>ผล</b> ผลสดรูปไข่หรือรูปรี กว้าง 1.0-1.8 ซม. ยาว 1.5-3.0 ซม. ผลอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลปกคลุมและขนนี้จะหลุดร่วงไป ผลสุกสีแดง เนื้อในสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ ในผลมีเมล็ดเปลือกแข็งลักษณะแบนรี สีน้ำตาลเข้มหรือดำเป็นมัน<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUevY8mFz30b74ubcswxwgByFHr3trOxPshyphenhyphenqhS0GX2LvtERtn0cQGZS0gYA1cfa1LPmH-3P6ZcruttH9K416v2uXXjBqtC9crxmQyIBNDER0Z2I0klpIib9B21GTx9thuu20iE4cX1JKqLLDk3Tq6cPZ5XKrV2T8VAfHnEkyUMfMvfq2Yt6Y2FVMtTXk/s600/EV256508-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="429" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUevY8mFz30b74ubcswxwgByFHr3trOxPshyphenhyphenqhS0GX2LvtERtn0cQGZS0gYA1cfa1LPmH-3P6ZcruttH9K416v2uXXjBqtC9crxmQyIBNDER0Z2I0klpIib9B21GTx9thuu20iE4cX1JKqLLDk3Tq6cPZ5XKrV2T8VAfHnEkyUMfMvfq2Yt6Y2FVMtTXk/s16000/EV256508-04.jpg" /></a></div></li></ul><b>9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา</b><br /> พบได้ในเอเซียแถบประเทศอินเดีย เมียนมาร์ มาเลเซีย ไทย พิกุลเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดจัด<br /><br /><b>10. การปลูกและการขยายพันธุ์</b><br /> ขยายพันธุ์โดยการตอน ปักชำ และเพาะเมล็ด แต่ที่นิยมคือ การเพาะเมล็ด<div><br /></div><b>11. การใช้ประโยชน์</b><br /> ส่วนต่าง ๆ ของต้นพิกุลที่นำไปใช้ทำยา ได้แก่ ส่วนที่เป็นดอก ผลดิบและเปลือก เปลือกต้น ใบ เมล็ด ราก แก่น ขอนดอก กระพี้ ส่วนลำต้นใช้ในการก่อสร้าง เช่น ขุดเรือ ทำสะพาน ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี ฯลฯ นอกจากนี้ยังปลูกเพื่อประดับสถานที่ และให้ร่มเงา<div> <br />ภายในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ มีต้นพิกุลขนาดใหญ่อยู่หลายต้น บริเวณอาคารอำนวยการ พร้อมจะส่งกลิ่นหอมเย็น ให้ผู้ผ่านไปมารู้สึกสดชื่นได้ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน <div><br /></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>
เรียบเรียง :</b></span></div><div><span style="color: #666666;">แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>อ้างอิง:</b></span></div><span style="color: #666666;"><i>เปิดความหมายการโปรยดอกพิกุลเงิน พิกุลทอง ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก</i>. (2562, 4 พฤษภาคม). ทีนิวส์. https://www.tnews.co.th/social/504887</span><div><span style="color: #666666;"><br />นพพล เกตุประสาท และ ไพร มัทธวรัตน์. (ม.ป.ป.). <i>พิกุล</i>. ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. <br />http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/old-fragrant/mimusops.html</span></div><div><span style="color: #666666;"><br />สมิทธิชัย สุกปลั่ง. (2565, 26 พฤษภาคม). <i>พิกุล…ไม้ในวรรณคดี หอมแบบไทยๆ ให้ร่มเงาอย่างดี</i>. เทคโนโลยีชาวบ้าน. https://www.technologychaoban.com/flower-and-decorating-plants/article_36695</span><div><br /></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-59168197063669643822022-11-01T09:22:00.021+07:002024-02-02T16:32:38.773+07:00เรื่องเล่าจากจิตรกรรมเวียงต้า<div>เวียงต้า เป็นชุมชนที่ห่างออกไปจากเมืองแพร่ ทางด้านตะวันตกประมาณ 40 กิโลเมตร ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้และขุนเขา การคมนาคมค่อนข้างลำบาก แต่มีมรดกอันล้ำค่าของเมืองแพร่ซ่อนอยู่ คือ “<b>วัดเวียงต้าม่อน</b>” ภายในฝาผนังด้านในของวิหารเต็มไปด้วยจิตรกรรมแบบล้านนาที่หาค่ามิได้ ภาพเขียนเหล่านี้เขียนด้วยสีฝุ่นบนไม้กระดานหลาย ๆ แผ่นต่อกันในกรอบขนาดใหญ่จัดวางเป็นผืนเป็นตอน เทคนิคการเขียนและการจัดองค์ประกอบมีลักษณะแบบพื้นบ้าน ดูสนุกสนานตามรูปแบบงานจิตรกรรมสกุลช่างในเมืองน่าน โดยใช้สีฝุ่นวาดลงบนฝาไม้ผนังวิหารทั้ง 4 ด้าน ผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้ มีความยาวประมาณ 6.97 เมตร ผนังด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมีความยาว 9.24 เมตร </div><div><br /></div><div>สีที่ใช้มีกลุ่มสีดิน (น้ำตาลและน้ำตาลแดง) กลุ่มสีขาว (ใช้สำหรับรองพื้นและผสมสีอื่น) กลุ่มสีแดง (แดงชาด แดงจากดินแดงผสม) กลุ่มสีน้ำเงิน (น้ำเงินคราม) กลุ่มสีเขียว (เขียวจากต้นไม้ เขียวจากหินหรือแร่) กลุ่มสีดำ (ดำจากหมึกหรือเขม่าดำผสมสีอื่น) และกลุ่มสีทองคำเปลว เนื้อหาของภาพจัดเป็นสามกลุ่มด้วยกันคือ dภาพกลุ่มแรกเป็นชาดกเรื่อง <b>เจ้าก่ำกาดำ</b> ภาพกลุ่มที่สองเป็นชาดกเรื่อง <b>แสงเมืองหลงถ้ำ</b> ซึ่งภาพทั้งสองเรื่องนี้ใช้กลุ่มสีทองคำเปลววาดเป็นภาพชาดกพื้นเมืองที่แพร่หลายนิยมกันมากในเขตล้านนาช่วงศตวรรษที่ผ่านมา พระสงฆ์สามเณรใช้เทศนาเป็นพระธรรมคำสอนและชาวบ้านนำมาแต่งเป็นค่าว จ๊อย ขับขานกันในช่วงนั้น ส่วนภาพกลุ่มที่สามเป็นภาพคนขนาดใหญ่เกือบเท่าของจริง </div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGe-OtKE1IJbNzHm_xfl6UZCFdw7Q_kKqapPnjhS_f3Cf7gsVhTaHuuzAWWbRzReH1hiqkUaqJOnfMReJoH-LsxuduZFyqX90DXUYaoYGXbgIKsH-VnzB0xB69uxYd4bZ2kgUTi8nUJfplvTp6ISiIIXSiBlswnT1KiYsJ23SXKarc6useCOjJMuT0/s650/AC256512-00S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="325" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGe-OtKE1IJbNzHm_xfl6UZCFdw7Q_kKqapPnjhS_f3Cf7gsVhTaHuuzAWWbRzReH1hiqkUaqJOnfMReJoH-LsxuduZFyqX90DXUYaoYGXbgIKsH-VnzB0xB69uxYd4bZ2kgUTi8nUJfplvTp6ISiIIXSiBlswnT1KiYsJ23SXKarc6useCOjJMuT0/s16000/AC256512-00S.jpg" /></a></div><span style="color: #666666;">ภาพจิตรกรรมวัดเวียงตาม่อน. จาก <i>จิตรกรรมเวียงต้า</i> (น. 35.), โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: left;">กล่าวได้ว่า จิตรกรรมเวียงต้ามีคุณค่าสูงในด้านที่สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์และวิถีชีวิตของชาวล้านนาในยุคนั้น นับตั้งแต่คติ ความเชื่อ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของคนระดับต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นลักษณะรวมรูปแบบของจิตรกรรมล้านนาทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเวียงต้าบนแผ่นไม้ชุดนี้ ปัจจุบันถูกย้ายจากวัดเวียงต้าม่อน ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ "หอคำน้อย" ของไร่แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2531โดยติดตั้งผนังไม้ที่มีจิตรกรรมฝาผนังเวียงต้า ทั้ง 4 ด้าน ไว้ภายในอาคารเพื่อป้องกันจากแสงแดด ฝนสาดกระทบ ความชื้น หรือปัจจัยเสี่ยงที่จะให้งานจิตรกรรมจะได้รับความเสียหาย</div><div style="text-align: left;"><br /></div><div><div><b>ภาพจิตรกรรมเวียงต้า<br /><br /></b></div><div><b>1. ชาดกเรื่อง ก่ำกาดำ </b> </div><div>ณ เมืองพรหมทัต มีกษัตริย์ปกครองเมืองชื่อ ท้าวจิตตราช มีพระมเหสี 2 องค์ คือ นางจันทเทวี และนางสิงคี แต่ไม่มีโอรส จึงได้ทำพิธีบำเพ็ญศีลภาวนาเพื่อขอโอรสจากพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์ได้ไปอัญเชิญพระโพธิสัตว์ให้ไปเกิดในครรภ์ของนางจันทเทวี ทำให้นางสิงคีเกิดความริษยาร่วมกับกาละกะเสนาใส่ร้ายนางจันทเทวี ยุยงให้ท้าวจิตตราชขับออกจากวัง นางจันทเทวีได้ไปอาศัยอยู่กับตายายที่ท้ายป่าและคลอดลูกออกมามีผิวกายดำก่ำเหมือนหมี มีชื่อว่า ก่ำกาดำ ต่อมาท้าวจิตตราชและนางสิงคีทรงทราบ จึงได้ขับนางจันทเทวีและโอรสออกจากเมือง โดยจับมัดติดแพลอยน้ำไป แต่ได้เจอกับน้ำวนแพแตก ทำให้แม่ลูกพลัดพรากจากกัน นางจันทเทวีถูกน้ำพัดไปติดที่เมืองมิถิลา ส่วนก่ำกาดำไปติดที่สวนดอกไม้ของเมืองพาราณสี <br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0xSko0knIhhZjttOveuxFcu7mPeUqn3GNp9zVqK04fvEcmeOOD7u6RBp4yi8MOvofZT2sp8u3Bkg9oUPYDXPWQbCiQqI0X5pQANDLlzRkXT1YK7p8v7J3GqztYWY3qcF8n0LtXtiR0Hy79T626Ix2CirYsxC2vsDiAZZclbce5cUpAhP28eh-Shw6/s650/AC256512-01S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi0xSko0knIhhZjttOveuxFcu7mPeUqn3GNp9zVqK04fvEcmeOOD7u6RBp4yi8MOvofZT2sp8u3Bkg9oUPYDXPWQbCiQqI0X5pQANDLlzRkXT1YK7p8v7J3GqztYWY3qcF8n0LtXtiR0Hy79T626Ix2CirYsxC2vsDiAZZclbce5cUpAhP28eh-Shw6/s16000/AC256512-01S.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">นางจันทเทวีอาศัยกับตายาย คลอดก่ำก๋าคำ และถูกลอยแพทำให้สองตายายอกแตกตาย</span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666; text-align: left;">จาก <i>จิตรกรรมเวียงต้า</i>, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="font-size: 14pt;"><br /></span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBtVu2tFUwb0IpvOXpiYL7JA7y1p10eblPNWALCLlolkR28or3fXX24HSPLiJI6OVPKSHLW3ooqiL4f7I4qFAviw3NNQwBKVy4Z8_xfAp5SkhRjm99aKMFdeeoKngh00AoesNSDWT3lc8o3B0NajGrXWb0vpiUVnfGlcfdb_SODA1aaTv8oSssZfmO/s650/AC256512-02S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBtVu2tFUwb0IpvOXpiYL7JA7y1p10eblPNWALCLlolkR28or3fXX24HSPLiJI6OVPKSHLW3ooqiL4f7I4qFAviw3NNQwBKVy4Z8_xfAp5SkhRjm99aKMFdeeoKngh00AoesNSDWT3lc8o3B0NajGrXWb0vpiUVnfGlcfdb_SODA1aaTv8oSssZfmO/s16000/AC256512-02S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">นางจันทเทวีหลังจากแพแตกมาขึ้นฝั่งเมืองมิถิลา</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666; text-align: left;">จาก <i>จิตรกรรมเวียงต้า</i>, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;">เมืองพาราณสี มีท้าวพาราณสีปกครองเมือง และมีลูกสาว 7 คน คือ พิมมรา นาริกา อุมรา สุนันทา สุวิมาลา สุจิมาและเทพกัญญา ธิดาทั้ง 7 คน ชอบเดินเล่นในสวนอุทยานดอกไม้ ส่วนก่ำกาดำ เดินเข้ามาในสวนเพื่อเก็บผลไม้กินเป็นอาหาร และได้ไปพบกับนางปักขิกาคนดูแลสวนได้ทำบ่วงจับ ก่ำกาดำ เพื่อใช้ให้เป็นคนงาน แต่เกิดความร้อนรนอยู่ไม่ได้ต้องรับมาเลี้ยงไว้เป็นลูก ในเวลานั้น</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">พระอินทร์ได้นำเทพธิดามาเกิดในฝักงิ้วที่สวนอุทยาน คนงานเห็นงิ้วงามแต่เก็บไม่ได้ ท้าวพาราณสีจึงได้อันเชิญต้นงิ้วไปปลูกในราชวัง ได้พบเด็กหญิงที่งดงามออกมาจากฝักงิ้ว ท้าวพาราณสีได้รับเลี้ยงไว้เป็นลูกสาวคนที่แปดชื่อว่า พิมพา ให้ไปอาศัยอยู่กับนางเทพกัญญา</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYzoaHizUT_7w9XzHA8I0K8jDJHVmzRgtTza00Wos-E4V2SM63okcISRlrunR0Nllu9IDsASJtMiyqQgmwUg9oVfqOg6l5M6QFGVL615W3jC2e2LdHC6qW3m3DrNkLMZ_SwnXk2tqR9cbY3plJI3sn3sQqOHdEHhboR40qP2ffTqpaz3DBnhJeRxzK/s650/AC256512-03S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="325" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYzoaHizUT_7w9XzHA8I0K8jDJHVmzRgtTza00Wos-E4V2SM63okcISRlrunR0Nllu9IDsASJtMiyqQgmwUg9oVfqOg6l5M6QFGVL615W3jC2e2LdHC6qW3m3DrNkLMZ_SwnXk2tqR9cbY3plJI3sn3sQqOHdEHhboR40qP2ffTqpaz3DBnhJeRxzK/s16000/AC256512-03S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">เจ้าเมืองพาราณสีเก็บงิ้วทองคำ</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">จาก <i>จิตรกรรมเวียงต้า</i>, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both;">อยู่มาวันหนึ่ง ก่ำกาดำ ในวัยหนุ่มได้ถอดเสื้อผิวดำออก จึงมีร่างกายสดใสดังทอง ได้พบกับนางเทพกัญญาและนางพิมพา นางคิดว่าเป็นเทวดาจึงวิ่งไล่ตาม ก่ำกาดำได้วิ่งหนีกลับไปใส่เสื้อผิวดำ ต่อมาก่ำกาดำได้เข้าไปในห้องนางเทพกัญญาและนางพิมพา นางทั้งสองได้ตั้งคำถามธรรม 7 ข้อ ก่ำกาดำตอบคำถามได้อย่างแจ่มแจ้ง ทำให้นางทั้งสองพอใจขอเป็นภรรยา แต่ก่ำกาดำปฏิเสธและกลับไป รุ่งเช้านางปักขิณา จะนำดอกไม้ไปถวายให้แก่ธิดาทั้งสอง ก่ำกาดำจึงได้เรียงดอกไม้เป็นรูปตนเองกอดกับนางทั้งสอง ทำให้ธิดาทั้งสองมอบแก้วแหวนเงินทองให้ </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">ท้าวพาราณสี ได้จัดชุมนุมตอบปัญหาธรรมของนางเทพกัญญาและนางพิมพา ใครตอบได้จะยกลูกสาวให้ ไม่มีใครตอบปัญหาได้นอกจากก่ำกาดำ ท้าวพาราณสีจึงยกนางเทพกัญญาและนางพิมพาให้ก่ำกาดำ ทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจ ก่ำกาดำจึงได้เดินทางเข้าป่าขอให้เทวดามาช่วย เหล่าเทวดาต่างมาช่วยสร้างบ้านเมือง และเหาะไปยังเมืองมิถิลาไปอุ้มนางจันทเทวีผู้เป็นแม่ให้มาพบกับก่ำกาดำ จากเสียงอื้ออึงของหมู่เทวดานางฟ้า ทำให้ท้าวพาราณสีรู้ว่าก่ำกาคำเป็นผู้มีบุญจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้ก่ำกาดำกับธิดาทั้งสอง และสถาปนาให้ก่ำกาดำปกครองเมือง ในยามนั้นพระอินทร์ได้เชิญก่ำกาดำไปแก้ปริศนาธรรม ก่ำกาดำได้ถอดผิวดำออกและเหาะไปกับพระอินทร์ นางเทพกัญญาและนางพิมพาจึงได้นำผิวดำไปเผาไฟไหม้หมด ก่ำกาดำได้อยู่ครองเมืองและรับนางปักขิณามาเลี้ยงดูในวัง</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_W_Gh_ju2uDdJwNAjcdR-DYlS6TuGYOSWl8iiNt0oHzt4VhtgoqliBUIRkQ3DsudeebZyHF2NXTXMRMfvOYv49igqDNCCodfzhvBpJSWyjN2AFnFmP-eVjR-1voAEt8m1Kw4_xfry6t4QNNnD4sEcAg2s71RUvv1tEn53w7Ydyn0Hceoyq-MZqYOl/s650/AC256512-04S..jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_W_Gh_ju2uDdJwNAjcdR-DYlS6TuGYOSWl8iiNt0oHzt4VhtgoqliBUIRkQ3DsudeebZyHF2NXTXMRMfvOYv49igqDNCCodfzhvBpJSWyjN2AFnFmP-eVjR-1voAEt8m1Kw4_xfry6t4QNNnD4sEcAg2s71RUvv1tEn53w7Ydyn0Hceoyq-MZqYOl/s16000/AC256512-04S..jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">เจ้าก่ำก๋าดำถอดชุดผิวดำแล้วเหาะขึ้นตอบปัญหาธรรมกับพระอินทร์</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">จาก จิตรกรรมเวียงต้า,โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div><br /></div><div><div>ต่อมา ก่ำกาดำและนางจันทเทวี ได้ยกทัพไปยังเมืองพรหมทัตเพื่อพบบิดา นางสิงคีและกากะลังเสนา ได้ยุยงท้าวพรหมทัตว่าก่ำกาดำจะยกทัพมาตีเมือง จึงมอบให้กากะลังเสนายกทัพออกไปตีที่นอกเมือง เมื่อกากะลังเสนายกทัพไปถึงหน้ากาดำก็ถูกธรณีสูบตกนรก นางสิงคีรู้เข้าเสียใจ พอวิ่งลงพื้นดินก็ถูกธรณีสูบตกนรกอเวจี ท้าวพรหมทัตจึงได้เชิญก่ำกาดำและนางจันทเทวี เข้าเมืองและยกราชสมบัติให้ก่ำกาดำครองสืบไป</div></div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdarjoau6DMPCXoQgrv9x4KdThrjVQ1ATyPirpMgJALTiJTgYxIm6pY8z8LoF1yUhqu-YfGG4ttQ5Vk79xwIMuEAawT53sqlQndB6wDPaMUu1ypCyRySHBjgFlTeicTTeRBHyktvjtnED2Nvbj1aOIvVktjXBDbHp74trPtT1-wpSMVcRxsKLVqVFz/s650/AC256512-05S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdarjoau6DMPCXoQgrv9x4KdThrjVQ1ATyPirpMgJALTiJTgYxIm6pY8z8LoF1yUhqu-YfGG4ttQ5Vk79xwIMuEAawT53sqlQndB6wDPaMUu1ypCyRySHBjgFlTeicTTeRBHyktvjtnED2Nvbj1aOIvVktjXBDbHp74trPtT1-wpSMVcRxsKLVqVFz/s16000/AC256512-05S.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">นางสิงคีถูกธรณีสูบ</span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">จาก จิตรกรรมเวียงต้า,โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguUxNrq706gCMMpk7QIRdBLjdCnHUQXEVm1eMDxsr-NuBcN8nLasW1Q9pXpZxiVXmUQJRNP-Byk2FefNjHDTU6zqHNq1u6dbboaq8tccjPEgs2n-alGehTktG-o4uDI1ZPrvK3QK2R0Tw1UCEqkS3LO1xu8Y2zUAJYsNHyYurte9QTubkfmlgtv7QN/s650/AC256512-06S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguUxNrq706gCMMpk7QIRdBLjdCnHUQXEVm1eMDxsr-NuBcN8nLasW1Q9pXpZxiVXmUQJRNP-Byk2FefNjHDTU6zqHNq1u6dbboaq8tccjPEgs2n-alGehTktG-o4uDI1ZPrvK3QK2R0Tw1UCEqkS3LO1xu8Y2zUAJYsNHyYurte9QTubkfmlgtv7QN/s16000/AC256512-06S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">เจ้าราชบัณฑิต (ก่ำกาดำ) และมารดาเข้าเฝ้าราชบิดาในราชวัง</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">จาก จิตรกรรมเวียงต้า,โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;"><b>2. ชาดกเรื่อง แสงเมืองหลงถ้ำ </b></div><div class="separator" style="clear: both;">แสงเมืองหลงถ้ำ เป็นวรรณกรรมชาดกที่ได้รับความนิยมสูงสุดเรื่องหนึ่งในล้านนา โดยเรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่ง ท้าวมันธราชและนางสุมิราครองราชย์ที่เมืองเชียงทอง แต่ไม่มีโอรส ท้าวมันธราชจึงให้นางสุมิรารับประทานอาหารวันละมื้อและรักษาศีลเป็นเวลา 7 วัน เพื่อขอลูก ร้อนถึงพระอินทร์ต้องไปอัญเชิญพระโพธิสัตว์ให้ไปเกิดในครรภ์ของสุมิรา และให้เทวดามาเกิดในเมืองนั้น อีก 1,000 องค์ ในขณะประสูติได้เกิดเหตุอัศจรรย์ 3 ประการคือ ต้นไม้เหลืองไปหมด แม่น้ำมีสีแดงไปหมด และหินทรายทั้งหมดกลายเป็นสีเขียวถึง 5 วัน จึงได้ตั้งชื่อบุตรที่เกิดว่าเจ้าทรายเขียว และมีอีกนามหนึ่งคือ เจ้าแสงเมือง เนื่องจากพระอินทร์ได้นำเอาแสง (แก้วมณี) มาให้ </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;">เมื่อเจ้าแสงเมืองอายุ 16 ปี มีนายพรานป่านำหงส์คู่หนึ่งจากป่าหิมพานต์มาถวายเป็นหงส์ที่ฉลาด พูดภาษามนุษย์ได้ ต่อมาพระบิดาได้ให้เจ้าแสงเมืองเลือกสตรีในเมืองเชียงทองมาเป็นชายา แต่ก่อนถึงพิธีเจ้าแสงเมืองได้ฝันว่าหงส์คู่นำหญิงสาวรูปงามมาถวาย เจ้าแสงเมืองจึงไม่เลือกใคร และให้คนมาวาดภาพนางในฝันและให้หงส์นำภาพไปค้นหาในเมืองพันธุมตินคร (โยนกนาคพันธุ์นคร) ติสสรัฐ (อุตรดิตถ์) หริภุญไชย (ลำพูน) นันทบุรี (น่าน) โกสัย (แพร่) ฯลฯ จนกระทั่งพบนางเกี๋ยงคำแห่งเขมรัฐราชธานี</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjTAZssRoyo5lML_cwLTlCmKxprv5qeVyUpO2v96WP-fSpDaIsJosBnraaUNEAidWrWMlTISDD19-6En458WJXV2O59MXjrViZ0ghYVaV_cuDR-T77UHSbGedabdOfp-HBZLuceH5UEbQC7eB23oIWDfc6CmUlOlEtkHdG_sAKow9Ke0uAuBbYc6SZ/s650/AC256512-10S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjjTAZssRoyo5lML_cwLTlCmKxprv5qeVyUpO2v96WP-fSpDaIsJosBnraaUNEAidWrWMlTISDD19-6En458WJXV2O59MXjrViZ0ghYVaV_cuDR-T77UHSbGedabdOfp-HBZLuceH5UEbQC7eB23oIWDfc6CmUlOlEtkHdG_sAKow9Ke0uAuBbYc6SZ/s16000/AC256512-10S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="text-align: left;"><span style="color: #666666;">นางเกี๋ยงคำและนกแขกเต้าในอุทยาน</span></span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">จาก <i>จิตรกรรมเวียงต้า</i>, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;">นางเกี๋ยงคำ เป็นธิดาของท้าวสิริวังโสและนางทาริกาครองเมืองขอมหรือเขมรัฐราชธานี โดยมีตำนานเล่าว่า เมื่อแรกเกิดนั้นช่างดอกไม้ได้นำดอกไม้มาถวายและพบว่า ดอกเกี๋ยง (ลำเจียก) ดอกหนึ่งกลายเป็นทอง จึงตั้งชื่อว่านางเกี๋ยงคำ เมื่ออายุได้ 15 ปี นางเกี๋ยงคำทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก กลิ่นปากมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก ท้าวสิริวังโสได้สร้างปราสาทให้นางอยู่ต่างหาก เมื่อหงส์ได้ทราบข่าวของนางเกี๋ยงคำจากนกแขกเต้าที่เป็นนกเลี้ยง ก็ไปค้นหาจนได้พบนาง และเล่าเรื่องเจ้าแสงเมือง ให้ฟัง นางพึงพอใจมาก จึงมอบแหวนที่มีรูปนางปรากฏในหัวแหวนฝากไปถวายเจ้าแสงเมือง เจ้าแสงเมืองได้ส่งทูตไปเมืองขอมพร้อมราชบรรณาการเพื่อสู่ขอนางเกี๋ยงคำ ท้าวสิริวังโสก็ทรงยินดีรับราชบรรณาการและตอบแทนด้วยการส่งของกลับไป ทั้งสองเมืองต่างได้เตรียมงานอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่ </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">เมืองเชียงของมีพิธีสังเวยเทพารักษ์ประจำเมืองทุกวันแรม 1 ค่ำ ที่ดอยหลวง เจ้าแสงเมืองจะรีบไปอภิเษกสมรส จึงได้ทำพิธีสังเวยก่อนกำหนด เมื่อเสร็จพิธีได้เที่ยวในถ้ำพร้อมบริวารอีก 1,000 คน ขณะที่เที่ยวในถ้ำอยู่นั้น ไฟได้มอดดับหมดจึงมองไม่เห็นทางออกจากถ้ำไม่ได้ เมืองเชียงของเกิดความทุกข์หม่นหมองไปทั่ว เนื่องจากเจ้าแสงเมืองหายไป เมื่อนางเกี๋ยงคำทราบเรื่อง ก็เกิดความทุกข์ตรมไม่เป็นอันแต่งเนื้อแต่งตัว เมื่อได้สติจึงสร้างศาลาไว้ที่หน้าเมือง จัดคนไปฟังข่าวจากคนที่มาพักเพื่อจะได้ทราบข่างเจ้าแสงเมือง </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3BKX3Y9BjR1KG6PszEsDH86Q8zQwQmjufVxmoaapjVZ-npcFhTczXmo5SVW1Pmq_24Rfpgowzhemnd023v87j0p3gkLbOMYFNGCUbbmO8WBLgYa91agPcHOZq_UzhXg2_m1VGnMrp2u3_vfCUbnQHrEZS1yp81cwn9sODIvYrGG5kItX02vd2_tZb/s650/AC256512-08S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="300" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj3BKX3Y9BjR1KG6PszEsDH86Q8zQwQmjufVxmoaapjVZ-npcFhTczXmo5SVW1Pmq_24Rfpgowzhemnd023v87j0p3gkLbOMYFNGCUbbmO8WBLgYa91agPcHOZq_UzhXg2_m1VGnMrp2u3_vfCUbnQHrEZS1yp81cwn9sODIvYrGG5kItX02vd2_tZb/s16000/AC256512-08S.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">เจ้าแสงเมืองหลงทางในถ้ำ</span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">จาก จิตรกรรมเวียงต้า, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"> ในเมืองขอมมีเศรษฐีผู้หนึ่งได้นำข้าวของเงินทองมาสู่ขอนางเกี๋ยงคำจากเจ้าสิริวังโสให้ลูกชายตัวเอง แต่นางไม่ยินยอมทำให้ลูกเศรษฐีแค้นใจ จึงได้ไปยุยงให้ทูตจากเมืองจัมปาไปบอกพระยาจัมปาให้มาตีเมืองขอม เพื่อแย่งชิงนางเกี๋ยงคำ<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">ฝ่ายเจ้าแสงเมืองติดอยู่ในถ้ำนานถึง 11 เดือน เนื่องจากมีกรรมเวรอยู่ปางหลัง ทำให้บริวารที่ติดตามมาด้วยตายไป 993 คน เหลือเพียงเจ้าแสงเมืองและบริวารอีกเพียง 6 คน ที่มีชีวิตอยู่ แต่ผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก เจ้าแสงเมืองจึงอธิษฐานว่า หากตนได้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้พระอินทร์มาช่วยด้วยเถิด จากนั้นจึงพาบริวารเดินทางไปจนพบช่องแสงสว่างและพบพระอินทร์ที่แปลงกายมาเป็นนายพรานมาช่วย เจ้าแสงเมืองนึกรู้ว่าเป็นพระอินทร์จึงขอให้สวนมนต์ช่วยชุบชีวิตคน พระอินทร์ได้สอนมนต์ให้และมอบดาบสรีกัญไชย พร้อมทั้งสอนวิธีใช้แก้วมณีประจำตัวด้วย เจ้าแสงเมืองชุบชีวิตบริวารที่ตายไปฟื้นขึ้นมา และพากันเดินไปจนพบสุทธฤาษี ฤาษีได้สอนวิชาให้ เมื่อพักผ่อนร่างกายแข็งแรงแล้ว เจ้าแสงเมืองจึงเดินทางไปยังเมืองขอม ได้ไปพักกับนายบ้านปัจฉิมคามชื่อ โกสิยาและโกธิกา นายบ้านทั้งสองเห็นลักษณะของเจ้าแสงเมืองได้ไต่ถามความเป็นมาได้ทราบความจริง จึงได้ยกลูกสาวให้ คือ นางสุนินทายกให้เจ้าแสงเมือง และนางสุวิรายกให้เจ้าสุริราคนสนิทของเจ้าแสงเมือง</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;">เจ้าแสงเมืองพาบริวาร 6 คน เหาะไปเมืองเชียงทองและพักที่ศาลาที่นางเกี๋ยงคำสร้างไว้ คนเฝ้าจึงไปบอกนางเกี๋ยงคำว่า คนผู้นี้น่าจะเป็นเจ้าแสงเมือง คืนนั้นเจ้าแสงเมืองได้เหาะไปหานางเกี๋ยงคำ แต่นางไม่ให้เข้าปราสาท เพราะนางคิดว่าอาจเป็นเทวดา นาค ครุฑ เพราะเหาะได้ จึงได้แต่พูดคุยกัน รุ่งเช้าได้ให้นางรัมพรังสีไปสืบข่าว ซึ่งพบแต่เจ้าสุริราคนสนิทของเจ้าแสงเมือง ส่วนเจ้าแสงเมืองไปนอนอยู่ในม่าน ก่อนกลับนางรัมพรังสีจึงเข้าไปในม่าน เจ้าแสงเมืองตัดพ้อว่านางเกี๋ยงคำไปให้เข้าไปในปราสาท คืนนั้นเจ้าแสงเมืองได้เหาะไปหานางเกี๋ยงคำ ทั้งสองได้ทำความเข้าใจกัน รุ่งเช้านางเกี๋ยงคำได้ไปทูลท้าวสิริวังโสเรื่องเจ้าแสงเมือง ท้าวสิริวังโสจึงจัดขบวนไปรับและจัดงานอภิเษกให้เจ้าแสงเมืองกับนางเกี๋ยงคำ นางรัมพรังสีกับเจ้าสุริรา นายบ้านทั้งสองนำธิดาของตนมาสมทบด้วย ต่อมาท้าวสิริวังโสได้มอบราชสมบัติให้เจ้าแสงเมืองครอบครอง</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiShnQ_HIaejcSiJF9c0gC-b7MtJTmA4oOPm6OIHtTqXTDmJ3FIFUjJxMxVTtF1cLNARcN_SqjdvPfvcTNjNA12fc-zpQTI8BHOI6l30tBvJisqaFzfPvqjQuAcQcmhpSoj97hKnGbCwJ3joClv6jOw5czSIJ5Yl7ZdNtexx-Unc0Cb4Soqb0oJfSyu/s650/AC256512-11S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="556" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiShnQ_HIaejcSiJF9c0gC-b7MtJTmA4oOPm6OIHtTqXTDmJ3FIFUjJxMxVTtF1cLNARcN_SqjdvPfvcTNjNA12fc-zpQTI8BHOI6l30tBvJisqaFzfPvqjQuAcQcmhpSoj97hKnGbCwJ3joClv6jOw5czSIJ5Yl7ZdNtexx-Unc0Cb4Soqb0oJfSyu/s16000/AC256512-11S.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">เจ้าแสงเมืองและชายาทั้งหมดในราชสำนักเมืองเชียงของ</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both;"><span style="color: #666666;">จาก จิตรกรรมเวียงต้า, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div><br /></div></div><div><div>เมื่ออยู่เมืองขอมหนึ่งปี เจ้าแสงเมืองได้กลับไปเมืองเชียงทอง เมื่อไปได้เพียง 3 วัน พระยาจัมปาได้ยกทัพมาตีเมืองขอม เจ้าแสงเมืองจึงได้เหาะกลับเมืองขอม เจ้าแสงเมืองรบชนะกองทัพฝ่ายจัมปานคร เมื่อเสร็จศึกแล้วเจ้าแสงเมืองได้กลับไปเมืองเชียงทอง มีการฉลองและอภิเษกให้เจ้าแสงเมืองขึ้นครองราชย์อีกด้วย เจ้าแสงเมืองได้นำบริวารไปยังถ้ำที่เคยหลงไปขนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในถ้ำใส่เกวียนลากมา ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 7 วัน จึงจะขนมาหมด</div></div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeq9vkegrvMamaAlgVhkgIj38m313wpm4psoU9bt7OzOtn4ebCBeH-jn4OKM1T9tbt0K3pT3an3AF_6U2RaCT8NwxpfSfeXSPTZhJmzGXQgBD__KvZsk4Sgrg5NQTPAbGcLxNg4Oq7-LG_qZ8Uy8a_GcC8vdy-7WHeNxZc8EtVhpesPtLnBKaxo4KH/s650/AC256512-12S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="334" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeq9vkegrvMamaAlgVhkgIj38m313wpm4psoU9bt7OzOtn4ebCBeH-jn4OKM1T9tbt0K3pT3an3AF_6U2RaCT8NwxpfSfeXSPTZhJmzGXQgBD__KvZsk4Sgrg5NQTPAbGcLxNg4Oq7-LG_qZ8Uy8a_GcC8vdy-7WHeNxZc8EtVhpesPtLnBKaxo4KH/s16000/AC256512-12S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both;"><span style="color: #666666;">พระยาจัมปายกพลมารบชิงนางเกี๋ยงคำ</span></div><div><span style="color: #666666;">จาก จิตรกรรมเวียงต้า, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div></div><br /><div>ส่วนหงส์ทองของเจ้าแสงเมือง ได้ไปค้นหาเจ้าแสงเมืองตามที่ต่าง ๆ แต่ไม่เจอ จึงตรอมใจกลับไปอยู่สระเดิมของตนในป่าหิมพานต์ ถูกเหยี่ยวลวงไปให้เสือจับกิน นายพรานที่เคยนำหงส์ทองไปถวายเจ้าแสงเมืองมาพบเศษขนก็จำได้จึงนำกลับไปถวายเจ้าแสงเมือง จึงโปรดให้นำขนของหงส์มาทำพัด จากนั้นทุกฝ่ายก็ดำเนินชีวิตไปจนถึงแก่อายุขัยของตน </div></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>3. ภาพคนขนาดใหญ่ </b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">ภาพบุคคลขนาดใหญ่ที่วาดแทรกไว้ในกรอบช่องไม้ ช่วงที่ดำเนินเรื่องเจ้าก่ำกาดำ ผนังด้านทิศตะวันออก วาดขนาบ 2 ข้าง ประตูทางเข้ากุฏิสงฆ์ที่เชื่อมด้านทิศตะวันออกของวิหาร มีการเขียนชื่อกำกับชื่อทุกภาพ ได้แก่ </div><div><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikdAN8gBpGLJJaNS_BtCDggSG77QayXm-VyzL0Z1BQLtau_NTCHnSDM4APiHMd20AM_KY5KVo2vhbiNKCaMgcx-W7Qd-mj2f1-GaA_Kn8tiPpkL_Kgim2wI3ZsXldhARDLhUQZgMwt3YqQiO4q9I1qPA2iFyK5sTqAWdeO13yzKle0YjT7DO-AsU12/s650/AC256512-13S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikdAN8gBpGLJJaNS_BtCDggSG77QayXm-VyzL0Z1BQLtau_NTCHnSDM4APiHMd20AM_KY5KVo2vhbiNKCaMgcx-W7Qd-mj2f1-GaA_Kn8tiPpkL_Kgim2wI3ZsXldhARDLhUQZgMwt3YqQiO4q9I1qPA2iFyK5sTqAWdeO13yzKle0YjT7DO-AsU12/s16000/AC256512-13S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">ซ้าย: นายสิทธิเกษม <span style="white-space: pre;"> </span> </span><span style="color: #666666;">ขวา: เด็กจีนได้ทับทิม<br />จาก จิตรกรรมเวียงต้า, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRJdIhNb6rC_3SUh-zdpt_GpiEVOjW2Ge_vCwFPX2dvv1CNsL8Ve90bTHwFRyOGS3fR4GLd0eknqwNqEWVQOH4v3ilMkDU8ymWZDy2esilqKjOaEGh2jROuKzI7bnD-26Lj--KCYX1iT5dCPf6mrBa_w9t8twmnl00Rp4dF3n8SgGnkZDTcH-cccRC/s650/AC256512-14S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="533" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhRJdIhNb6rC_3SUh-zdpt_GpiEVOjW2Ge_vCwFPX2dvv1CNsL8Ve90bTHwFRyOGS3fR4GLd0eknqwNqEWVQOH4v3ilMkDU8ymWZDy2esilqKjOaEGh2jROuKzI7bnD-26Lj--KCYX1iT5dCPf6mrBa_w9t8twmnl00Rp4dF3n8SgGnkZDTcH-cccRC/s16000/AC256512-14S.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;">ซ้าย: อี่นายสีเวย <span style="white-space: pre;"> </span> ขวา: พ่อเฒ่าแสนภิรมย์มาจำ<br /><span style="color: #666666; text-align: left;">จาก </span><i style="color: #666666; text-align: left;">จิตรกรรมเวียงต้า</i><span style="color: #666666; text-align: left;">, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.), กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</span></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666; text-align: left;"><br /></span></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;">ภาพบุคคลขนาดใหญ่ของนายสิทธิเกษม นางศรีเวย เด็กชาวจีน และพ่อเฒ่าแสนภิรมย์ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาภาพวาดนิทานชาดกเรื่องเจ้าก่ำกาดำ ที่วาดบนแผงผนังด้านนี้ สันนิษฐานว่าอาจเป็นบุคคลที่มีส่วนในการอุปถัมภ์หรือเจ้าศรัทธาที่ออกค่าใช้จ่ายในการวาดภาพเหล่านี้หรือเป็นบุคคลสำคัญในท้องถิ่น</div><div class="separator" style="clear: both;">ภาพวาดของวัดเวียงต้าม่อนแห่งนี้ ภายหลังมีการรื้อวิหารที่มีความทรุดโทรมตามกาลเวลา ได้ถอดแผงไม้ที่มีรูปแต้มติดไว้ชั่วคราวในศาลา จนกระทั่งทางอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ได้ขอผาติกรรมไปจัดเก็บรักษา แสดงไว้ภายในหอคำน้อยของอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง บ้านป่างิ้ว ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2531 โดยทางอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงได้ทำการก่อสร้างวิหารศิลปะล้านนาจำนวน 1 หลัง ถวายให้วัดต้าม่อน ที่ยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันและมีการถ่ายภาพรูปแต้มวัดต้าม่อน จัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์โกมลผ้าโบราณ ตำบลห้วยอ้อ อำเภอลอง จังหวัดแพร่ มีการเผยแพร่รูปภาพและเนื้อหารูปแต้มทางเว็บไซต์หอภาพถ่ายล้านนา (Chiang Mai House of Photography) ที่จัดทำโดยรองศาสตราจารย์กันต์ พูนพิพัฒน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีกทั้งในปี พ.ศ. 2563 สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดแพร่ ได้จัดสร้างวิหารศิลปะพม่าจำลองขึ้นจากภาพถ่ายเก่า พร้อมกับติดกรอบรูปภาพที่ทำการวาดคัดลอกรูปแต้มวัดต้าม่อน โดยจิตรกรของจังหวัดแพร่ จัดแสดงไว้ภายในวิหารหลังใหม่นี้ จำนวน 20 ภาพและได้รับการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของอำเภอลองและของจังหวัดแพร่ </div><div><br /></div></div>
<hr /><b> เรียบเรียง :</b> ยุรัยยา อินทรวิจิตร ครู ชำนาญการพิศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</div><div class="separator" style="clear: both;"><b><br />ภาพจาก :</b> จิตรกรรมเวียงต้า, โดย วิถี พานิชพันธ์, (ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><b>อ้างอิง :</b></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;">วิถี พานิชพันธ์. (ม.ป.ป). จิตรกรรมเวียงต้า. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ.</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;">ภูเดช แสนสา. (2564). รูปแต้มวัดต้าม่อน เมืองต้า วัดพม่าปลายแดนด้านทิศตะวันออกเมืองนครลำปาง: รูปแต้มศิลปะล้านนาในวิหารศิลปะพม่าของวัดต้าม่อน. วารสารข่วงผญา, 15(1), 55-69. </div><div class="separator" style="clear: both;">https://so06.tci-thaijo.org/index.php/khuangpaya/issue/view/17006/4287</div><div><br /></div></div></div></div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-23670349557463492192022-09-30T17:10:00.004+07:002022-12-19T21:49:36.799+07:00ผ้าทอล้านนา : ผ้าตีนจกเมืองลองอาณาจักรล้านนาคือ ราชอาณาจักรของชาวไทยวนในอดีต ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยตลอดจนสิบสองปันนา และครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนของไทยในปัจจุบัน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และแม่ฮ่องสอน ชาวล้านนามีการแต่งกายที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะ “ซิ่น” ซึ่งเป็นเครื่องการแต่งกายของสตรีชาวล้านนานั้น ในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย ลักษณะผ้า การย้อมสีฝ้าย อันแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของช่างทอผ้าชาวล้านนาแต่โบราณที่สืบทอดมาจนปัจจุบัน<br /><br />สำหรับผ้าซิ่นที่ใช้นุ่งในโอกาสพิเศษ เช่น ในพิธีกรรม ในงานทำบุญ จะต่อส่วนตีนซิ่นด้วยผ้าทอลักษณะพิเศษที่ใช้เทคนิคการ “<b>จก</b>” ให้เกิดลวดลายงดงามกว่าปกติ เรียกว่า "<b>ผ้าซิ่นตีนจก</b>" ลวดลายของผ้าซิ่นตีนจกในแต่ละท้องถิ่นมีความหลากหลายแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วลวดลายทั้งหมดล้วนได้แนวคิดมาจากธรรมชาติรอบตัว คติความเชื่อ และพุทธศาสนา ผ้าซิ่นตีนจกในภาคเหนือของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นมีหลายแห่ง เช่น ผ้าซิ่นตีนจกจากอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ และผ้าซิ่นตีนจกจากอำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นต้น<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhla25ARQj_8XqYnql2pCJ9hAuGETcjQ6iJG-ZT5CzDdYZHTkTarp9Axq-91Gj_pdaP5S5J7wRmwfzOr0L8rNOZltZzU_WPSsYv2RPg9ZrFtW59JV8X-iBD0CECxFwzVghgDsU4ht3TmxPLp3CHPm20ea6K2GyblxJ0KX04Zc9X8PyixIuHsufTT-rC/s650/AC256506-01.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="363" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhla25ARQj_8XqYnql2pCJ9hAuGETcjQ6iJG-ZT5CzDdYZHTkTarp9Axq-91Gj_pdaP5S5J7wRmwfzOr0L8rNOZltZzU_WPSsYv2RPg9ZrFtW59JV8X-iBD0CECxFwzVghgDsU4ht3TmxPLp3CHPm20ea6K2GyblxJ0KX04Zc9X8PyixIuHsufTT-rC/s16000/AC256506-01.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">ตีนจกเมืองลอง</span></div><br />อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นชุมชนโบราณและเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญเมืองหนึ่ง ในยุคนั้นมีชื่อเรียกว่า เมืองเชียงชื่น ในอดีตเป็นเมืองของชาวไทยยวนหรือชาวไทยโยนก ที่มีเทคนิคและศิลปะในการทอผ้าในรูปแบบของตนเอง รวมถึงผ้าซิ่นตีนจกที่ทอขึ้นเพื่อใช้ในโอกาสพิเศษ ซึ่งปรากฏหลักฐานภาพถ่ายเจ้านายฝ่ายหญิงของเมืองแพร่ ในปี พ.ศ. 2445 พบว่า ผ้าซิ่นที่ใช้สวมใส่จะมีเชิงซิ่นเป็นตีนจกและยังพบหลักฐานคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ ที่สตรีนุ่งซิ่นตีนจก<p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhR_o-lE8_qDi4m6_-sIUlNoUZcU7BsQBnrP7TKEPrkjXIWDT3SynivhkcgI0F8BO9Z-sIf5tfO35CjA4TiD7fS84ygaBYRBDwIIWUrUGxbJAHHt5P7ZUpvJMUsR5WwgmKyn4ca6NaJXAAwnvnq3EYHGSAeeDV3vRc7tRU04Css-61bo9R_fblvkfVw/s650/AC256506-02AS.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="289" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhR_o-lE8_qDi4m6_-sIUlNoUZcU7BsQBnrP7TKEPrkjXIWDT3SynivhkcgI0F8BO9Z-sIf5tfO35CjA4TiD7fS84ygaBYRBDwIIWUrUGxbJAHHt5P7ZUpvJMUsR5WwgmKyn4ca6NaJXAAwnvnq3EYHGSAeeDV3vRc7tRU04Css-61bo9R_fblvkfVw/s16000/AC256506-02AS.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">จิตกรรมฝาผนังวัดเวียงต้า แสดงให้เห็นภาพสตรีล้านนานุ่งซิ่นตีนจก</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">ผ้าซิ่นตีนจกเมืองลอง มีลักษณะโครงสร้างเช่นเดียวกับผ้าซิ่นล้านนาโดยทั่วไป คือ ประกอบด้วย 3 ส่วน</div><div><ul style="text-align: left;"><li><b>หัวซิ่น </b>ส่วนบนหรือส่วนเอว เรียกว่า<b> </b>หัวซิ่น ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าสีพื้นไม่มีลวดลาย เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง สีดำ หรือใช้ผ้าสีแดงต่อด้วยผ้าสีขาว</li><li><b>ตัวซิ่น </b>ส่วนกลางหรือส่วนลำตัวเรียกว่า ตัวซิ่น ส่วนใหญ่จะทอเป็นลายขวาง เรียกว่า ซิ่นต๋า ซิ่นต๋าหมู่ ซิ่นต๋ามุก ซิ่นต๋าตอบ สีสันและลวดลายขึ้นอยู่กับความชอบและความคิดสร้างสรรค์ของผู้ทอ ในปัจจุบันตัวซิ่นมีการสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ให้น่าสนใจมากขึ้น เช่น ลายตรง ลายดอกไม้ ลายนกคู่ </li><li><b>ตีนซิ่น </b>ส่วนล่างสุด เรียกว่า ตีนซิ่น สำหรับผ้าซิ่นที่ใช้นุ่งในโอกาสพิเศษ จะต่อส่วนตีนซิ่นด้วยผ้าลวดลายงดงาม ซึ่งทอด้วยเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า “<b>จก</b>” คือใช้เทคนิคการทอโดยการยกเส้นยืน อาจใช้ขนเม่นหรือปลายนิ้วก้อยในการยกเส้นยืนก็ได้ แล้วสอดเส้นพุ่งตามลายที่กำหนด และเรียกตีนซิ่นแบบนี้ว่า “<b>ตีนจก</b>” หลังจากทอเสร็จเอา 3 ส่วนมาเย็บต่อกัน เรียกว่า “<b>ผ้าซิ่นตีนจก</b>” </li></ul><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXZNH8DpTKHnTlfaeFKywzYlj7RmOKFA0eCcmy2mfNyfbpEWIGwVuOicu9zvKpX-uCo9a-uld5Y_1HBc0Cpc43Scr4x5PIczAENIkMMyaOu94SiPx6F_8-HjZjWdxXwLRlDGoZmwuAFGDQF2HVhcvGAKCcsxSV-ELt9VNs_27I2vqfKEAu2z1HYxii/s483/AC256506-04%20(2).jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="483" data-original-width="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXZNH8DpTKHnTlfaeFKywzYlj7RmOKFA0eCcmy2mfNyfbpEWIGwVuOicu9zvKpX-uCo9a-uld5Y_1HBc0Cpc43Scr4x5PIczAENIkMMyaOu94SiPx6F_8-HjZjWdxXwLRlDGoZmwuAFGDQF2HVhcvGAKCcsxSV-ELt9VNs_27I2vqfKEAu2z1HYxii/s16000/AC256506-04%20(2).jpg" /></a></div><br />การทอผ้าจกของช่างทอเมืองลองในอดีตนั้น ทอด้วยกี่หรือหูกทอผ้าแบบพื้นเมือง และใช้ขนเม่นหรือไม่ไผ่ที่ทำปลายให้แหลมจกล้วงด้ายเส้นยืนจากด้านหลังของผ้าให้เกิดลวดลาย ซึ่งต้องอาศัยฝีมือ ความชำนาญและใช้เวลาในการทอแต่ละผืนนานมาก ปกติผ้าตีนจก 1 ผืนจะมีความยาวประมาณ 70 นิ้ว โดยประมาณ</div><div><br /></div><div><b>ลวดลายของผ้าจกเมืองลอง </b>ประกอบด้วย ลายหลัก และ ลายประกอบ</div><div><div style="text-align: center;"> <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjyCr8Tto50-JZGqBW8mOMShVRF6daD0ON5ODkSL_Ol5wMSPX7eZ9xAApQKWFgw-k9SVdAJUEacY81ljO9xAHo4AFY3yTigC4OrbWhmlfG4Gfa0u1PkhSG0iva7qPh6IHIQdOTJBgdSXVqRkvePwPk16_Z2_pwaCyMjVAP4KRW0nfybVIFPDlaSsB2/s600/AC256506-XX.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="400" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjyCr8Tto50-JZGqBW8mOMShVRF6daD0ON5ODkSL_Ol5wMSPX7eZ9xAApQKWFgw-k9SVdAJUEacY81ljO9xAHo4AFY3yTigC4OrbWhmlfG4Gfa0u1PkhSG0iva7qPh6IHIQdOTJBgdSXVqRkvePwPk16_Z2_pwaCyMjVAP4KRW0nfybVIFPDlaSsB2/s16000/AC256506-XX.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>1. ลวดลายหลัก</b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"> เป็นลายที่อยู่ตรงกลางของตีนจก มีความโดดเด่นสวยงาม มีทั้งลักษณะที่เป็นลายดอก และลายต่อเนื่อง</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>1.1 ลวดลายหลักลักษณะลายดอก</b> ลายหลักที่เป็นลวดลายที่มีมาแต่โบราณมีอยู่ 12 ลาย ได้แก่ ลายนกคู่กินน้ำร่วมต้น ลายสะเปาลอยน้ำ (สำเภาลอยน้ำ) ลายนกแยงเงา (นกส่องกระจก) ลายขามดแดง ลายขากำปุ้ง (แมงมุม) ลายขอไล่ ลายหม่าขนัด (สับปะรด) ลายจันแปดกลีบ ลายดอกจัน <span style="text-align: center;">ลายขอดาว ลายขอผักกูด และลายดอกขอ </span></div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>1.2 ลายหลักลักษณะลายต่อเนื่อง</b> มีลายที่เป็นลายโบราณอยู่ 7 ลาย คือ ลายใบผักแว่น ลายแมงโบ้งเลน ลายโคมและช่อน้อยตุงชัย ลายขอน้ำคุ จันแปดกลีบ ลายเครือกาบหมาก ลายโก้งเก้งซ้อนนก และลายพุ่มดอกนกกินน้ำร่วมต้น</div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9QOMkbhAvR9LsGsvHFaW1SOpR3vXLrA1tPB28ix7mqYCDLieKBdT4Gtw6OOQBexHk-sYqF1e1g93G3uVFva9F-v1vEpPdtKHvj31e3WDmiyRbTyepUPtv4o95LwY5y2lRL8JQWNXsLsD4t35jYUIEku6z-zyktsLKpWhU5JwQMgDjtgF0a06drvJ4/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="236" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9QOMkbhAvR9LsGsvHFaW1SOpR3vXLrA1tPB28ix7mqYCDLieKBdT4Gtw6OOQBexHk-sYqF1e1g93G3uVFva9F-v1vEpPdtKHvj31e3WDmiyRbTyepUPtv4o95LwY5y2lRL8JQWNXsLsD4t35jYUIEku6z-zyktsLKpWhU5JwQMgDjtgF0a06drvJ4/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCA8ZFGYziBj9_NG5jWJC3O_7ZBWg6cTEWOv2oYwehSNXNSWpcUWJXDATnSkBS35Z-gEykiDk9yXZ-A9L3fWL1S-89fpawDDVZrG4YYEV-5592Ky2ehW8owh2m9408rGNQuc-7Cy3Ser5uqxWtJzCig5mPl76MvMu27RTR3HoeVmAGRmTTA3NvdKMB/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="239" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCA8ZFGYziBj9_NG5jWJC3O_7ZBWg6cTEWOv2oYwehSNXNSWpcUWJXDATnSkBS35Z-gEykiDk9yXZ-A9L3fWL1S-89fpawDDVZrG4YYEV-5592Ky2ehW8owh2m9408rGNQuc-7Cy3Ser5uqxWtJzCig5mPl76MvMu27RTR3HoeVmAGRmTTA3NvdKMB/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-2.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIX6b14fsKBaE5CIsFtkFu3pQbzl18XACSl68ztlofPikdqE6f_X7wvaCDWR8l3CL2SDh-ia5sORy8Uuv_F1-1ShPTq133044ad29LDpYlrANno_eyeYvoC-_COU2oUfMohQ3l_xhMUXkMM4NSbbngt5eSkzl1DRBFP-gv5PjYetEdCkoFU57640zD/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="249" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIX6b14fsKBaE5CIsFtkFu3pQbzl18XACSl68ztlofPikdqE6f_X7wvaCDWR8l3CL2SDh-ia5sORy8Uuv_F1-1ShPTq133044ad29LDpYlrANno_eyeYvoC-_COU2oUfMohQ3l_xhMUXkMM4NSbbngt5eSkzl1DRBFP-gv5PjYetEdCkoFU57640zD/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-3.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghHq_cBzvRLR8m_qv7Rrp7PI13-zUbh9Z_IZ71ljg6Fu7nAhw9SbzKejzC2fTcmuWYEyo6GQ0j8XCVa0VXrBJ3NGJQ3MmsuAKX4yDFKVyWOZYFXWNqFPygJjNRa91LNvQL-hs_wphtATWRN2AZPBVshLBtyXeAFgUNu19P0FMNfe_cDC4RVorqnBvv/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-4.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="234" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEghHq_cBzvRLR8m_qv7Rrp7PI13-zUbh9Z_IZ71ljg6Fu7nAhw9SbzKejzC2fTcmuWYEyo6GQ0j8XCVa0VXrBJ3NGJQ3MmsuAKX4yDFKVyWOZYFXWNqFPygJjNRa91LNvQL-hs_wphtATWRN2AZPBVshLBtyXeAFgUNu19P0FMNfe_cDC4RVorqnBvv/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-4.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUpd2UcdTTNQsw0xNO-fVO50cTZicguS7_sLFvz7JP6Er3JrBNhQYyVmNBbGxsDhoRD619-5IrdsQm0e6ZzuqWjVq-BXdb0xo10Me3iXXBH05CVLDj7NgKi_G8j9fXfy2rtlwi0wVvKHoBcQQn3m_6bJr4ERNJOsicT0Bc0Pn5B4VpDKHRF-xcGpp7/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-5.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="238" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUpd2UcdTTNQsw0xNO-fVO50cTZicguS7_sLFvz7JP6Er3JrBNhQYyVmNBbGxsDhoRD619-5IrdsQm0e6ZzuqWjVq-BXdb0xo10Me3iXXBH05CVLDj7NgKi_G8j9fXfy2rtlwi0wVvKHoBcQQn3m_6bJr4ERNJOsicT0Bc0Pn5B4VpDKHRF-xcGpp7/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-5.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;"><b>2. ลวดลายประกอบ</b> </div><div class="separator" style="clear: both;">เป็นลายขนาดเล็ก ๆ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เพิ่มความโดดเด่นให้ลายหลัก ที่ทำให้ผ้าตีนจกมีความสมบูรณ์ มักเป็นลวดลายที่ออกแบบมาจากสิ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ได้แก่ ลวดลายจากพืช เช่น ลายกาบหมาก บัวคว่ำบัวหงาย ลายดอกพิกุลจัน ลวดลายจากสัตว์ เช่น ลายผีเสื้อ ลายนกคุ้ม ลวดลายจากรูปทรง เช่น ลายจันแปดกลีบ ทรงกลม</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDHKiWls-D-BXwYIhqgxatEHnQjRMLQ-3l-YCv64ksL3ZaGVm2rdZZRtnfL64YXZSxDeZJHXC-kZdA_7vPThbGT-sXfDr12f-S0__vBkQm4AgXkMDJ5kvKfgdbhBARtOV1oc7d8D-B16uBuz0usvF3RGfCdy9RwIT1M9hrG95skD9zbVtA9UTvFve7/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A-1.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="219" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDHKiWls-D-BXwYIhqgxatEHnQjRMLQ-3l-YCv64ksL3ZaGVm2rdZZRtnfL64YXZSxDeZJHXC-kZdA_7vPThbGT-sXfDr12f-S0__vBkQm4AgXkMDJ5kvKfgdbhBARtOV1oc7d8D-B16uBuz0usvF3RGfCdy9RwIT1M9hrG95skD9zbVtA9UTvFve7/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A-1.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-DS0hGqO-7BrihlufNqe12x0Axm5rk6x8xJXlRJGnkW6LLr9oMseuvChbbEaywMS5pgF9VG_IVUn3wSrJw_hShhZa_1MfXSt9eutzGj7AYUZfT5FiyfeOqsqCTN-C3PEVUHnVyHX9euFT_uHnioyjKQQbBBE7d4_6Y3mJQNvr06hZYccYlbXwyE5n/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A-2.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="214" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-DS0hGqO-7BrihlufNqe12x0Axm5rk6x8xJXlRJGnkW6LLr9oMseuvChbbEaywMS5pgF9VG_IVUn3wSrJw_hShhZa_1MfXSt9eutzGj7AYUZfT5FiyfeOqsqCTN-C3PEVUHnVyHX9euFT_uHnioyjKQQbBBE7d4_6Y3mJQNvr06hZYccYlbXwyE5n/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A-2.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFwSxSQIuzGm-WNQz0XkKtWCPMCjxNzcDNSVE4ADJ1Fa0ldqnwf1z99vHYpv90Y51X-MFO7_C1lGmzm-OAkfkbVmbDK8etnR60AFMW44r3AhNqr08bWpeLQAixAwKAjxFJ0Rsw4sTryXrAkWONg5ZWczMJX5BO6oNWeXteb19qdXqvN2W69Ggd_WcL/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A-3.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="218" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFwSxSQIuzGm-WNQz0XkKtWCPMCjxNzcDNSVE4ADJ1Fa0ldqnwf1z99vHYpv90Y51X-MFO7_C1lGmzm-OAkfkbVmbDK8etnR60AFMW44r3AhNqr08bWpeLQAixAwKAjxFJ0Rsw4sTryXrAkWONg5ZWczMJX5BO6oNWeXteb19qdXqvN2W69Ggd_WcL/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A-3.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgY8i3T725vGbRHM6NQQ5mX_Yso_eKTs6m9S-y0jq0qKhs2GXrzqM1OBgr6vjTENo60HNiJVVcNUZDLEeOYc_CpOTr-J_5-Dk92A5m9wvpE0KjWSLKHItWU5xPu_tqGd7mTpN9aW79xbqE5I2DLrDhIuy0b8i-bKbBB7dhAhCjkZbnYBo2F0y5Ctfwd/s650/AC256506-%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%20(S).jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="511" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgY8i3T725vGbRHM6NQQ5mX_Yso_eKTs6m9S-y0jq0qKhs2GXrzqM1OBgr6vjTENo60HNiJVVcNUZDLEeOYc_CpOTr-J_5-Dk92A5m9wvpE0KjWSLKHItWU5xPu_tqGd7mTpN9aW79xbqE5I2DLrDhIuy0b8i-bKbBB7dhAhCjkZbnYBo2F0y5Ctfwd/s16000/AC256506-%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%20(S).jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><b>ตัวอย่างผ้าทอตีนจกเมืองลอง</b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisVFjGTE3oi6UX333WPf9fY62EtEx74H0CpHwXiyDS7bqfk3zr2AorQCjbMX0n-kwvCL2XfYLvy9RMR6rUeye7WLmZg5LL97Kq0Fs667lkxx1nzgHxq7NgAKIBnxeW5RoRjnOGKadGvPI-gfWZxBG3dhhyxVVCswyY3CllzZG2aArZpl54SuDP_DOZ/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-7.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="396" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEisVFjGTE3oi6UX333WPf9fY62EtEx74H0CpHwXiyDS7bqfk3zr2AorQCjbMX0n-kwvCL2XfYLvy9RMR6rUeye7WLmZg5LL97Kq0Fs667lkxx1nzgHxq7NgAKIBnxeW5RoRjnOGKadGvPI-gfWZxBG3dhhyxVVCswyY3CllzZG2aArZpl54SuDP_DOZ/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%AD-7.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXKCC9N6vtzGa8S7uUDVWk-X60MDX2HwqL6HcvruX1UrW3eo2P6ieBqXAMktHBr8_nrodO-MMaxzRV-lmMf29WWuDc7rz7U4oamrlqKfmvbkcc838kDoKxYIQrFfO08IKHpIYfvH1OuZqdELv9hLlHnebelUGg0K2uiIUiDfDuBfU67MLSJsbNwysy/s560/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2-7.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="393" data-original-width="560" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgXKCC9N6vtzGa8S7uUDVWk-X60MDX2HwqL6HcvruX1UrW3eo2P6ieBqXAMktHBr8_nrodO-MMaxzRV-lmMf29WWuDc7rz7U4oamrlqKfmvbkcc838kDoKxYIQrFfO08IKHpIYfvH1OuZqdELv9hLlHnebelUGg0K2uiIUiDfDuBfU67MLSJsbNwysy/s16000/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2-7.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;"><b>วัตถุประสงค์ในการทอผ้าตีนจก</b> ในอดีตสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประการดังนี้</div><div style="text-align: left;"><ol style="text-align: left;"><li><b>ทอเพื่อใช้เองในครอบครัว </b>ผ้าตีนจกเป็นผ้าทอที่ใช้ประกอบกับตัวซิ่น ในอดีตผู้หญิงมักทอผ้าจกเมื่อใช้ในพิธีแต่งงานของตนหรือทอจกตามขนาดต่าง ๆ ตามการใช้งาน เช่นทอไว้เป็นผ้าสไบสำหรับใช้ในโอกาสสำคัญ ทอจกเป็นผ้าเช็ดหน้า ทอจกเป็นย่ามใส่หมาก ทอจกเป็นผ้าขาวม้า เป็นต้น</li><li><b>ทอเพื่อใช้ในงานพิธีกรรมทางศาสนา </b>โดยเฉพาการทำบุญทางศาสนา เพื่อถวายเป็นจตุปัจจัยไทยรรม เช่น ไตรจีวร รัดประคต อาสะนะปูนั่ง ผ้าปูลาด บางผืนจะทอกันเป็นเวลาแรมปีด้วยใจรักและศรัทธา เช่น การทอผ้าจกเป็นผ้าคลุมศีรษะนาค ทอจกเป็นย่ามพระ ผ้าห่อคัมภีร์ หรือทอจกเป็นผ้าเพื่อประดิษฐ์เป็นพวงมาลัยสำหรับใช้ประดับศาลา ประดับธรรมาสน์ในงานประเพณีเทศน์มหาชาติ</li></ol></div></div></div><p>
</p><hr /><br /></div><div> <b>เรียบเรียง:</b></div><div>สิริลักษณ์ เป็งคำ ครูผู้ช่วย สถาบัน กศน.ภาคเหนือ </div><div><br /></div><div><b>ภาพประกอบ:</b></div><div>สิริลักษณ์ เป็งคำ</div><div>วิภาพรรณ นันต๊ะนา</div><div><br /></div><div><b>อ้างอิง:</b></div><div><div><div>คลังข้อมูลชุมชน ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). <i>ผ้าโบราณเมืองลอง</i>. https://communityarchive.sac.or.th/community/BanHuayO/data-set/view/619</div><div><br /></div><div>สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ร่วมกับนักศึกษาปฏิบัติงานสหกิจศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. (ม.ป.ป.). <i>ผ้าซิ่นตีนจก (อำเภอลอง)</i>. [Ebook]. https://anyflip.com/nlfbr/chlk/basic</div><div><br /></div></div><div>ศูนย์สารสนเทศหม่อนไหมและประชาสัมพันธ์ กรมหม่อนไหม. (ม.ป.ป.) <i>ผ้าจกเมืองลอง</i>. https://qsds.go.th/silkcotton/k_11.php</div><div><br /></div><div>ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน). (ม.ป.ป.). <i>ศิลปหัตถกรรมประเภทผ้าจกเมืองลอง</i>. https://www.sacit.or.th/uploads/items/attachments/922f33cdefb2792b0f0f72965146208f/_2951791788cbe5bc477baa2afd1f06ae.pdf</div></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-64783359312968549732022-09-30T15:24:00.086+07:002022-09-30T17:11:32.625+07:00โลกโมฬี…วัดสวยเก่าแก่คู่เมืองล้านนา<b> วัดโลกโมฬี</b> หรือ <b>วัดโลก</b> เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่มีชื่อในตำนานของวัดพระธาตุดอยสุเทพ<br /><br />วัดโลกโมฬี ปรากฏซื่อครั้งแรกในรัชสมัยพระเจ้ากือนา (พ.ศ. 1898-1928) ในปี พ.ศ. 1910 พระองค์ทรงโปรดอาราธนาให้คณะของพระอุทุมพรบุปผามหาสวามีเจ้า พระมหาเถระ เมืองเมาะตะมะ <br />มาสืบศาสนาในล้านนา แต่พระมหาเถระทรงชราภาพมาก จึงให้พระอนันทะเถระและพระเถระที่เป็นศิษย์อีก 10 รูป มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาแทน พระเจ้ากือนาจึงโปรดฯ ให้คณะสงฆ์ดังกล่าวจำพรรษา <br />ณ วัดโลกโมฬี <div><div> </div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt35LKGkjdQmATjxhV_acjwxnp4smO1fgI83Q2slN5o5PniaX0YTrVhxwHeA-hTdnc1zS6Y6aLgnZO8qvp5DdY_FtQ_yeixt-2ldUoUV0LTjUaseyIMmTqkBK3B2Ib4HQ8DnsSXJnn5YPhDBANFIuE9Lq3KSugeeg2Vj26aJ1py8Lmisqk9P9h190j/s650/AC256507-01S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjt35LKGkjdQmATjxhV_acjwxnp4smO1fgI83Q2slN5o5PniaX0YTrVhxwHeA-hTdnc1zS6Y6aLgnZO8qvp5DdY_FtQ_yeixt-2ldUoUV0LTjUaseyIMmTqkBK3B2Ib4HQ8DnsSXJnn5YPhDBANFIuE9Lq3KSugeeg2Vj26aJ1py8Lmisqk9P9h190j/s16000/AC256507-01S.jpg" /></a></div><br />ปี พ.ศ. 2070 ในสมัยพระเมืองเกษเกล้า (พญาเกสเชษฐราช) กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา (ครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2068-2081 และครั้งที่สอง พ.ศ. 2086-2088) พระองค์ได้ถวายบ้านหัวเวียงให้เป็นอารามวัดโลกโมฬี และใน พ.ศ. 2071 ได้ทรงให้สร้างมหาเจดีย์และวิหารที่วัดโลกโมฬีด้วย<br /></div><div><br /></div>ต่อมาเมื่อพระเมืองเกษเกล้า ถูกลอบปลงพระชนม์ ในปี พ.ศ. 2088 เหล่าข้าราชการ ขุนนาง ได้ทำพิธีและนำพระบรมอัฐิมาบรรจุไว้ที่วัดโลกโมฬี นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านเหนือของพระอาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงประจำพระองค์ จากนั้นเสนาอำมาตย์จึงได้ทูลเชิญพระนางจิรประภามหาเทวี (มหาเทวีจิรประภา) พระอัครมเหสี ขึ้นครองราชสมบัติ (พ.ศ. 2088-2089 ขณะนั้นล้านนากำลังอ่อนแอ สมเด็จพระไชยราชาธิราชกษัตริย์อยุธยา จึงยกทัพมาตีล้านนา แต่ด้วยพระนางจิรประภาได้ถวายเครื่องบรรณาการไปถวายขอเป็นมิตร พร้อมทูลเชิญสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จมาร่วมทำบุญสร้างกู่ถวายพระเมืองเกษเกล้าที่วัดโลกโมฬี ต่อมาในปี พ.ศ. 2121 พระนางวิสุทธิราชเทวีทิวงคต เหล่าข้าราชการ ขุนนางได้ทำการถวายพระเพลิง ณ ทุ่งวัดโลก และบรรจุพระอัฐิไว้ในเจดีย์วัดโลกโมฬีด้วยเช่นกัน <div><br /></div>จากนั้นเชียงใหม่ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าสาวัตถีนรถามังคะยอ (นรธาเมงสอ)<br />พระราชโอรสในพระเจ้าบุเรงนองกับพระนางราชเทวีแห่งหงสาวดี จึงถูกส่งมาปกครองอาณาจักรล้านนา (พ.ศ. 2121-2150) วัดวาอารามต่าง ๆ ถูกพม่าเผาทำลายไปมาก แต่วัดโลกโมฬีไม่ได้ถูกเผา เนื่องจากพระองค์ทรงมีเมตตาธรรม และให้วัดโลกโมฬีกับวัดวิสุทธารามเป็นวัดสำคัญในพระราชสำนักมาโดยตลอด จนกระทั่ง พ.ศ. 2127 เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงประกาศอิสรภาพจากพม่า จึงทรงพยายามรวบรวมแผ่นดินอีกครั้ง พระองค์ทรงตีอาณาจักรล้านนาได้ทั้งหมด พระเจ้าสาวัตถีนรถามังคะยอต่อสู้มิได้ จึงทรงยอมสวามิภักดิ์เป็นประเทศราช ในปี พ.ศ. 2139 แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงให้พระองค์ทรงปกครองอาณาจักรล้านนาต่อไป และพระเจ้าสาวัตถีนรถามังคะยอได้ถวายพระธิดาให้เป็นพระมเหสีในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช<div><br /></div><div>วัดโลกโมฬีถูกทิ้งให้ร้าง จนถึงปี พ.ศ. 2502 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดโลกโมฬีเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และในปี พ.ศ. 2544 คณะสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินการบูรณะให้วัดร้างกลายเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษา และในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 กรมการศาสนาได้อนุมัติให้ยกฐานะวัดโลกโมฬีจากวัดร้างให้เป็นพระอารามที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้แต่งตั้งให้พระญาณสมโพธิเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส และในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการเททองรูปเหมือนพระนางจิรประภามหาเทวี และนำมาประดิษฐานภายในวัด <br /><div><br /></div></div>วัดโลกโมฬี ตั้งอยู่บนถนนมณีนพรัตน์ ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดที่สร้างขึ้นด้วยความประณีตและงดงามมาก มีประติมากรรมและสถาปัตยกรรมศิลปะล้านนาที่เก่าแก่และทรงคุณค่ามากมาย ได้แก่<br /><br /><b>เจดีย์วัดโลกโมฬี</b><br />เจดีย์ของวัดโลกโมฬี เป็นเจดีย์ที่สร้างปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ตำนานระบุว่า สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระเมืองเกษเกล้า เมื่อ พ.ศ. 2071 เป็นเจดีย์ทรงปราสาทที่มีรูปเทวดาประดับอยู่ตามมุมเจดีย์ จากนั้นได้มีการพัฒนารูปแบบเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยได้เพิ่มความสูงของเจดีย์ คือ ส่วนฐาน ได้แก่ ชุดฐานปัทม์ ลูกแก้ว อกไก่ เพิ่มเป็น 2 ชุด ฐานปัทม์ชั้นล่างไม่มียกเก็จ ฐานปัทม์ชั้นที่สองมีจำนวนยกเก็จที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นมุมที่มีขนาดเล็กลง ส่วนกลางยังคงเป็นเรือนธาตุในผ้าสี่เหลี่ยมยกเก็จที่มีขนาดของมุมเล็กลง และจำนวนของมุมมากขึ้นเช่นเดียวกับฐานปัทม์ด้านล่าง ทั้งสี่ด้านของเรือนธาตุมี<br />ซุ้มจระนำ มีรูปแบบของซุ้มลดได้ กรอบซุ้มจระนำมีการผสมผสานกันทั้งกรอบแบบคดโค้งและกรอบแบบวงโค้ง ตลอดจนแนวของลูกแก้ว อกไก่ที่ประดับเสารับซุ้มจระนำก็มีขนาดเด่นขึ้น กลายเป็นรูปงอนคล้ายบัวคว่ำ ที่เรียกกันว่า ปากแล ส่วนยอดเหนือเรือนธาตุ มีการพัฒนาความสูง โดยเพิ่มจำนวนของชั้นลดรูปฐานปัทม์ลูกแก้ว อกไก่ ยกเก็จซ้อนกันสามฐาน รับทรงระฆังและบัลลังก์สิบสองเหลี่ยม ปล้องไฉนและปลี ซึ่งองค์ระฆังและบัลลังก์นั้น เป็นลักษณะร่วมของเจดีย์ทรงระฆัง<br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-lY2Yvnw359CvZT5JEin8NbZxLJewxrWIHhDivBSac7uU8C2_p8UEa8y-dzEzxU6zyueuMnPxXzz55llzdfXSwK0T26tno-qn0IRxHdYWPjVfEp-9FxJqEplGeNfQrHEYKtAcn43ojQIoaqYPPXZcLoVb-DvYSzvi3JuLvhsdH9UFy22D7zs7loGy/s650/AC256507-02%20(650).jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="325" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-lY2Yvnw359CvZT5JEin8NbZxLJewxrWIHhDivBSac7uU8C2_p8UEa8y-dzEzxU6zyueuMnPxXzz55llzdfXSwK0T26tno-qn0IRxHdYWPjVfEp-9FxJqEplGeNfQrHEYKtAcn43ojQIoaqYPPXZcLoVb-DvYSzvi3JuLvhsdH9UFy22D7zs7loGy/s16000/AC256507-02%20(650).jpg" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;"><b>วิหารหลวงวัดโลกโมฬี </b></div><div class="separator" style="clear: both;">เป็นวิหารที่สร้างขึ้นภายหลังจากการบูรณะ และยกฐานะจากวัดร้างเป็นวัดที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นวิหารไม้สักศิลปะแบบล้านนาที่มีการแกะสลักอย่างประณีตงดงาม ส่วนวิหารหลังเดิมนั้น ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า สร้างขึ้นพร้อมกับเจดีย์ เมื่อ พ.ศ. 2071 บนเพดานและต้นเสาภายในวิหารยังมีภาพแกะสลักอย่างประณีตบรรจง ที่แปลกตาและเด่นมากก็คือ ตรงหน้าบันรูปจั่วได้ประดับกระจกสี ซึ่งทำให้เกิดสีสันหลากสีบนหลังคาวิหารที่มีพื้นโทนสีดำ ซึ่งพื้นดำนี้มีส่วนช่วยขับกระจกสีแดง ขาว น้ำเงิน เขียว เหลือง จนดูระยิบระยับ </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLo7QNwO5wJ-iMvFM0c92ygf-L9KnE-tR8Zw8LSUtqfQSyUjzCQUQHS9LlSLjbyJscQ8tmStQct1AaJxZO2kysnVgZeIeSOZ2t7bI1RZ9c7YBuKonRA_ToXaAJg5AB2ofYoavNVb07ofD_CoHHTM2vOwSqE-R7KvMb8yBnB6zXeX-nd0CdKuKtvd_W/s650/AC256507-7S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLo7QNwO5wJ-iMvFM0c92ygf-L9KnE-tR8Zw8LSUtqfQSyUjzCQUQHS9LlSLjbyJscQ8tmStQct1AaJxZO2kysnVgZeIeSOZ2t7bI1RZ9c7YBuKonRA_ToXaAJg5AB2ofYoavNVb07ofD_CoHHTM2vOwSqE-R7KvMb8yBnB6zXeX-nd0CdKuKtvd_W/s16000/AC256507-7S.jpg" /></a></div><div><br /></div></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7-lCwx0vEufVUELn168mby4QCAB1_xVekizG65n5PrJCcuKGwb2DXoO0qqzgHZhI4bfQzmeJtMQieihJoD0pCX4IcDCpGoCX3k9pfYJcQ4nIi16er7mGTaoPuZYKWKt9FJ5oqleEo1G0C23313FftfOEZDjEJIyLHf1ok9SD6eGGYR-237sjY4Klr/s650/AC256507-03.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="289" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7-lCwx0vEufVUELn168mby4QCAB1_xVekizG65n5PrJCcuKGwb2DXoO0qqzgHZhI4bfQzmeJtMQieihJoD0pCX4IcDCpGoCX3k9pfYJcQ4nIi16er7mGTaoPuZYKWKt9FJ5oqleEo1G0C23313FftfOEZDjEJIyLHf1ok9SD6eGGYR-237sjY4Klr/s16000/AC256507-03.jpg" /></a></div><div><br /></div>พระประธานที่ประดิษฐานภายในวิหารหลวงเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีนามว่า “พระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ” และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้บนพระเมาลี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546<div><br /></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjM9i-5WfHX6sk8EAo-ly4rE3qG-oHCqDLyo0XYp-AKG8i58_AZ4QQvtJp5IV1SnrF43Q5HBoy02Sqkh5IqKed2QK_ajtlIx2lRq-mMj1MrruBMLm2mdYd5sG7l_rYDryodBgy34npzaQe0ieYtJqWqaBDIZ1mOMhezAvDwRrRGD7-JFYxQk721RWyL/s650/AC256507-4C.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="464" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjM9i-5WfHX6sk8EAo-ly4rE3qG-oHCqDLyo0XYp-AKG8i58_AZ4QQvtJp5IV1SnrF43Q5HBoy02Sqkh5IqKed2QK_ajtlIx2lRq-mMj1MrruBMLm2mdYd5sG7l_rYDryodBgy34npzaQe0ieYtJqWqaBDIZ1mOMhezAvDwRrRGD7-JFYxQk721RWyL/s16000/AC256507-4C.jpg" /></a></div><br /><div style="text-align: left;"><div><b>มณฑปพระนางจิรประภา มหาเทวีแห่งล้านนา</b></div><div>ภายในประดิษฐานพระรูปเหมือนของพระนางจิระประภา มหาเทวี ซึ่งพระองค์ได้ทรงอุปถัมภ์วัดโลกโมฬีครั้งเสวยราชย์ครองเมืองเชียงใหม่ไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สักการะรำลึกถึงคุณความดีของพระองค์ เป็นซุ้มประตูที่งดงาม เมื่อมองผ่านจะเห็นพระวิหารได้พอดี</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj60wFm2MbLfbi3KsKGiDTFppws8pt7XDBj8estX_FB70ikJIVxBnZnwG919026Xgnf0Ukhq7tSeeizpOuxLw8svdvqOBX2fnauW74vwxHYWsylJNY5ow3Bioqtd48BNSN2iahNBdwG39lLO_XTjFl36RiSMYdwdlPwcqf_EN0vW5Wshd5Jdcmfa-fL/s650/AC256507-5.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj60wFm2MbLfbi3KsKGiDTFppws8pt7XDBj8estX_FB70ikJIVxBnZnwG919026Xgnf0Ukhq7tSeeizpOuxLw8svdvqOBX2fnauW74vwxHYWsylJNY5ow3Bioqtd48BNSN2iahNBdwG39lLO_XTjFl36RiSMYdwdlPwcqf_EN0vW5Wshd5Jdcmfa-fL/s16000/AC256507-5.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><b>กุฏิสงฆ์และกุฏิสมเด็จ </b></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">เป็นประติมากรรมแบบล้านนาผสมไม่เหมือนกับที่ใด การตกแต่งหน้าบันและกรอบประตูหน้าต่างที่แปลกตา โดยมีรูปปั้นของพระเกษเกล้า ผู้ซึ่งถวายบ้านหัวเวียงให้เป็นอารามวัดโลกโมฬี</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPXaYfbP0Gz22GXJA3h5NyV_riZMrwVsbYcW4PX0u79KoyVEQixOSGu8x34fmj__hep5rjnnmxkYg11BtGX8yfBg2XfQYKwladz1QAC51j9A6Y1sNwUHXLw7Cp_YjSWymI9feoGJplEvo0aY5xUh--FCwbtzgrn8T1gZY0kkdDPV7k_7QXD18LrLky/s533/AC256507-6S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="533" data-original-width="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPXaYfbP0Gz22GXJA3h5NyV_riZMrwVsbYcW4PX0u79KoyVEQixOSGu8x34fmj__hep5rjnnmxkYg11BtGX8yfBg2XfQYKwladz1QAC51j9A6Y1sNwUHXLw7Cp_YjSWymI9feoGJplEvo0aY5xUh--FCwbtzgrn8T1gZY0kkdDPV7k_7QXD18LrLky/s16000/AC256507-6S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div>วัดโลกโมฬี เป็นวัดที่เก่าแก่ มีเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สวยงาม วิหารไม้ที่แกะสลักด้วยลวดลายแบบโบราณ นอกจากนี้ประตูวัดยังอยู่ตรงกับวิหารไม้ ซึ่งมองจากภายนอกจะดูยิ่งใหญ่ อลังการ สวยงามแปลกตา จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนเข้ามาสักการะ และกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล<br /><br /></div></div></div>
<hr /><span style="color: #666666;"><b>เรียบเรียง </b><br />ณิชากร เมตาภรณ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ<br /><br /><b>ภาพประกอบ</b><br />ศราวุธ เบียจรัส นักวิชาการโสตทัศนูปกรณ์ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ<br /><br /><b>อ้างอิง</b><br /><i>วัดโลกโมฬี</i>. (2562, 7 สิงหาคม). ใน วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 12 กรกฎาคม 2565 จากhttps://th.wikipedia.org/wiki/วัดโลกโมฬี</span><div><span style="color: #666666;"> <br /><i>วัดโลกโมฬี! ความรุ่งเรืองแห่งอดีตกาลของวัดวาอารามล้านนา</i>. (2562, 30 มีนาคม). https://palungjit.org/threads/วัดโลกโมฬี-ความรุ่งเรืองแห่งอดีตกาลของวัดวาอารามล้านนา.675108/<br /><i><br /></i></span></div><div><span style="color: #666666;"><i>วัดโลกโมฬี จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย</i>. (2564, 21 กุมภาพันธ์). https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=204</span></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-3751714090447173748.post-75781072963162111372022-09-29T14:21:00.000+07:002022-10-09T14:41:06.159+07:00วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตำนานเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของล้านนา<b> วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร</b> เป็นพระอารามหลวงในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมชื่อ <b>วัดโชติการามวิหาร</b> หมายถึง พระอารามที่มีความรุ่งเรืองสว่างไสว ความหมายอีกนัยหนึ่งของคำว่าโชติการาม คือ เวลาที่มีการจุดประทีปโคมไฟประดับบูชาองค์พระธาตุเจดีย์หลวง จะปรากฏแสงสีสว่างไสว มองเห็นองค์พระเจดีย์คล้ายเชิงเทียนที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง สว่างไสว มีความงดงาม สามารถมองเห็นได้แต่ไกล <br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiezniMZkBbPQrVXwxI6806ijS8l6442oLnu35LLDV_7mHB3LtqNPrSmw1U-C0ODxqLDY-YKKo5YO_blSdZB9x-riXJjR7F1KY2qC2qp8AQ-FjSUVOdiCXpmyQPTj0ppOptVDcaoF-Qlc5uWBt7yKxXPGxrQhaWCedzb8_s7WBHcZY-JtFGGMKfM6B7/s650/AC256508-00.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiezniMZkBbPQrVXwxI6806ijS8l6442oLnu35LLDV_7mHB3LtqNPrSmw1U-C0ODxqLDY-YKKo5YO_blSdZB9x-riXJjR7F1KY2qC2qp8AQ-FjSUVOdiCXpmyQPTj0ppOptVDcaoF-Qlc5uWBt7yKxXPGxrQhaWCedzb8_s7WBHcZY-JtFGGMKfM6B7/s16000/AC256508-00.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;">วัดเจดีย์หลวงสร้างอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์ลำดับที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ไม่ปรากฎปีที่สร้างแน่ชัด สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้น่าจะสร้างในปี พ.ศ.1928-1945 เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีการบูรณะมาหลายสมัย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดมาเป็น “วั<b>ดเจดีย์หลวง</b>” เนื่องจากในภาษาเหนือหรือคำเมือง “<b>หลวง</b>” แปลว่า “<b>ใหญ่</b>” หมายถึง พระเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ ทั้งนี้ได้แต่งตั้งให้มีเจ้าอาวาสปกครองวัดเจดีย์หลวง โดยเจ้าอาวาสองค์แรก คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) จนถึงปัจจุบันองค์ที่ 9 (กรกฎาคม 2565) คือ พระกิตติวิมล (อัมพร กตปุญฺโญ)</div><div><br /></div><div><b>โบราณสถานและสิ่งก่อสร้างที่สำคัญในวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร</b><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnws7w5nkajGQ8ePGv1EILOqJUFrjSQ9yw-1ukd895e5-O2w8Ls9xvDjE6eZ5Wkk3We6c-_HpBodroFZVpC4BruCWUszGLQLfw_f6j_wUi11vgcsO9CeeT8Vhbg79mj5SFhU6LpX9d7kLj28msJiRZ3goxHGVrflIAgH_HNDnyWsPnkgVIhIO8TwuJ/s641/AC256508-05.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="641" data-original-width="600" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnws7w5nkajGQ8ePGv1EILOqJUFrjSQ9yw-1ukd895e5-O2w8Ls9xvDjE6eZ5Wkk3We6c-_HpBodroFZVpC4BruCWUszGLQLfw_f6j_wUi11vgcsO9CeeT8Vhbg79mj5SFhU6LpX9d7kLj28msJiRZ3goxHGVrflIAgH_HNDnyWsPnkgVIhIO8TwuJ/s16000/AC256508-05.jpg" /></a></div><div style="text-align: left;"><br /></div></div><div><b>พระเจดีย์หลวง </b></div><div>พระเจดีย์หลวง เป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่ สร้างมาพร้อมกับวัดเจดีย์หลวง โดยเริ่มสร้างขึ้นในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา พระมหากษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พ.ศ. 1928-1945) ทรงปกครองอาณาจักรล้านนา ขณะที่พระองค์มีพระชนมมายุ 39 ปี ทรงโปรดให้สร้างพระเจดีย์หลวงใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่า เป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดาซึ่งสวรรคตไปแล้ว โดยมีตำนานเล่าว่า พญากือนาได้ปรากฏตัวให้พ่อค้าชาวเชียงใหม่ที่เดินทางไปค้าขายที่พม่า เพื่อมาบอกพญาแสนเมืองมาผู้เป็นโอรสว่า ให้สร้างเจดีย์ที่สูงใหญ่ไว้กลางเมือง ให้คนที่อยู่ไกล 2,000 วา สามารถมองเห็นได้ แล้วอุทิศบุญกุศลแก่พระบิดาให้สามารถไปเกิดในเทวโลกได้ ระหว่างที่กำลังก่อสร้าง พระองค์ก็เสด็จสวรรคต พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีผู้เป็นมเหสีและเป็นพระราชมารดาของพญาสามฝั่งแกน ทรงสำเร็จราชการแทน ด้วยเหตุที่พญาสามฝั่งแกนยังทรงพระเยาว์อยู่ พระองค์ได้สืบทอดเจตนารมณ์สร้างต่อจนเสร็จในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน พระมหากษัตริย์องค์ที่ 8 (พ.ศ. 1945-1984) โดยใช้เวลาสร้าง 5 ปี และเรียกกันว่า<b> กู่หลวง<br /><br /></b></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD_VBD1cncYdBLJBVdjMg0brNzM-iHp39RFag14rD7SzOiVxJrB_K4HJPOtR5Jdghrl56MT9xpWicM0x8b2Vcw8DC3eRgKKWwOM23V43D58CnpI2_mUEeXSvKAO2yD-CuVn3mzMbgYZTXHmcrbqCGqx8H2aGEbzpBfJ7BBCQCvWXBCEjakfQIYw-ef/s650/AC256508-02.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjD_VBD1cncYdBLJBVdjMg0brNzM-iHp39RFag14rD7SzOiVxJrB_K4HJPOtR5Jdghrl56MT9xpWicM0x8b2Vcw8DC3eRgKKWwOM23V43D58CnpI2_mUEeXSvKAO2yD-CuVn3mzMbgYZTXHmcrbqCGqx8H2aGEbzpBfJ7BBCQCvWXBCEjakfQIYw-ef/s16000/AC256508-02.jpg" /></a></div><br />พระธาตุเจดีย์หลวง (กู่หลวง) ที่พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีทรงให้ก่อสร้างต่อนั้น ทรงให้ยกฉัตรยอดมหาเจดีย์ แล้วปิดด้วยทองคำ พร้อมทั้งบรรจุแก้ว 3 ลูก ใส่ไว้ในยอดมหาเจดีย์ ประดับด้วยโขงประตูทั้ง 4 ด้าน มี พระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งในโขงทั้ง 4 ด้าน มีรูปปั้นพญานาค 5 หัว จำนวน 8 ตัว อยู่ 2 ข้างบันได รูปปั้นราชสีห์ 4 ตัว ตั้งอยู่ทั้งสี่มุมของมหาเจดีย์ มีรูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวง จำนวน 28 เชือก แต่ในประวัติศาสตร์มีเพียง 8 เชือกเท่านั้นที่มีการตั้งชื่อให้ การสร้างรูปปั้นช้างนั้น เป็นการส่งเสริมกำลังเมืองในทางด้านไสยศาสตร์ เพื่อให้เมืองมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพิธีการสักการบูชาพญาช้างทั้ง 8 เชือก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดสวัสดิมงคล นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง ศัตรูไม่กล้ามารุกรานย่ำยี เพราะชื่อพญาช้างที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นพลังอำนาจก่อเกิดเดชานุภาพ อิทธิฤทธิ์ ข่มขู่ บดบัง ขวางกั้น กำจัด ปราบปรามอริราชศัตรูที่จะมารุกราน ให้แพ้ภัยแตกพ่ายหนีไปเอง ชื่อช้าง 8 เชือกที่ล้อมเจดีย์หลวง นับจากเชือกที่อยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) เวียนมาตามทิศตะวันออก มีชื่อและความหมาย ดังนี้</div><div><div><ol style="text-align: left;"><li> เมฆบังวัน เมื่อศัตรูยกพลเสนามารุกราน ล่วงล้ำเข้ามาในเขตพระราชอาณาจักร จะเกิดอาเพศ ท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆหมอกปกคลุม ธรรมชาติวิปริตแปรปรวน น่ากลัวยิ่งนัก ทำให้ผู้รุกรานหวาดผวาภัยพิบัติ ตกใจกลัว แตกพ่ายหนีไป </li><li>ข่มพลแสน เมื่อผู้รุกรานยกทัพเข้ามาใกล้ แม้จะมีพลโยธาทหารกล้าเรือนแสน ก็จะเกิดอาการมึนเมาลืมหลง ไม่อาจครองสติยับยั้งอยู่ได้ ต้องระส่ำระส่าย แตกพ่ายหนีไป </li><li>ดาบแสนด้าม เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีศาตรา มีด พร้า ด้ามคมเป็นแสน ๆ เล่ม ก็ไม่อาจเข้าใกล้ทำร้ายได้ มีแต่จะเกิดหวาดหวั่นขาดกลัวแตกหนีไป </li><li>หอกแสนลำ เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลกล้าหาญมากมาย มีศาสตราอันคมยาว หอกแหลนหลาวเป็นแสน ก็ไม่อาจเข้ามาราวีได้ จึงต้องแตกพ่ายหนีไป </li><li>ปืนแสนแหล้ง เมื่อข้าศึกศัตรูผู้รุกรานเข้ามา แม้จะมีกำลังพลจำนวนมาก มีอาวุธปืนเป็นแสนกระบอก ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป</li><li>หน้าไม้แสนเกี๋ยง เมื่อผู้รุกรานบุกรุกเข้ามา แม้จะมีกำลังพลมากมาย มีหน้าไม้คันธนูเป็นแสน ๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้ ต้องแตกพ่ายหนีไป </li><li>แสนเขื่อนกั้น (แสนเขื่อนก๊าน) เมื่อข้าศึกอาจหาญล้ำแดนเข้ามา แม้ด้วยกำลังพล กองทัพช้างมีเป็นแสนเชือก ก็ไม่อาจหักหาญเข้ามาได้ มีแต่จะอลม่านแตกตื่นหนีไปสิ้น </li><li>ไฟแสนเต๋า เมื่อข้าศึกเข้ามาหมายย่ำยี ก็จะเกิดอาการร้อนเร่าเหมือนเพลิงหัตถี </li><li>เผาผลาญรอบด้าน เลยแตกพ่ายหนีไปด้วยความทุกข์ทรมาน</li></ol><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQ-5KMlPuWlae6tYi8imcBOSdzJY4o2vlA1zowE-RhmhU0lB15g6Z0c_pNOcElpzbc52rjMFU_WA41FbmPY-6ByYVyuEKXfMRQ4RlzdRWZAkBtr6TTsISCLQgh2mfNkEonW1Pqdp-Rx10BWR5aABDZfDa5cBhsHbRJNDu4OsBn2eGkPXLe2D0NQUIa/s650/AC256508-02A.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQ-5KMlPuWlae6tYi8imcBOSdzJY4o2vlA1zowE-RhmhU0lB15g6Z0c_pNOcElpzbc52rjMFU_WA41FbmPY-6ByYVyuEKXfMRQ4RlzdRWZAkBtr6TTsISCLQgh2mfNkEonW1Pqdp-Rx10BWR5aABDZfDa5cBhsHbRJNDu4OsBn2eGkPXLe2D0NQUIa/s16000/AC256508-02A.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><span style="color: #666666;">รูปปั้นช้างค้ำรายล้อมรอบองค์เจดีย์หลวง</span> </div><div style="text-align: left;"><div><br /></div><div>เจดีย์หลวง มีความสำคัญของเชียงใหม่ ในฐานะเป็นศูนย์กลางจักรวาลตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาลของชาวลัวะ ปรากฏในคัมภีร์มหาทักษาเมือง กล่าวถึงการสร้างวัดสำคัญในเมืองเชียงใหม่ โดยกำหนดให้สอดคล้องกับชัยภูมิและความเชื่อเรื่องทิศทั้ง 4 และทิศเฉียงอีก 4 รวมเป็น 8 ตำแหน่งที่ทิศทั้ง 8 มาบรรจบกันเกิดจุดศูนย์กลางเป็น 9 ถือเป็นเลขมงคล ตำแหน่งทั้ง 9 ที่สร้างตามทักษาเมือง คือ<br /><br /></div></div></div></div><blockquote style="border: none; margin: 0px 0px 0px 40px; padding: 0px; text-align: left;">เกตุเมือง จุดศูนย์กลางเมืองหรือสะดือเมือง วัดเจดีย์หลวง<br /> บริวารเมือง ทิศตะวันตก (ทิศปัจฉิม) วัดสวนดอก<br />อายุเมือง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) วัดเจ็ดยอด<br />เดชเมือง ทิศเหนือ (ทิศอุดร) วัดเชียงยืน<br />ศรีเมือง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) วัดชัยศรีภูมิ<br />มูลเมือง ทิศวะวันออก (ทิศบูรพา) วัดบุพพาราม<br />อุตสาหเมือง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (ทิศอาคเนย์) วัดชัยมงคล<br />มนตรีเมือง ทิศใต้ (ทิศทักษิณ) วัดนันทาราม<br />กาลกิณีเมือง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศหรดี) วัดตโปทาราม</blockquote><p>วัดเจดีย์หลวงเป็นพระอารามหลวงแบบโบราณ มีการบูรณะมาหลายสมัย ในรัชสมัยพญาติโลกราช พระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 (พ.ศ. 1984-2030) พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต นายช่างใหญ่ทำการปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์หลวง โดยมีพระมหาสวามีสัทธัมกิติ เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ของวัดเจดีย์หลวง เป็นผู้ควบคุมดูแลและประสานงาน มีการขยายเจดีย์ให้สูงและกว้างกว่าเดิม มีขนาดความกว้างด้านละ 60 เมตร และใช้เวลา 3 ปี จึงแล้วเสร็จ และทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้เป็นเวลานานถึง 80 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2011-2091 (ในปัจจุบันเป็นเพียงองค์จำลองของพระแก้วมรกต) ในรัชสมัยพระเจ้ายอดเชียงราย พระมหากษัตริย์องค์ที่ 10 (พ.ศ. 2030-2038) ได้ปิดทองภายในซุ้มจรนำของพระเจดีย์หลวงทั้ง 4 ด้าน</p><p>ในรัชสมัยพญาแก้ว (พระเจ้าเมืองแก้ว) พระมหากษัตริย์องค์ที่ 11 (พ.ศ. 2038-2068)พระองค์และชาวเมืองได้รวบรวมเงินได้ 254 กิโลกรัม มาทำกำแพงล้อมพระธาตุเจดีย์หลวง 3 ชั้น จากนั้นได้เอาเงินมาแลกเป็นทองคำได้จำนวน 30 กิโลกรัม แล้วแผ่เป็นแผ่นทึบหุ้มองค์พระเจดีย์หลวง เมื่อรวมกับทองคำที่หุ้มองค์พระเจดีย์หลวงอยู่เดิม ได้น้ำหนักทองคำถึง 2,382.517 กิโลกรัม </p><p>ในปี พ.ศ. 2088 สมัยพระนางจิรประภามหาเทวี พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 15 เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเชียงใหม่ ทำให้ยอดพระเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ หลังจากนั้นพระเจดีย์หลวงได้ถูกทิ้งให้ร้างมานาน 400 กว่าปี </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc-6wJwGEgIO5EUhrjMTu3l-XM9jN8IqjiVpeMUchwDwKj_GXYcNkSFWKnlGh4q4WuWg2h-Q_c4ToBitpM84Wo8B92nqTwoI8NJR-J3yaTJdFxwWGl_TDisJueU4SRLCw5z9QbOyACpNd9jv69MVioYHStqz8QuvJ5hzwqVa-ph1DjiS0ud55edrD0/s650/AC256508-04.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="455" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc-6wJwGEgIO5EUhrjMTu3l-XM9jN8IqjiVpeMUchwDwKj_GXYcNkSFWKnlGh4q4WuWg2h-Q_c4ToBitpM84Wo8B92nqTwoI8NJR-J3yaTJdFxwWGl_TDisJueU4SRLCw5z9QbOyACpNd9jv69MVioYHStqz8QuvJ5hzwqVa-ph1DjiS0ud55edrD0/s16000/AC256508-04.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;"><div><span style="color: #666666;">เจดีย์หลวงก่อนการบูรณะ</span></div><div><span style="color: #666666;">Scott Holcomb. (2517). https://www.flickr.com/photos/scottholcomb/albums/72157626179117294</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div style="text-align: left;">กรมศิลปากร ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระเจดีย์หลวงขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ใช้งบประมาณในการบูรณะ จำนวน 35 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2535 ปัจจุบันองค์เจดีย์มีความสูงคงเหลือ 40.8 เมตร ฐานกว้างด้านละ 60 เมตร</div><div style="text-align: left;"><br /></div><div><div style="text-align: left;"><b>หออินทขีลและเสาอินทขีล</b></div><div style="text-align: left;">หออินทขีล เป็นที่ประดิษฐานของเสาอินทขีลหรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ เป็นเสาก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่รูปหกเหลี่ยม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1839 เมื่อพ่อขุนเม็งรายมหาราช พระมหากษัตริย์องค์ที่ 1 (พ.ศ. 1839-1854) ได้สร้างเมืองเชียงใหม่ โดยเดิมเสาอินทขีลประดิษฐานอยู่ ณ วัดสะดือเมือง หรือวัดอินทขิล ซึ่งตั้งอยู่ ณ กลางเวียงเชียงใหม่ (ปัจจุบันก็คือบริเวณหอประชุมติโลกราช ข้างศาลากลางจังหวัดเก่า) ในตลอดรัชสมัยของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย วัดสะดือเมืองได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ ก่อนที่จะเป็นวัดร้างภายหลังล้านนาถูกพม่าเข้าปกครอง</div><div style="text-align: left;"> </div><div style="text-align: left;">จนกระทั่งสมัยพระเจ้ากาวิละ กษัตริย์องค์ที่ 1 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร ราวปี พ.ศ. 2343 ได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง เสาอินทขิลเดิมนั้นหล่อด้วยโลหะ ได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่เป็นเสาปูน วัดรอบได้ 67 เมตร แท่นพระสูง 0.97 เมตร วัดโดยรอบได้ 3.40 เมตร อยู่ในวิหารจตุรมุขแบบล้านนาที่มุงหลังคาด้วยแป้นเกล็ด โดยสร้างวิหารครอบเสาอินทขีลไว้ มีพระพุทธรูปปางรำพึงและบุษบกอยู่บนยอดเสา ความสูงจากฐานประมาณ 1 เมตร หออินทขีล ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวิหารหลวงของวัดเจดีย์หลวง</div><div><br /></div><div style="text-align: left;">ทุก ๆ ปีจะต้องมีพิธีสักระบูชาเสาอิทขิล เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชาวเชียงใหม่ ในช่วงปลายเดือน 8 ต่อเดือน 9 (เดือนพฤษภาคมต่อเดือนมิถุนายน) โดยเริ่มในวันแรม 3 ค่ำ เดือน 8 เรียกว่า “วันเข้าอินทขิล” ไปจนถึงในวันที่ 4 ค่ำ เดือน 9 เป็น “วันออกอินทขิล” จึงเรียกว่า เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก</div><div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEic2lg990HlPYW9dgNCyW2xDF_OVbFS0K3r4CAkJ3DWEbF_BgIj1C6BbyIbU1qS3YUnoLJcqJWUjS-ZZ7HUfXe7Aui8NSwYqComBZpTQlMevIL-h7WHNihOHiLaOm6RpHsQoBb-ILiUHGKKZR_nUY9TC-_GottfWnhUoz4FmYbltCzxnqUYZn_Bu7-0/s650/AC256508-09S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEic2lg990HlPYW9dgNCyW2xDF_OVbFS0K3r4CAkJ3DWEbF_BgIj1C6BbyIbU1qS3YUnoLJcqJWUjS-ZZ7HUfXe7Aui8NSwYqComBZpTQlMevIL-h7WHNihOHiLaOm6RpHsQoBb-ILiUHGKKZR_nUY9TC-_GottfWnhUoz4FmYbltCzxnqUYZn_Bu7-0/s16000/AC256508-09S.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">หออินทขีล และบุษบกและพระพุทธรูปปางรำพึงที่ประดิษฐานเหนือเสาอินทขีลภายในหออินทขีล</span></div><div style="text-align: left;"><br /></div><div style="text-align: left;"><br /></div><div style="text-align: left;"><b>กุมภัณฑ์ รักษาเสาอินทขิล</b></div><div style="text-align: left;">พระเจ้ากาวิละให้ก่อรูปกุมภัณฑ์ (ยักษ์) 2 ตน ไว้หน้าวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง) เพื่อคอยพิทักษ์เสาอินทนขีล โดยสร้างขึ้นเมื่อวันเสาร์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 พ.ศ. 2343 กุมภัณฑ์ในศาลด้านทิศใต้ มีนามว่า พญายักขราช ส่วนกุมภัณฑ์ในศาลด้านทิศเหนือมีนามว่า พญาอมรเทพ<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdLClyGkNdBOTeV3QyrjFtyLKD1FWPmqShskZZIDUzXGEMVYwUmsxTeTQLo2R464JnbYrBeT2Jxlb7oRf2c_Dd3XAJ_wMQ9Ii-VCn8KhVhXlvypS5UTkMcIzYC2OPiW1pa7Ro_TZpxQQsKAp_xtJxyM0DA3yeDgGoTK12AvQym8xXNvjT8TjGM1mk8/s650/AC256508-13.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjdLClyGkNdBOTeV3QyrjFtyLKD1FWPmqShskZZIDUzXGEMVYwUmsxTeTQLo2R464JnbYrBeT2Jxlb7oRf2c_Dd3XAJ_wMQ9Ii-VCn8KhVhXlvypS5UTkMcIzYC2OPiW1pa7Ro_TZpxQQsKAp_xtJxyM0DA3yeDgGoTK12AvQym8xXNvjT8TjGM1mk8/s16000/AC256508-13.jpg" /></a></div><span style="color: #666666;">พญายักขราช (ภาพซ้ายมือ) และพญาอมรเทพ (ภาพขวามือ)</span></div><div><div style="text-align: left;"><br /></div><div style="text-align: left;"><div><b>ต้นยางนา “ไม้หมายเมือง” อายุกว่า 200 ปี</b></div><div>วัดเจดีย์หลวงมีต้นไม้สำคัญที่เรียกว่า "ไม้หมายเมือง" อยู่สองต้น อายุกว่า 200 ปี คือต้นยางนา ซึ่งปลูกสมัยพระเจ้ากาวิละ สันนิษฐานว่า ปลูกขึ้นมาเพื่อให้เป็นต้นไม้เคียงคู่กับเมืองเชียงใหม่ หรือที่เรียกว่า “ไม้หมายเมือง” ในปีที่ย้ายราชธานีมาจากเวียงป่าซาง (ลำพูน) มาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่เป็นการถาวร เมื่อพ.ศ. 2339 โดยปลูกคู่กับเสาอินทขีลเพื่อเป็นมงคลแก่เมือง แต่เดิมต้นยางนาในบริเวณวัดเจดีย์หลวงเคยมีมากกว่านี้ ปัจจุบันเหลืออยู่ 2 ต้น ที่ยังคงยืนต้นอยู่คู่กับเสาอินทขีล ต้นหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวัด ด้านหลังวิหารเสาอินทขีล ส่วนอีกต้นอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ข้างวิหารบูรพาจารย์<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjPnm4FlGDXt4-KBGyeRg7pqan6ghEO316wQ1uOFMnKXTNytPsXr56vrVYPO3VRWdKFbif87MNvxYX-Czog-tlULb4NiSKspsBY_r9UlzB4RuMgQvXs_I5yayw9NSLdbhNeZt3QOnsOuIZaAAec0S93ueoT_6uCIWAAoxPotqIdJV7qhiTqr8hAufd/s650/AC256508-12.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="488" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjPnm4FlGDXt4-KBGyeRg7pqan6ghEO316wQ1uOFMnKXTNytPsXr56vrVYPO3VRWdKFbif87MNvxYX-Czog-tlULb4NiSKspsBY_r9UlzB4RuMgQvXs_I5yayw9NSLdbhNeZt3QOnsOuIZaAAec0S93ueoT_6uCIWAAoxPotqIdJV7qhiTqr8hAufd/s16000/AC256508-12.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both;"><div class="separator" style="clear: both;"><b>พระวิหารหลวงและพระอัฏฐารส</b> </div><div class="separator" style="clear: both;">ในปี พ.ศ. 2423 พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 7 ได้รื้อพระวิหารหลังเก่าและสร้างวิหารหลวงขึ้นใหม่ด้วยไม้ทั้งหลัง และช่วงปี พ.ศ. 2471-2481 สมัยพลตรีเจ้า</div><div class="separator" style="clear: both;">แก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย พระองค์และเจ้าคุณอุบาลีคุณปรมาจารย์ (สิริจันทะเถระ) ได้ให้มีการรื้อถอนสิ่งปรักหักพัง แผ้วถางป่าที่ขึ้นปกคลุมโบราณสถานต่าง ๆ ออก แล้วสร้างเสริมเสนาสนะขึ้นใหม่ และสร้างพระวิหารหลวงทรงล้านนาให้อยู่ตรงกลาง ภายในประดิษฐานพระประธานพระอัฏฐารส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประธานอภัย ศิลปะแบบเชียงใหม่ตอนต้น ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะปาละ (อินเดีย) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สูง 18 ศอก (8.23 เมตร) ส่วนด้านหน้าประตูทางเข้าวิหาร มีบันไดนาคเลื้อยใช้หางเกี่ยวกระหวัดขึ้นไปเป็นซุ้มประตูวิหาร <br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi32s0dTbWxHG0_0b4MJaNOPvbhLibpRSAfAuaOpZTTvofATqintHlzV7jZKzapMxUVGbWDedmegYCRuvmTYnclRTNC3xWzA7CBVz3veF8Vsz6VwmThv80gKfvHJoenYK3soNIw6fuSzAM1E1L_GemN09nNSs6kMm0AYerCKx8aUmZ7_KEWSBniQ0Um/s650/AC256508-10.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="434" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi32s0dTbWxHG0_0b4MJaNOPvbhLibpRSAfAuaOpZTTvofATqintHlzV7jZKzapMxUVGbWDedmegYCRuvmTYnclRTNC3xWzA7CBVz3veF8Vsz6VwmThv80gKfvHJoenYK3soNIw6fuSzAM1E1L_GemN09nNSs6kMm0AYerCKx8aUmZ7_KEWSBniQ0Um/s16000/AC256508-10.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">วิหารหลวงวัดเจดีย์หลวง</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="text-align: left;"><span style="color: #666666;">จาก รีวิวเชียงใหม่. (2564). https://www.reviewchiangmai.com/wat-chedi-luang/</span></span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFwz_EsHJGHvMYdqoWSuaXvjtFCwXtrUfizv7N56Emm-nwj9OHJbnShZ_GCIgDIRGKOIn4wLY8YqSSgXRjAR8lZPGuekOZXafCaUDvXma1dHJybIFrt6UlhciMuJ9-XuRngJW5mgdIpr_pvHJsRfSZzJLJf_ZrJt0TB5_bfG9WOQO52zTc6bgqhihx/s650/AC256508-11.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFwz_EsHJGHvMYdqoWSuaXvjtFCwXtrUfizv7N56Emm-nwj9OHJbnShZ_GCIgDIRGKOIn4wLY8YqSSgXRjAR8lZPGuekOZXafCaUDvXma1dHJybIFrt6UlhciMuJ9-XuRngJW5mgdIpr_pvHJsRfSZzJLJf_ZrJt0TB5_bfG9WOQO52zTc6bgqhihx/s16000/AC256508-11.jpg" /></a></div><div style="color: #666666; text-align: center;">ภาพพระอัฎฐารส. จาก foece8949. (2561). http://force8949.blogspot.com/2018/03/blog-post_28.html</div><div style="color: #666666; text-align: center;"><br /></div><b>เจดีย์บูรพาจารย์ วิหารหลวงปู่มั่น และวิหารจตุรมุขบูรพาจารย์ <br /></b><br />เจดีย์บูรพาจารย์ เป็นที่บรรจุอัฐิธาตุอดีตเจ้าอาวาสและบูรพาจารย์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับวัดเจดีย์หลวง<br /><br />วิหารหลวงปู่มั่น เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานบุษกบบรรจุอัฐิธาตุ ฟันกราม และรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริตตโต สร้างด้วยไม้สักลงรักปิดทอง รูปทรงแบบศิลปะสกุลช่างล้านนา<br /><br />วิหารจตุรมุขบูรพาจารย์ เป็นปูชนียสถานประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และอัฐิธาตุของบูรพาจารย์<br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDkfDFTKBvi5TJptdbAqyk5SJRHQc3cJjPCMyLGWdXkTKHgQRupOWsbY2MVJTUlANUQxRv20tgTVyn4fvg0RdWk4-M223t8-Uh5MgGh3-sDmUakaUaeR_B8vvCfbSPuwr5gj4Lf1wMUaBMa-psSU51B1gbayxUVs_9V9mbUnBwHVHvsvpu4bZFdlsd/s650/AC256508-14S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDkfDFTKBvi5TJptdbAqyk5SJRHQc3cJjPCMyLGWdXkTKHgQRupOWsbY2MVJTUlANUQxRv20tgTVyn4fvg0RdWk4-M223t8-Uh5MgGh3-sDmUakaUaeR_B8vvCfbSPuwr5gj4Lf1wMUaBMa-psSU51B1gbayxUVs_9V9mbUnBwHVHvsvpu4bZFdlsd/s16000/AC256508-14S.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;">วิหารหลวงปู่มั่น (ภาพซ้ายมือ) และวิหารจตุรมุขบูรพาจารย์ (ภาพขวามือ)</div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: left;"><div><b>พระนอน หรือพระพุทธไสยาสน์ </b></div><div>เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่คู่กับพระเจดีย์ สร้างด้วยการก่ออิฐฉาบปูดปิดทอง ประดิษฐานในอาคารข้างวิหารจุตรมุขบูรพาจารย์<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFHIx9chzLZ8B3LUvZ73FxL5TF9NdAkawfU29_S7aHPhsto0TMtV9SUIw4M9MOtzUOV9MAuxCgMD8bNKa8aNJpHa-YDligF9kNcn0uoBqzdHKbq46rgU9EpV8X4aOOHVVFyDVnKu-3i8T5y36FUvVuenrjC5ZpgkMWTBM-nbs7jOWif33oTBUhNzSn/s650/AC256508-15BS.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="433" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFHIx9chzLZ8B3LUvZ73FxL5TF9NdAkawfU29_S7aHPhsto0TMtV9SUIw4M9MOtzUOV9MAuxCgMD8bNKa8aNJpHa-YDligF9kNcn0uoBqzdHKbq46rgU9EpV8X4aOOHVVFyDVnKu-3i8T5y36FUvVuenrjC5ZpgkMWTBM-nbs7jOWif33oTBUhNzSn/s16000/AC256508-15BS.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span style="color: #666666;">พระพุทธไศยาสน์</span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><div class="separator" style="clear: both;"><b>บ่อเปิง </b></div><div class="separator" style="clear: both;">บอเปิง เป็นบ่อน้ำใหญ่และลึก ก่ออิฐกันดินพังไว้อย่างดี ขุดมาเพื่อนำน้ำมาใช้ในการสร้าง</div><div class="separator" style="clear: both;">พระเจดีย์หลวง สมัยพระเจ้าติโลกราช </div><div class="separator" style="clear: both;"><br /><b>หอธรรมและพิพิธภัณฑ์วัดเจดีย์หลวง</b></div><div class="separator" style="clear: both;">พระเจ้าติโลกราชทรงให้สร้างหอธรรม (หอพระไตรปิฎก) ขึ้นพร้อมมกับพระวิหารหลวงใหม่) ไว้ทางด้านเหนือองค์พระเจดีย์ ซึ่งในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการสร้างหอธรรมหลังใหม่และพิพิธภัณฑ์เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนาในบริเวณที่เป็นหอธรรมดั้งเดิมของคณะสังฆาวาสหอธรรมในอดีต โดยชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนสร้างด้วยไม้สัก ชั้นล่างจัดแสดงด้วยภาพถ่ายและชิ้นส่วนวัตถุโบราณบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัดเจดีย์หลวงตั้งแต่อดีต<br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTfGHFTFcb-F-bKAufF6DktlrmkEpo1sC3MsoSWIqBXHyn5q5xQfxrYBMbsmRLU0Up47URFeGcX3gEKEqlY9oI5JiftqKZ5LO8z9eBJmx2gzzOgF47cnol2lsx7I0HHtQvzjGpWfW16fEWJ7XLNx2CGF1NNRb51SnscznKG89Za3g-O_xdTIzl_HFE/s650/AC256508-16S.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="406" data-original-width="650" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTfGHFTFcb-F-bKAufF6DktlrmkEpo1sC3MsoSWIqBXHyn5q5xQfxrYBMbsmRLU0Up47URFeGcX3gEKEqlY9oI5JiftqKZ5LO8z9eBJmx2gzzOgF47cnol2lsx7I0HHtQvzjGpWfW16fEWJ7XLNx2CGF1NNRb51SnscznKG89Za3g-O_xdTIzl_HFE/s16000/AC256508-16S.jpg" /></a><br /><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: left;"><br /></div></div></div></div></div></div></div>
<hr /><b><span style="color: #666666;">เขียน/เรียบเรียง :</span></b><div><span style="color: #666666;">ณิชากรณ์ เมตาภรณ์ ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ<br /></span><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;"><b>ถ่ายภาพ:</b><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">ศราวุธ เบี้ยจรัส นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><b><span style="color: #666666;">อ้างอิง</span></b></div></div><div><div><span style="color: #666666;">การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป.). วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร. https://thai.tourismthailand.org/Attraction/วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร<br /><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">เพ็ญสุภา สุขคตะ. (ม.ป.ป.). ปริศนา “ต้นยางนา” จาก “ไม้หมายเมือง” สู่ “ถนนเชียงใหม่-ลำพูน” (ตอนที่ 2). https://www.yangna.org//ปริศนายางนา-2/</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">มิวเซียมไทยแลนด์. (ม.ป.ป.). ยางนาแห่งเชียงใหม่ ต้นไม้อันหมายถึงเมือง. https://www.museumthailand.com/en/3313/storytelling /ยางนาแห่งเชียงใหม่/</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">รีวิวเชียงใหม่. (2564, 13 กันยายน). วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร กับตำนานเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของล้านนา ที่อายุกว่า 600 ปี. https://www.reviewchiangmai.com/wat-chedi-luang/</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร. (2565, 6 มีนาคม). ใน วิกิพีเดีย สารนุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 28 กรกฎาคม 2565 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร</span></div><div><span style="color: #666666;"><br /></span></div><div><span style="color: #666666;">วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร. (2564, 3 กันยายน). https://www.paiduaykan.com/travel/วัดเจดีย์หลวง</span></div></div><div><br /></div>ict@northnfe.ac.thhttp://www.blogger.com/profile/09403079869738178346noreply@blogger.com