Showing posts with label ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. Show all posts
Showing posts with label ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. Show all posts

เสาดิน : สัญลักษณ์ทางธรรมชาติ มรดกทางธรณีวิทยา

“เสาดิน” เป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกหย่อมตะกอนที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน เป็นแท่ง เป็นกรวย เป็นหลืบ มียอดแหลม โผล่พ้นพื้นดินบนลานโล่ง ในทางธรณีวิทยาลักษณะภูมิประเทศแบบเสาดินเกิดขึ้นจากการผุพังและการกัดกร่อนโดยน้ำฝนเป็นตัวการ

ภาพโดย : กาญจนภัสส์ ทวีกิตติ

“เสาดิน” เป็นเสมือนผลงานแกะสลักอันน่าทึ่งจากธรรมชาติ เป็นลักษณะทางธรรมชาติที่ เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างพลังของน้ำฝน กาลเวลา และลักษณะของชั้นหิน ส่งผลให้เกิดเสาดินที่มีลักษณะแปลกตาแตกต่างกันไป ซึ่งเสาดินเกิดจากการผุพังและกัดเซาะหลุมยุบโดยน้ำฝน เริ่มต้นจากการเกิดหลุมยุบจากชั้นหินอ่อนที่อยู่ใต้ดินละลายหรือถูกกัดเซาะ ทำให้เกิดเป็นโพรงใต้ดิน เมื่อโพรงขยายใหญ่ขึ้น ชั้นดินด้านบนจะทรุดตัวลงเกิดเป็นหลุมยุบ เมื่อมีฝนตกลงมา น้ำฝนจะไหลผ่านหลุมยุบและชะล้างดินข้างหลุม โดยดินชั้นบนที่อ่อนนุ่มกว่าจะถูกกัดเซาะก่อน ดินชั้นล่างที่มีความแข็งแกร่งกว่าจะคงอยู่ เกิดเป็นเสาดินที่มีรูปร่างต่าง ๆ สวยงามแปลกตาแตกต่างกันไป โดยทั่วไปเสาดินจะมีรูปร่างเป็นแท่ง กรวย หลืบ และมีปลายแหลมประกอบใกล้กัน ทำให้เราจินตนาการเสาดินที่เราเห็นเป็นรูปร่างคล้ายกับสิ่งที่เรารู้จัก เช่น ปราสาท สัตว์ เป็นต้น

รูปร่างของเสาดินจะเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณน้ำฝน ประเภทของหิน และความลาดชันของพื้นที่ คือ ยิ่งมีปริมาณฝนมาก เสาดินจะถูกกัดเซาะจนมีรูปร่างที่เรียวแหลม ถ้าเป็นหินที่มีความแข็งแกร่งจะต้านทานการกัดเซาะได้ดีกว่า จะส่งผลให้เสาดินมีรูปร่างที่มั่นคง นอกจากนี้พื้นที่ที่มีความลาดชันทำให้น้ำฝนจะไหลผ่านได้เร็ว เสาดินจะมีรูปร่างแหลมชี้ และยิ่งใช้เวลานานในการกัดเซาะ
เสาดินจะมีรูปร่างที่แปลกตามากขึ้นไปอีก

เสาดิน ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ แสดงถึงxระวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาของพื้นที่ในประเทศไทย มีเสาดินที่คล้ายกันและมีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง เช่น แพะเมืองผี จังหวัดแพร่ โป่งยุบ จังหวัดราชบุรี ละลุ จังหวัดสระแก้ว เสาดินนาน้อย จังหวัดน่าน เสาดิน
ภูเรือ จังหวัดเลย เสาดินพระวิหาร จังหวัดอุดรธานี และเสาดินโคกสลุง จังหวัดลพบุรี

โป่งยุบ จังหวัดราชบุรี
ภาพจาก : ราชบุรีละไม. https://ratchaburilamai.wordpress.com//2014/02/06/โป่งยุบ/

แพะเมืองผี จังหวัดแพร่
ภาพจาก : องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/2305/

เสาดินบางแห่ง นอกจากจะเป็นสถานทีท่องเที่ยวแล้ว ยังมีตำนานและความเชื่อแฝงอยู่ด้วย เช่น เสาดินที่ชาวบ้านตั้งชื่อว่า “เสาปู่เขียว” ตั้งอยู่ในเสาดินนาน้อย ภายในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน มีตำนานเล่าขานต่อกันมาว่า ปู่เขียว เป็นหนุ่มในหมู่บ้านแต หมู่ 2 ตำบลเชียงของ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ซึ่งถูกสาวคนรักหักอก เลยหนีมาอาศัยร่มเงาเสาดินต้นนี้ และตรอมใจจนตาย เป็นที่มาของชื่อ “เสาปู่เขียว” ซึ่งเชื่อกันว่าคู่รักคู่ใดที่มากราบไหว้เสาดินต้นนี้ ก็จะสมหวังในความรัก

เสาปู่เขียว ในเสาหินนาน้อย จังหวัดน่าน
ภาพโดย  กาญจนภัสส์ ทวีกิตติกร

เสาดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าควรแก่การอนุรักษ์ เราทุกคนควรมีส่วนร่วมในการปกป้องเสาดิน โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำลายเสาดิน เช่น การปีนป่าย ไม่ควรทิ้งขยะบริเวณเสาดิน และสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การร่วมแรงร่วมใจของพวกเราทุกคน จะช่วยให้เสาดินคงอยู่เป็นสัญลักษณ์ทางธรรมชาติ มรดกทางธรณีวิทยาให้รุ่นลูกหลานได้สัมผัสและเรียนรู้ต่อไปตรานนานเท่านาน


เรียบเรียง :
กาญจนภัสส์ ทวีกิตติกร ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
• ฝ่ายนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.). (2562, 25 พฤศจิกายน). กำแพงดิน/เสาดิน. คลังความรู้ SciMath. https://www.scimath.org/image-earthscience/item
/11136-2019-12-02-02-33-58
ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี “เสาดินนาน้อย”. (ม.ป.ป). กรมศิลปากร.
https://www.finearts.go.th/main/view/25997-ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดี-เสาดินนาน้อย?type1=4
เสาดิน. กรมทรัพยากรธรณี. https://www.dmr.go.th/en/เขาดิน/ 

ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดในภาคเหนือ ตอนที่ 4 : ลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี

พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในส่วนของพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดภาคเหนือ ในตอนนี้ คือ ไม้มงคลประจำจังหวัดลำพูน สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี

14. ไม้มงคลประจำจังหวัดลำพูน : ต้นจามจุรี
  • ชื่อ : จามจุรี มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Samanea saman (Jacq.) Merr. ชื่อเรียกท้องถิ่นในไทย ได้แก่ จามจุรี (กรุงเทพฯ ตราด)  ก้ามกราม (ภาคกลาง)  ก้ามกุ้ง (อุตรดิตถ์) ก้ามปู (กรุงเทพฯ พิษณุโลก)/ ฉำฉา (ภาคกลาง ภาคเหนือ)  ตุ๊ดตู่ (ตราด)  ลัง สารสา สำสา (เหนือ)
  • ลักษณะทั่วไป : จามจุรีเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูง 10–20 เมตร แผ่พุ่มกว้างคล้ายร่ม  เปลือกต้นสีดำเป็นเกล็ดโตแข็งสีเขียวเข้ม 
    • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกคล้ายใบแค ปลายใบมนแกนกลางใบประกอบและก้านใบประกอบแยกแขนงตรงข้ามกัน บนแขนงมีใบย่อยรูปไข่หรือรูปรี หรือคล้ายรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ หลังใบเกลี้ยง 
    • ดอก ออกดอกเป็นรวมเป็นกระจุก สีชมพูอ่อน โคนดอกสีขาวออกตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง วงนอกช่อดอกมีขนาดเล็กกว่าดอกวงใน ดอกวงนอกมีก้านสั้น ดอกวงใยไม่มีก้าน ส่วนบนมีขนหนาแน่น ปลายหลอดกลีบดอกแยกเป็น 5 แฉก ออกดอกช่วงเดือนสิงหาคม-กุมภาพันธ์ 
    • ผลเป็นฝักแบนยาว ฝักอ่อนสีเขียว ฝักแก่สีน้ำตาล เนื้อในนิ่มสีดำ รสหวาน เมล็ดสีน้ำตาลเข้ม   ขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ : เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องเรือน และใช้ในอุตสาหกรรมแกะสลักไม้ภาคเหนือ ใบสดและฝักอ่อนใช้เป็นอาหารสัตว์ที่มีคุณประโยชน์มากสำหรับ วัว ควาย นอกจากนี้ใบยังใช้ทำปุ๋ยหมักเพื่อใช้ปรับปรุงสภาพดินเลวให้ดีขึ้น 
15. ต้นไม้มงคลประจำจังหวัดสุโขทัย : มะค่าโมง
  • ชื่อ : มะค่าโมง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib ไทยเรียก มะค่าโมง และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นของไทย เช่น ภาคกลางเรียก มะค่าใหญ่ มะค่าโมง ฟันฤาษี แต้โหล่น  ภาคเหนือเรียก มะค่าหลวง มะค่าหัวคำ ภาคอิสานเรียก เขง เบง (สุรินทร์) ปิ้น (นครราชสีมา) ภาคตะวันออกเรียก บิง (จันทบุรี)
  • ลักษณทั่วไป : เป็นต้นไม้ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง มีความสูงประมาณ 10-20 เมตร อาจสูงได้ถึง 30 เมตร ผลัดใบช่วงสั้น ๆ  
    • ลำต้น เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาล หรือน้ำตาลอมชมพู ต้นแก่มักมีปุ่มปม ผิวต้นขรุขระ กิ่งอ่อนมีขนประปรายปกคลุม เนื้อไม้มีลวดลายสวยงามสีน้ำตาลอมเหลือง 
    • ใบ ใบมะค่าโมงเป็นใบประกอบ ออกเรียงสลับตรงกันข้ามบนกิ่งแขนง ก้านใบหลักยาวประมาณ 18-30 เซนติเมตร ประกอบด้วยใบย่อยรูปไข่ 3-5 คู่ ใบย่อยมีก้านสั้น โคนใบมน ปลายใบแหลมมีติ่งสั้น ๆ ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา 
    • ดอก มะค่าโมงออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่งหรือซอกใบ ช่อดอกยาว 5–15 เซนติเมตร มีขนคลุมบาง ๆ ดอกคล้ายดอกถั่ว ดอกมีสีแดงเรื่อ ๆ หรือสีชมพู ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม  
    • ผล เป็นฝักแบนรูปขอบขนาน ผิวเปลือกเรียบ แข็ง หนา ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ พอแห้งแตกออกเป็น 2 ซีก ด้านในมีเมล็ด 2-5 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ : มะค่าโมงมีเนื้อไม้ที่แข็งแรง ทนทานเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลอมแดงและมีลวดลายที่สวยงาม นิยมนำไปใช้แปรรูปเป็นไม้แผ่นปูพื้น ไม้วงกบ ทำเสาบ้าน ฯลฯ และทำเฟอร์นิเจอร์ เปลือกของมะค่าโมงจะมีรสฝาด นิยมใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง 
16. ไม้มงคลประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ : ต้นสัก
  • ชื่อ : ต้นสักมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis L.f. ชื่อสามัญ Teak ชื่อท้องถิ่นอื่นของไทย ได้แก่ ปีฮี ปีฮือ เป้อยี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปายี้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), เส่บายี้ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร), เคาะเยียโอ (ละว้า-เชียงใหม่) เป็นต้น
  • ลักษณะทั่วไป : ไม้ต้นขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ ผลัดใบในฤดูร้อน ลำต้น เป็นเปลาตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็กๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่ำ ๆ เปลือกหนาประมาณ 0.3-1.7 เซนติเมตร เนื้อไม้มีสีเหลืองทองถึงน้ำตาลแก่ เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ 
    • ใบ เป็นใบเดี่ยวใหญ่มาก ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ปลายใบแหลมโคนมน ยาว 25-30 เซนติเมตร กว้างเกือบเท่ายาว ใบของต้นอ่อนจะใหญ่กว่านี้มาก ผิวใบมีขนสากคายสีเขียวเข้ม ขยี้ใบสดจะมีสีแดงเหมือนเลือด 
    • ดอก มีขนาดเล็ก สีขาวนวลออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ออกดอกและเป็นผลในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม 
    • ผล เป็นผลแห้งค่อนข้างกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร เปลือกแข็ง ภายในมี 1-3 เมล็ด
  • ประโยชน์ : ไม้สักทองเป็นไม้โตเร็วปานกลางและเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีลักษณะพิเศษกว่าไม้ชนิดอื่น โดยเฉพาะเนื้อไม้ มอด ปลวก และแมลง ไม่ทำอันตราย เนื้อไม้มีสีเหลืองทอง ลวดลายสวยงาม เลื่อยไสกบตบแต่งง่าย จึงนิยมใช้ทำบ้านเรือนที่ วงกบ กรอบและบานประตูหน้าต่าง ทำเฟอร์นิเจอร์ แกะสลัก 
17. ต้นไม้มงคลประจำจังหวัดอุทัยธานี : ต้นสะเดา

ชื่อ : สะเดามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Azadirachta indica A. Juss. ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น สะเลียม (ภาคเหนือ)  กะเดา (ภาคใต้)

  • ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 20 เมตร สูง 5-10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกต้นสีเทาอมน้ำตาล แตกเป็นร่องลึกตามยาว 
    • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบย่อยเรียวแหลม รูปใบหอก กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบเบี้ยว ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย โคนใบมนไม่เท่ากัน แผ่นใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน 
    • ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสีขาวนวล กลีบเลี้ยงมี 5 แฉก โคนติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก 
    • ผล รูปทรงรี ขนาด 0.8-1 ซม. ผิวเรียบ ผลอ่อนสีเขียว สุกเป็นสีเหลืองส้ม ผิวบาง มีเนื้อฉ่ำน้ำ เมล็ดเดี่ยว รูปรีขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ : ดอกและยอดอ่อนนิยมบริภาคเป็นผัก ใบและผลใช้เป็นยาฆ่าแมลงและควบคุมแมลงศตรูพืชโดยไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ทุกส่วนสะเดายังมีสรรพคุณเป็นยา เช่น ราก แก้ลม เสมหะที่แน่นในอก จุกคอ  ใบเป็นยาพอกฝี เป็นยาฆ่าแมลง ดอกเป็นยาช่วยเจริญอาหารและช่วยย่อยอาหาร แก้พิษ เลือดกำเดา บำรุงธาตุ  ผลแก้โรคหัวใจผลอ่อน ใช้ถ่ายพยาธิ แก้ริดสีดวง และปัสสาวะพิการ นอกจากนี้ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนและทำเฟอร์นิเจอร์ได้ด้วย

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรียบเรียง :
วราพรรณ พูลสวัสดิ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
• กรมป่าไม้. สำนักงานส่งเสริมการปลูกป่า. ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด.  https://www.forest.go.th/nurseryสาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด
• อุทยานหลวงราชพฤกษ์. (2560, 5 กันยายน). จามจุรี. https://www.royalparkrajapruek.org/Plants/view?id=1256
• ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์. มะค่าโมง. http://www.qsbg.org/database
/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=964 964
• สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย). มะค่าโมง. https://adeq.or.th/มะค่าโมง/
• สัก สรรพคุณและประโยชน์ของต้นสัก 20 ข้อ ! (สักทอง). (2563. 10 มิถุนายน). Medthai. https://medthai.com/สัก/
• อุทยานหลวงราชพฤกษ์. (2560, 05 กันยายน). สัก. https://www.royalparkrajapruek.org/Plants/view?id=1371
• ระบบจัดการข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ข้อมูลต้นไม้ : สัก. https://buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=572

ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดในภาคเหนือ ตอนที่ 3 : พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง

พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 

ในส่วนของพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดภาคเหนือ ในตอนนี้ คือ ไม้มงคลประจำจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง

9. ต้นไม้มงคลประจำจังหวัดพิษณุโลก : ปีบ
  • ชื่อ : ต้นปีบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Millingtonia hortensis L.f. ชื่อสามัญ คือ Indian cork tree, Tree jasmine ชื่อท้องถิ่นในประเทศไทย ได้แก่ ปีบ กาซะลอง กาสะลอง (ภาคเหนือ) เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
  • ลักษณะทั่วไป : ปีบ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นตรงสูงโปร่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาในระดับสูง  
    • ลำต้น เปลือกลำต้นหนา ขรุขระ สีเทาหรือน้ำตาลอมเทา แตกเป็นร่องตามยาว 
    • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกสามชั้น เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก มีใบย่อยจำนวนมาก ลักษณะใบมีรูปไข่แกมรูปใบหอก รูปขอบขนาน หรือรูปคล้ายสามเหลี่ยม กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือตัดขอบหยักเป็นซี่ฟัน และเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ด้านล่างมีขนตามซอกระหว่างเส้นกลางใบกับเส้นแขนงใบ 
    • ดอก ออกดอกในช่วงเดือนพศจิกายน-พฤษภาคม ดอกบานให้กลิ่นหอมตลอดทั้งวัน ออกดอกตามปลายกิ่งเป็นช่อกระจุกแยกแขนง แต่ละช่อยาว 10-35 เซนติเมตร ในช่อมีดอกจำนวนมาก ดอกย่อยประกอบด้วย กลีบเลี้ยงสีเขียว กว้างประมาณ 0.5 ซม. ยาวประมาณ 0.5 ซม. เชื่อมกันเป็นรูประฆังปลายตัด กลีบดอกมีสีขาว กลิ่นหอม โคนดอกมีลักษณะเป็นหลอดแคบ ๆ ยาว 6-9 ซม. ปลายหลอดบานออกเป็นปากแตรแยกออกเป็น 5 แฉก ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่  ก้านเกสรยาวไม่เท่ากัน มีทั้งก้านสั้นและยาวอย่างละ 1 คู่ และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบดอก 
    • ผล เป็นฝักแบนยาว มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีปีก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ : ปีบเป็นพืชที่นำมาใช้ในการรักษาโรคได้หลายชนิด ในตำรายาของไทย เช่น รากใช้ บำรุงปอด รักษาวัณโรค อาการหอบหืด ดอกใช้รักษาอาการหอบหืด ไซนัสอักเสบ เพิ่มการหลั่งน้ำดี (cholagogue) เพิ่มรสชาติ นำดอกปีบแห้ง 6-7 ดอก ผสมยาสูบมามวนเป็นบุหรี่ สำหรับสูบสูด เพื่อรักษาอาการหอบหืด ใบใช้มวนบุหรี่สูบขยายหลอดลม ใช้รักษาอาการหอบหืดได้เช่นกัน
10. ต้นไม้มงคลประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ : ต้นมะขาม
  • ชื่อ : ต้นมะขาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tamarindus indica L.ชื่อสามัญ คือ Tamarind ชื่อท้องถิ่นในประเทศไทย ได้แก่ มะขามไทย (ภาคกลาง) ขาม (ภาคใต้) ตะลูบ (โคราช) ม่วงโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อำเปียล (จังหวัดสุรินทร์)
  • ลักษณะทั่วไป : ต้นมะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 6-20 เมตร ขนาดทรงพุ่มแน่น แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม 
    • ลำต้น ลำต้นแข็งแรง เปลือกลำต้นสีน้ำตาลอ่อน หนา ขรุขระและแตกเป็นร่องเล็ก 
    • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเป็นคู่ 10–15 คู่ เรียงกันตามก้านใบ ปลายใบและโคนใบมน 
    • ดอก ออกดอกเป็นช่อเล็กๆ อยู่ตามบริเวณปลายกิ่ง ขนาดเล็ก มีกลีบสีเหลือง และมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาวโค้ง ยาว 3-20 ซม. 
    • ผล ผลเป็นฝัก ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน ในฝักมีเมล็ด 3–12 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมัน และมีสีน้ำตาล
  • ประโยชน์ : นำมาใช้เป็นยา ใช้เนื้อฝักแก่ (มะขามเปียก) แก้อาการท้องผูก แก้ไอขับเสมหะ เปลือกต้นทั้งสดหรือแห้งประมาณ ต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำรับประทานแก้อาการท้องผูก เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกเอาออกเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานถ่ายพยาธิได้ ส่วนเนื้อไม้มะขามใช้ทำเขียง ครก สาก กระดุมเกวียน หรือเผาถ่าน
 11. ไม้มงคลประจำจังหวัดแพร่ : ต้นยมหิน
  • ชื่อ : ยมหินมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chukrasia velutina Wight & Arn. ชื่อสามัญคือ Almond-wood ชื่มีอท้องถิ่นในไทยแตกต่างกันไปตามภูมิภาค เช่น มะเฟืองช้าง สะเดาช้าง สะเดาหิน ยมหิน (ภาคกลาง)  ยมขาว (ภาคเหนือ)  ช้ากะเดา (ภาคใต้)  เสียดค่าย (สุราษฎร์ธานี)  โค้โย่ง (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ฝักดาบ (จันทบุรี)  เสียดกา (ปราจีนบุรี) 
  • ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงขประมาณ 15-25 เมตร  เรือนยอดเป็นพุ่มรูปกรวยต่ำ ๆ 
    • ลำต้น ลำต้นเปลาตรง มีพูพอนที่โคนต้น เปลือกสีน้ำตาลคล้ำ สีเทา หรือเทาปนดำ แตกเป็นร่องลึกตามยาวของลำต้น และมีรูระบายอากาศทั่วไป  
    • ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรียงสลับเยื้องกันเล็กน้อย แผ่นใบย่อยรูปดาบ ท้องใบมีขนนุ่ม หลังใบเกลี้ยง  
    • ดอก ดอกเล็ก สีเขียวแกมเหลือง ออกเป็นช่อตาม ปลายกิ่ง  ผล ออกผลเป็นพวง ผลเป็นรูปทรงรีหรือรูปไข่ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.8-4 เซนติเมตร
    • ผล ผลเป็นสีน้ำตาล เมื่อสุกจะเปลี่ยนสีดำ เมื่อแห้งหรือแก่จะแตกเป็น 3-5 เสี่ยง
  • ประโยชน์ : เนื้อไม้สีน้ำตาลอมเหลือง เป็นมัน เนื้อละเอียด ไสกบตกแต่งง่าย ชักเงาได้ดี ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ทำเสา ขื่อ รอด ตง กระดาน ทำเครื่องเรือน ด้ามเครื่องมือ และไม้อัด

12. ไม้มงคลจังหวัดแม่ฮ่องสอน : ต้นกระพี้จั่น

  • ชื่อ : ต้นกระพี้จั่นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Millettia brandisiana Kurz และมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นของไทย คือ จั่น (ภาคกลาง สุโขทัย)  พี้จั่น(ภาคกลาง จันทบุรี) ปี๊จั่น (ภาคเหนือ)  
  • ลักษณะทั่วไป : กระพี้จั่นเป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง  สูง 8-20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลม โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกสีน้ำตาลหรือน้ำตาลเทาแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ตามกิ่งมีรอยแผลทั่วไป 
    • ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว เรียงเวียนสลับ ใบย่อยรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบทู่ โคนใบมนหรือสอบเบี้ยวเล็กน้อย ขอบเรียบ หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางกว่า ใบแก่เกลี้ยง มีขนประปรายตามเส้นกลางใบด้านล่าง 
    • ดอก ดอกเป็นช่อแยกแขนง ออกตามกิ่งและง่ามใบ ดอกย่อยสีม่วงแกมขาว หรือสีชมพูอมม่วง รูปถั่ว กลีบเลี้ยงสีม่วงดำเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆัง ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 
    • ผล ติดผลเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลแห้งแก่แล้วแตกสองแนว ฝักแบน โคนแคบกว่าปลาย กว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 9-12 เซนติเมตร เปลือกเกลี้ยงหนาคล้ายแผ่นหนัง ขอบเป็นสัน เมล็ดสีน้ำตาลดำ 1-4 เมล็ด
  • ประโยชน์ : เป็นไม้ประดับเนื่องจากมีช่อดอกที่สวยงาม เมื่อออกดอกจะทิ้งใบ และผลิดอกสีม่วงอมครามกระจ่างไปทั้งต้น เนื้อไม้ นำใช้ในการก่อสร้าง ใช้ทำเครื่องมือช่าง หรือเครื่องมือการเกษตร ทำเยื่อกระดาษ
13. ไม้มงคลประจำจังหวัดลำปาง : ต้นขะจาว   
  • ชื่อ : ขะจาว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Holoptelea integrifolia (Roxb.) Planch. ชื่อสามัญคือ Indian Elm ชื่อท้องถิ่นในไทย ได้แก่ กระเจา กระเชา (ภาคกลาง) กระเจาะ ขะเจา (ภาคใต้) กระเช้า (กาญจนบุรี) กะเซาะ (ราชบุรี) กาซาว (เพชรบุรี) ขะจาวแดง ฮังคาว (ภาคเหนือ) ตะสี่แค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) พูคาว (นครพนม) มหาเหนียว (นครราชสีมา) ฮ้างค้าว (อุดรธานี เชียงราย ชัยภูมิ)
  • ลักษณะทั่วไป : ขะจาว เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร มักแตกง่ามใกล้โคนต้น เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา มีต่อมระบายอากาศเป็นจุดกลมเล็ก ๆ สีขาวตามลำต้น เรือนยอดเป็นพุ่มรูปไข่กว้างค่อนข้างทึบ 
    • ลำต้น ลำต้นเปลา (สูงชะลูดไม่มีกิ่งที่ลำต้น) เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา 
    • ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรีป้อมกว้าง 4-9 เซนติเมตร ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนใบมนหรือป้าน ปลายใบเรียวแหลม ก้านใบมีขน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นจักฟันเลื่อยห่าง ๆ 
    • ดอก ขะจาวออกดอกเป็นช่อกระจุก ช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ ช่อดอกยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีแดงออกน้ำตาล มีกลีบ 5-6 กลีบ ออกดอกเดือนธันวาคม-มกราคม 
    • ผล ผลเป็นรูปโล่แบน มีปีกบางล้อมรอบ มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด บริเวณปีกมีลายเส้นออกเป็นรัศมีโดยรอบมีปีกบางล้อมรอบ
  • ประโยชน์ : ต้นขะจาวเป็นไม้เนื้อแข็ง มีเปลือกหุ้มต้นที่เหนียวมาก มีกลิ่นเหม็นเขียว สามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เนื้อไม้ ใช้ทำสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในร่ม ทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ เสียม ทำพานท้ายปืน เส้นใยจากเปลือกเหนียว ใช้ทำเชือก ผ้าและกระสอบ เปลือกมีสรรพคุณทางยา ใช้ทำยารักษาเรื้อนสุนัข กันตัวไร และเป็นยาแก้ปวดตามข้อ 

เรียบเรียง :
วราพรรณ พูลสวัสดิ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง : 
• กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด. https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด
• อุทยานหลวงราชพฤกษ์. ปีบ. https://rpplant.royalparkrajapruek.org/Display/Details_fn/3656
ยมหิน สรรพคุณและประโยชน์ของต้นยมหิน 5 ข้อ !. (2563, 20 พฤษภาคม). Medthai. https://medthai.com/ยมหิน/

ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดในภาคเหนือ ตอนที่ 2 : นครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร

พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในส่วนของพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดภาคเหนือ ในตอนนี้ คือ ไม้มงคลประจำจังหวัดนครสวรรค์ น่าน พะเยา พิษณุโลก

5. จังหวัดนครสวรรค์ : ต้นเสลา (ต้นอินทรชิต)
  • ชื่อ : เสลา (สะ-เหลา) มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “อินทรชิต” มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Lagerstroemia loudonii Teijsm. & Binn. และมีชื่อเรียกอื่น ๆ ได้แก่ เกรียบ ตะเกรียบ ตะแบกขน เสลาใบใหญ่
ภาพจาก อุทยานหลวงราชพฤกษ์  https://www.royalparkrajapruek.org/news/news_detail?newsid=566
  • ลักษณะทั่วไป : เสลาเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10–20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ กิ่งห้อยย้อย โน้มลงรอบ ๆ ทรงพุ่ม ลำต้นกลม เปลือกลำต้นมีเทาแกมดำ ลำต้นแตกเป็นร่องเล็ก ๆ ตามยาวลำต้น 
    • ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปขอบขนาน ขนาดความกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร และยาว 16-25 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลมเป็นติ่งโค้งมน ยอดอ่อนมีขนปกคลุมเล็กน้อยผิวใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน 
    • ดอก ออกดอกเป็นช่อรูปทรงกระบอกที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกย่อยสีม่วงอมชมพู หรือม่วงอมขาว กลีบดอกจะมีประมาณ 6-8 กลีบ เมื่อดอกบานจะมีขนาดความกว้างประมาณ 6-8 เซนติเมตร ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม เวลาออกดอกจะทั้งใบทั้งต้น 
    • ผล ต้นเสนาจะติดผลในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนกรกฎาคม ผลรูปทรงกลม ยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร ผิวนอกผลแข็ง ผลมีสีเขียวอ่อน เมื่อผลแก่จะมีสีน้ำตาล และเมื่อผลแห้งจะแตกออก ภายในผลมีเมล็ดอยู่จำนวนมาก เมล็ดแบนมีสีน้ำตาลอมเหลือง นิยมขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ : นิยมปลูกเพื่อสร้างร่มเงาและความร่มรื่นให้กับบริเวณโดยรอบ และด้วยความที่ต้นเสนามีดอกสีม่วงอมชมพูสวยงาม จึงนิยมปลูกไว้เพื่อประดับตกแต่งสวน นอกจากนี้เนื้อไม้ของต้นเสนามีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง จึงนิยมนำมาทำเครื่องมือ ทำพื้น หรือใช้ทำเป็นไม้แกะสลักให้ดูสวยงาม
6. ไม้มงคลประจำจังหวัดน่าน : ต้นกำลังเสือโคร่ง
  • ชื่อ : ต้นกำลังเสือโคร่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betula alnoides Buch.-Ham.ex G.Don ชื่อสามัญคือ Birch ส่วนชื่อท้องถิ่นอื่นของไทย เช่น กำลังพญาเสือโคร่ง
  • ลักษณะทั่วไป : กำลังเสือโคร่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 20–35 เมตร 
    • ลำต้น ลำต้นมีต่อมระบายอากาศเป็นจุดขาวเล็ก ๆ ปะปนกันอยู่ เปลือกไม้มีสีน้ำตาลเทา มีกลิ่นคล้ายการบูร เวลาแก่จะลอกออกเป็นชั้น ๆ คล้ายกระดาษ ที่ยอดอ่อน ก้านใบ และช่อดอกมีขนสีเหลืองหรือสีน้ำตาลปกคลุม ขนเหล่านี้จะลดน้อยลง ๆ เมื่อแก่  
    • ใบ ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่แกมรูปหอก หรือรูปหอก เนื้อใบบางคล้ายกระดาษ ด้านใต้ของใบมีตุ่ม โคนใบป้านเกือบเป็นเส้นตรง ขอบใบหยักแบบฟันเลื่อยสองชั้นหรือสามชั้น ซี่หยักแหลม ปลายใบเรียวแหลม 
    • ดอก กำลังเสือโคร่งออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ แห่งละ 2-5 ช่อ ลักษณะเป็นช่อยาวแบบหางกระรอก ดอกย่อยไม่มีก้าน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียแยกกันอยู่ ช่อดอกเพศผู้ยาว 5–8 เซนติเมตร กลีบรองดอกเป็นรูปโล่หรือเกือบกลม มีแกนอยู่ตรงกลาง ช่อดอกเพศเมียยาว 3–9 ซม. กลีบรอบดอกไม่มีก้านมี 3 หยัก ด้านนอกมีขน รังไข่แบน กรอบนอกเป็นรูปไข่หรือเกือบกลม มีขน ท่อรังไข่ยาวกว่ารังไข่เล็กน้อย ออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
    • ผล เป็นผลระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธุ์ ผล มีลักษณะแบน กว้าง 2-6 มิลลิเมตร ยาว 2-14 มิลลิเมตร มีปีกโปร่งบางอยู่ทั้ง 2 ข้างของผล  ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด 
  • ประโยชน์ : เนื้อไม้ของกำลังเสือโคร่ง มีเนื้อค่อนข้างละเอียด แข็งปานกลาง มีลวดลายสวยงามไสกบตกแต่งง่าย ขัดชักเงาได้ดี จึงใช้ในการก่อสร้าง ทำพื้น เครื่องเรือน ได้ดี เปลือกมีกลิ่นหอมคล้ายการบูร ใช้ต้มเป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย เจริญอาหาร แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
7. ไม้มงคลประจำจังหวัดพะเยา : ต้นสารภี
  • ชื่อ : ชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นสารภี คือ Mammea siamensis (Miq.) T.Anderson ต้นสารภีไม่มีชื่อสามัญที่ใช้ทั่วไปในภาษาอังกฤษ ชื่อท้องถิ่นอื่นของไทย ได้แก่ ทรพี (จันทบุรี) สร้อยพี (ใต้) สารพีแนน (เชียงใหม่ เหนือ)
  • ลักษณะทั่วไป : สารภีเป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 10-15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ 
    • ลำต้น ลำต้นตรง เปลือกลำต้นสีเทา-เทาดำ แตกเป็นสะเก็ดตลอดลำต้น แตกกิ่งแน่น ปลายกิ่งมักห้อยลง ลำต้นและกิ่งมียางสีขาว 
    • ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบรูปรีขอบขนาน-รูปไข่กลับแกมขอบขนาน กว้าง 4-7 เซนติเมตร ยาว 14-20 เซนติเมตร ปลายมน โคนใบสอบเรียวแหลมถึงก้านใบ ขอบเรียบ ใบค่อนข้างหนา แข็งเป็นมัน เส้นแขนงใบจำนวนมาก 
    • ดอก เป็นดอกเดี่ยว สีขาว ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ออกดอกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง มีกลีบเลี้ยง 2 กลีบ กลีบดอก 4-5 กลีบ กลิ่นหอมแรง ร่วงง่าย มีเกสรเพศผู้สีเหลืองจำนวนมาก ออกดอกในช่วงมกราคม-มีนาคม 
    • ผล เป็นผลประมาณกุมภาพันธ์-เมษายน ผลขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ทรงรีรูปไข่-กระสวย ปลายแหลม ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลือง มีเมล็ดขนาดใหญ่ 1 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เป็นพืชที่พบกระจายพันธุ์ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า เวียดนาม และไทย
  • ประโยชน์ เป็นพืชสมุนไพร มีสรรพคุณทางยา ดอกสดและแห้ง ใช้เข้ายาหอมบำรุงกำลัง หัวใจ ปอด แก้อ่อนเพลีย เจริญอาหาร แก้ไข้ แก้ลมเวิงเวียนศรีษะ แก้ร้อนใน  ดอกตูม ใช้ยอมผ้าไหม ให้สีแดง ผลสุกรับประทานได้ มีรสหวาน เป็นยาบำรุงหัวใจ ขยายหลอดโลหิต เนื้อไม้ใช้ทำเสา พื้นและฝา
8. จังหวัดพิจิตร : ต้นบุนนาค
  • ชื่อ : ต้นบุนนาค มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mesua ferrea  L. ชื่อสามัญคือ Iron Wood, Ceylon Iron Wood, Indian Rose Chestnut ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ของไทย คือ ปะนาคอ ก๊าก่อ ก้ำก่อ นาคบุตร สารภีดอย
  • ลักษณะทั่วไป : บุนนาคเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-25 เมตร ลักษณะเป็นทรงยอดพุ่มทึบและแคบ มีพูพอนเล็กน้อยตามโคนต้น 
    • ลำต้น ลำต้นเปลาตรง เปลือกลำต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา สีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกตื้น ๆ หลุดร่วงได้ง่าย 
    • ใบ ใบบุนนาคเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ลักษณะใบคล้ายรูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 8-10 เซนติเมตร แผ่นใบหนา ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ใบอ่อนสีชมพู ส่วนใบแก่ด้านบนสีเขียวเข้ม ใต้ใบมีนวลมีเทา-ขาว เส้นใบถี่ 
    • ดอก ดอกมีขนาดใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-10 เซนติเมตร ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 2-3 ดอกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว 4-5 เรียงซ้อนกัน มีกลิ่นหอมเย็น ส่งกลิ่นไปได้ไกล ดอกบานวันเดียว เกสรเพศผู้เป็นฝอยสีเหลืองจำนวนมาก ออกดอกในช่วงในช่วงระหว่างฤดูร้อนถึงฤดูฝนประมาณเดือนมีนาคม-กรกฎาคม 
    • ผล ผลเป็นรูปไข่ ขนาด 2x4 เซนติเมตร เปลือกแข็ง มีเมล็ด 1-2 เมล็ด ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ : ต้นบุนนาคนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะมีดอกหอมและสวยงาม มีทรงพุ่มสวย ใบเขียวเข้มตลอดปี ให้ร่มเงาได้ เนื้อไม้แข็งและเหนียว แก่นมีสีแดงเข้ม แข็งแรงทนทาน ขัดเงาได้ดี เหมาะสำหรับสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน ทำหมอนรองรางรถไฟ ทำเสาสะพาน ต่อเรือน ต่อเกวียน ไม้เท้า ด้ามร่ม ทำสายพานท้ายปืน ฯลฯ ดอกสามารถนำมาใช้กลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหย นำมาใช้ในการอบเครื่องหอมได้เป็นอย่างดี และยังใช้ในการแต่งกลิ่นสบู่อีกด้วย น้ำมันที่กลั่นจากเมล็ดบุนนาค ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ และนำมาใช้จุดตะเกียงให้กลิ่นหอม นอกจากนี้ในตำรายาแผนไทยระบุว่า สามารถนำบุนนาคมาใช้ประโยชน์ทางยาสมุนไพรได้ทุกส่วนของต้น เช่น รากแก้ลมในลำไส้  เปลือกใช้กระจายหนอง  กระพี้แก้เสมหะในลำคอ  เป็นยาแก้ลักปิดลักเปิด  ใบพอกแผลสด  ดอกบำรุงโลหิต

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรียบเรียง :
วราพรรณ พูลสวัสดิ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
• กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. (ม.ป.ป.). ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด
https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด/
• 
ต้นเสลา พันธุ์ไม้พระราชทาน ไม้มงคล นิยมปลูกประดับสวน เพื่อความสวยงาม. (ม.ป.ป.). เกษตรทูเดย์. 
https://kaset.today/พันธุ์ไม้/ต้นเสลา/
• กำลังเสือโคร่ง. (2563, 19 ธันวาคม). เกษตรตำบล. https://www.kasettambon.com/กำลังเสือโคร่ง-ช่วยขับล/
• ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. สารภี. https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=292
• โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. ต้นไม้พระราชทานประจำจังหวัด : สารภี. 
http://www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/province_pl/pdata_37.htm
• สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มาหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร. (2563). บุนนาค. https://arit.kpru.ac.th/ap2/local/?nu=pages&page_id=1656&code_db=610010&code_type=01

ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดในภาคเหนือ ตอนที่ 1 : กำแพงเพชร เชียงใหม่ เชียงราย ตาก

ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เป็นพันธุ์ไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติพระบรมราชินีนาถได้พระราชทานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัด และเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในส่วนของพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำในภาคเหนือ ในตอนนี้ จะกล่าวถึงไม้มงคลประจำจังหวัดกำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ และตาก 

1. ไม้มงคลประจำจังหวัดกำแพงเพชร : ต้นสีเสียดแก่น

ภาพ ดอกและฝักสีเสียด โดย J.M.Garg 
จาก https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=4252959
และ https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=4252968

  • ชื่อ : สีเสียดแก่น หรือ สีเสียด มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acacia catechu (L. f.) Wild.  ชื่อสามัญ Catechu tree หรือ Cutch tree  และมีชื่อเรียกท้องถิ่นอื่นๆ ของไทย ได้แก่ เสียด (ภาคเหนือ)  สีเสียดเหนือ (ภาคกลาง)  สีเสียดเหลือง (เชียงใหม่) เดิมเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดียว ศรีลังกา และพม่า นำเข้ามาปลูกในไทยเป็นไม้สวนป่า
  • ลักษณะทั่วไป สีเสียดแก่น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง สูงประมาณ 10-15 เมตร เรือนยอดโปร่ง แตกกิ่งต่ำ ตามกิ่งมีหนามแหลมโค้งเป็นคู่ เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมดำหรือสีเทาเข้ม ค่อนข้างขรุขระ สามารถลอกเปลือกผิวออกมาได้เป็นแผ่น ๆ เปลือกข้างในเป็นสีแดง ตามกิ่งก้านมีหนามเล็ก ๆ เป็นคู่
    • ใบ เป็นใบประกอบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับ ยาวประมาณ 9-17 เซนติเมตร โคนใบเบี้ยว มีขนห่าง ๆ ใบย่อยมีขนาดเล็ก ออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน ประมาณ 30-50 คู่ ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบมนเบี้ยว มีขนขึ้นประปราย หลังใบและท้องใบเรียบ ไม่มีก้าน
    • ดอก ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ ลักษณะช่อคล้ายหางกระรอก ยาว 5-10 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็กจำนวนมาก อัดแน่นเป็นช่อ สีเหลืองอ่อนหรือขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ออกดอกช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคม 
    • ผล สีเสียดจะออกผลในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ผลเป็นฝักแบน กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ปลายและโคนฝักเรียวแหลม เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีน้ำตาลดำเป็นมัน เมื่อฝักแก่จะแห้งแล้วแตกอ้าออกตามด้านข้าง ภายในฝักมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็ก แบน สีน้ำตาลเป็นมัน ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด 
  • ประโยชน์ สีเสียดมีเนื้อไม้สีน้ำตาลแดง แข็งเหนียว ไสกบ ตกแต่งยาก จึงใช้ประโยชน์ทำสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ เช่น เสา ตง คาน สะพาน หรือทำด้ามเครื่องมือทางการเกษตร น้ำฝาดจากแก่นใช้ฟอกหนัง เปลือกให้สีน้ำตาลและน้ำตาลแดงสำหรับย้อมผ้า แห อวน นอกจากนี้ยางต้นสีเสียดนำมาเคี่ยวจนงวดเป็นก้อนสีดำ หรือแก่นที่สับและเคี่ยวกับน้ำ นำมาปั้นเป็นก้อนเหนียว มีสรรพคุณทางยา เป็นยาบำรุงธาตุ แก้ไข้จับสั่น แก้ไอ แก้ปากเป็นแผล รักษาเหงือก ลิ้น ฟัน และช่วยรักษาแผลในลำคอ แก้อาการท้องเสียเรื้อรัง ลำไส้อักเสบ แก้บิด ริดสีดวง รักษาโรคผิวหนัง โรคหิด
2. ไม้มงคลประจำจังหวัดเชียงราย : ต้นกาซะลองคำ กาสะลองคำ

ภาพจาก อุทยานหลวงราชพฤกษ์ https://www.royalparkrajapruek.org/news/news_detail?newsid=573

  • ชื่อ : ต้นกาซะลองคำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Radermachera ignea (Kurz) Steenis ชื่อสามัญคือ Tree Jasmine และมีชื่อเรียกท้องถิ่นอื่น ๆ ของไทยแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ได้แก่ กากี (สุราษฎร์ธานี)  แคะเป๊าะ สำเภาหลามต้น (ลำปาง)  จางจืด (เชียงใหม่)  สะเภา อ้อยช้าง (ภาคเหนือ) ปีบทอง (ภาคกลาง) 
  • ลักษณะทั่วไป : กาซะลองคำเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูงประมาณ 6-20 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงตรงข้ามกัน มีใบย่อย 2-5 คู่ แผ่นใบย่อยรูปรีแกมรูปใบหอก กว้าง 2-6 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายแหลมเป็นติ่ง โคนสอบแหลม ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น กระจุกละ 5-10 ดอก ดอกมีสีเหลืองอมส้มหรือสีส้ม กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 4.5-7 เซนติเมตร ปลายเป็นแฉกสั้นๆ 5 แฉก ออกดอกเดือนมกราคม-เมษายน ผลัดใบก่อนออกดอก ผลเป็นฝักยาว 35-90 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีปีก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และแยกหน่อ
  • ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ
3. ไม้มงคลประจำจังหวัดเชียงใหม่ : ต้นทองกวาว

  • ชื่อ  ทองกวาวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Butea monosperma (Lam.) Taub. ชื่อสามัญ Flame of the Forest และ Bastard Teak และมีชื่อเรียกในท้องถิ่นอื่น ๆ ของไทย คือ กวาว ก๋าว (ภาคเหนือ)  จอมทอง (ภาคใต้)  จ้า จาน (เขมร)  ทองธรรมชาติ ทองพรหมชาติ ทองต้น (ภาคกลาง)
  • ลักษณะทั่วไป  ต้นทองกวาวเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขึ้นกระจายห่าง ๆ ตามป่าเบญพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือป่าละเมาะในทุกภาคของไทย พบมากทางภาคเหนือ ต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร เปลือกสีเทาคล้ำแตกเป็นร่องตื้น ๆ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ออกสลับกัน ใบย่อยส่วนยอดมีลักษณะรูปไข่ ปลายมน โคนสอบ ส่วนอีก 2 ใบมีรูปไข่ค่อนข้างกว้าง โคนเบี้ยว ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง ยาว 2-15 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกถั่วขนาดใหญ่ มีกลีบดอก 5 กลีบ ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร มีสีเหลืองถึงแดงแสด ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม ผลเป็นฝักรูปขอบขนาน แบน กว้างประมาณ 3.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 14 เซนติเมตร มีเมล็ด1-2 เมล็ด ที่ปลายฝัก ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ เปลือกใช้ทำเชือกและกระดาษ และมีสรรพคุณทางยา ใบตำพอกฝีและสิว ถอนพิษ แก้ปวด ท้องขึ้น ริดสีดวง เข้ายาบำรุงกำลัง ดอกใช้ถอนพิษไข้ ขับปัสสาวะ นอกจากนี้ยังให้สีเหลืองใช้ในการย้อมผ้า เมล็ดใช้ขับพยาธิตัวกลม บดให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาว ทาแก้คันและแสบร้อน ยางใช้ฝาดสมานภายนอก และกินแก้ท้องร่วง
4. ไม้มงคลประจำจังหวัดตาก : ต้นแดง

  • ชื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นแดง คือ Xylia xylocarpa (Roxb.) Taub. ชื่อสามัญ Iron Wood และมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ กร้อม (นครราชสีมา) ตะกร้อม (จันทบุรี) ปราน (สุรินทร์)  ไปร (ศรีษะเกษ) ปราน ผ้าน (เชียงใหม่)  ไคว เพร่ (แพร่, แม่ฮ่องสอน)  เพ้ย (กะเหรี่ยง ตาก) เป็นต้น
  • ลักษณะทั่วไป ต้นแดงเป็นไม้ยืนต้น สูง 15–30 เมตร กิ่งก้านและยอดอ่อนมีขนละเอียดสีเหลือง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับ ประกอบด้วย 2 ช่อ ใบแตกออกเป็น 2 ง่าม ใบย่อย 4–5 คู่รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ออกดอกเป็นช่อทรงกลมคล้ายดอกกระถิน ที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบดอกสีขาว ผลเป็นฝักรูปไต แบน แข็ง ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
  • ประโยชน์ ไม้แดง เป็นไม้เนื้อแข็งเหนียว มีความทนทานสูง จึงนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ใช้ทำพื้น เสา คาน ได้ดี นอกจากนี้ ยังใช้ทำเกวียน ต่อเรือ ทำหมอนรองรางรพไฟ ทำเครื่องมือทางการเกษตร


บทความที่เกี่ยวข้อง

    เรียบเรียง :
    วราพรรณ พูลสวัสดิ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบัน สกร.ภาคเหนือ

    อ้างอิง :
    • กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด. https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด/
    • โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี. ต้นไม้พระราชทานประจำจังหวัด. http://www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/province_pl/p_plant.htm
    • ต้นแดง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นแดง 15 ข้อ. (2563, 28 พฤศจิกายน). Medthai. https://medthai.com/ต้นแดง/
    • นพพล เกตุประสาท. (ม.ป.ป.). กาสะลองคำ. ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน.
    http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/new-fragrant/radermachera.html
    • สำนักเศรษฐกิจการป่าไม้. ส่วนส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ. (ม.ป.ป). แดง.
    https://site-matching.forest.go.th/plant.php?id=12

    • สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน). สีเสียด. https://www.wisdomking.or.th/th/tree-knowledge/สีเสียด

    พรรณไม้ในสถาบัน สกร.ภาคเหนือ : มะเกลือ

    มะเกลือ เป็นพรรณไม้ที่มีลักษณะเด่นคือ ทุกส่วนของมะเกลือเมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ในสมัยก่อนจะใช้ยางจากผลไปใช้ย้อมผ้า ได้สีเทาถึงน้ำตาล สีย้อมจากมะเกลือเกิดจากการนำผลของมะเกลือมาย้อมเส้นใยหรือผ้า โดยมะเกลืออ่อนนำมาย้อมได้สีดำ มะเกลือสุกนำมาย้อมได้สีเทา มะเกลือดองนำมาย้อมได้สีเทาอ่อน กระบวนการย้อมจะเริ่มจากการย้อมเย็นได้สีเทาอ่อน แล้วจึงย้อมร้อนให้ได้สีน้ำตาลเข้มถึงดำ สามารถย้อมเส้นใยธรรมชาติ เช่น ไหม ฝ้าย ซักแล้วสีไม่ตก นอกจากนี้การดองมะเกลือเก็บไว้ทำให้สามารถย้อมได้ตลอดปี แต่ในปัจจุบันการย้อมผ้าด้วยมะเกลือไม่ค่อยพบแล้ว การปลูกต้นมะเกลือจึงน้อยลง และคนรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยรู้จักต้นมะเกลือกันแล้ว


    ลักษณะทั่วไป
    เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-30 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่ม ลำต้นเปลา (ลำต้นสูงชะลูด ไม่มีกิ่งที่ลําต้น)

    ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
    1. ชื่อวิทยาศาสตร์  : Diospyros mollis Griff.
    2. ชื่อไทย  : มะเกลือ
    3. ชื่อท้องถิ่น : มักเกลือ, ผีเผา, มะเกือ มะเกีย, เกลือ
    4. ชื่อสามัญ : Ebony tree
    5. วงศ์ (Family) : EBENACEAE
    6. สกุล (Genus) : Diospyros
    7. ลักษณะวิสัย (Habit) : ไม้ยืนต้น
    8. ลักษณะทางพฤกษศาตร์
    • ลำต้น มีลำต้นขนาดย่อม ๆ โคนต้นมักขึ้นเป็นพอพอน ผิวเปลือกเป็นสีดำ แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามยาว เปลือกด้านในมีสีเหลือง แก่นสีดำสนิทเนื้อละเอียดเป็นมันสวยงาม   
    • ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก เรียงสลับกัน ก้านใบกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร โคนและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมัน แต่ใบอ่อนมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน
    ภาพจาก : ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    http://www.qsbg.org/Database/plantdb/mdp/medicinal-specimen.asp?id=742

    • ดอก  ออกดอกตามซอกใบ มีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ช่อหนึ่งมี 3 ดอก มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ  ที่โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกโค้งไปด้านหลัง เรียงซ้อนเกยกันทั้งหมด 4 กลีบ มีเกสรอยู่กลางดอก ส่วนดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยว มีขนาดใหญ่กว่า และมีก้านเกสร 4 แฉก รังไข่มีขนปกคลุม
    • ช่วงเวลาการออกดอก  เดือนมกราคมถึงสิงหาคม
    • ผล  มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อผลแก่ มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ขั้วผล 4 กลีบภายในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองประมาณ 4-5 เมล็ด 

    9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา
    มีถิ่นกำเนิดในทวีบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม พบในป่าผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบ ในทุกภาคของประเทศไทยและพบมากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร และอุดรธานี    

    แผนที่แสดงถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของมะเกลือ
    ภาพจาก Plant of the world online.
    https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:322726-1


    10. การปลูกและการขยายพันธุ์ 
    ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

    11. การใช้ประโยชน์
    ผลมะเกลือ มีสรรพคุณตามตำรายาไทย คือ ผลสดที่โตเต็มที่และมีสีเขียวเข้มช่วยขับพยาธิ ส่วนผลสุกที่มีสีดำสามรถนำไปใช้ย้อมผ้า ย้อมแหซึ่งจะให้สีดำเข้มและติดได้ทนนาน ที่สำคัญมากและต้องระวังคือ ผลมะเกลือสีดำห้ามนำไปรับประทานโดยเด็ดขาดเพราะมีสารพิษที่จะทำให้ตาบอดได้ นอกจากนี้ ไม้มะเกลือซึ่งมีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนำไปทำเครื่องเรือน เครื่องดนตรี หรือทำตะเกียบได้ดีเช่นกัน

    พรรณไม้นี้สามารถสัมผัสของจริงได้ที่บริเวณด้านข้างระหว่างอาคารส่วนการศึกษา บนพื้นที่สูงกับอาคารเทคโนโลยีทางการศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ


    เขียน/เรียบเรียง :
    แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

    ถ่ายภาพ : 
    สราวุธ เบี้ยจรัส  นัชรี อุ่มบางตลาด  อรวรรณ ฟังเพราะ

    อ้างอิง :
    พิชัย สราญรมย์, สาโรช เมาลานนท์ และวราวรรณ กิจธรรม. (2526). ความรู้เรื่องมะเกลือและแนวทางวิจัย. ข่าวสารเกษตรศาสตร์. 28(2), 1-11. https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/kukr/search_detail /dowload_digital_file/39174/70288

    แพรวพรรณ เกษมุล. (2556). การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชสกุล Diospyros ในภาคใต้โดยใช้เทคนิคอาร์เอพีดี [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์]. https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream /2010/9616/1/384702.pdf

    มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). ข้อมูลต้นไม้ : มะเกลือ. ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=3964

    มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะแพทยศาสตร์. (2564, 30 พฤศจิกายน). มะเกลือ. สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์. https://www.med.tu.ac.th/department/attm/?p=2151

    มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะเภสัชศาสตร์. (ม.ป.ป). มะเกลือ. ฐานข้อมูลสมุนไพร.
    https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=90

    พรรณไม้ในสถาบัน สกร.ภาคเหนือ : ขะจาว

    ขะจาว เป็นต้นไม้มงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานให้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดลำปางในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชสมบัติครบรอบปีที่ 50 โดยได้พระราชทานพันธุ์ไม้ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัดและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้


    ในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ มีต้นขะจาว ซึ่งนับเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญยิ่งต้นหนึ่ง เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูก เมื่อครั้งเสด็จยังสถาบัน กศน.ภาคเหนือ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547


    ลักษณะทั่วไปของต้นขะจาว  
    ขะจาว เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นมักแตกง่ามใกล้โคนต้น เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา มีต่อมระบายอากาศเป็นจุดกลมเล็ก ๆ สีขาวตามลำต้น เรือนยอดเป็นพุ่มรูปไข่กว้างค่อนข้างทึบ

    ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
    1. ชื่อวิทยาศาสตร์: Holoptelea integrifolia (Roxb.) Planch.
    2. ชื่อไทย : ขะจาว
    3. ชื่อท้องถิ่น : กระเจา, กระเชา (ภาคกลาง)  กระเจาะ ขะเจา (ภาคใต้)  กระเช้า (กาญจนบุรี)  กะเซาะ (ราชบุรี)  กาซาว (เพชรบุรี)  ขะจาวแดง ฮังคาว (ภาคเหนือ)  ตะสี่แค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
    พูคาว (นครพนม) มหาเหนียว (นครราชสีมา) ฮ้างค้าว (อุดรธานี เชียงราย ชัยภูมิ)
    4. ชื่อสามัญ : Indian Elm
    5. วงศ์ : URTICACEAE
    6. ลักษณะวิสัย : ไม้ต้น (Tree)
    7. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    • ลำต้น ลำต้นเปลา (สูงชะลูดไม่มีกิ่งที่ลำต้น) เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา
    • ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรีป้อมกว้าง 4-9 เซนติเมตร ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนใบมนหรือป้าน ปลายใบเรียวแหลม ก้านใบมีขน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นจักฟันเลื่อยห่าง ๆ
    • ดอก ขะจาวออกดอกเป็นช่อกระจุก ช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ ช่อดอกยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีแดงออกน้ำตาล มีกลีบ 5-6 กลีบ เกสรแยกเพศเป็นดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย มีเกสรเพศผู้ 3-9 อัน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มีก้านสั้น ๆ ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด
    • ระยะเวลาออกดอก เดือนธันวาคม-มกราคม
    ดอกขะจาว ภาพโดย Dinesh Valke from Thane, India - Holoptelea integrifolia, CC BY-SA 2.0,
    https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=5158618

    • ผล ผลเป็นรูปโล่แบน มีปีกบางล้อมรอบ มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด บริเวณปีกมีลายเส้นออกเป็นรัศมีโดยรอบมีปีกบางล้อมรอบ

    9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา
    ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณและป่าทุ่งบนที่ราบหรือตามเชิงเขาที่ไม่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนัก พบในอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม และเกาะบอร์เนียว

    แผนที่แสดงถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของขะจาว
    ภาพจาก https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:854174-1

    10. การปลูกและการขยายพันธุ์ 
    ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง ทนแล้ง

    11. การใช้ประโยชน์
    ต้นขะจาวเป็นไม้เนื้อแข็ง มีเปลือกหุ้มต้นที่เหนียวมาก มีกลิ่นเหม็นเขียว สามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เนื้อไม้ ใช้ทำสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในร่ม ทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ เสียม ทำพานท้ายปืน เส้นใยจากเปลือกเหนียว ใช้ทำเชือก ผ้าและกระสอบ เปลือกมีสรรพคุณทางยา
    ใช้ทำยารักษาเรื้อนสุนัข กันตัวไร และเป็นยาแก้ปวดตามข้อ

    ขะจาว ต้นไม้คู่เมืองลำปาง
    ต้นขะจาวหรือเก๊าจาว ที่มีความสำคัญเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปางมีอยู่ 2 แห่งคือ

    1. ต้นขะจาวที่วัดพระธาตุลำปางหลวง 
    มีลักษณะเป็นสองต้น ต้นใหญ่และต้นเล็กโตแยกออกจากกันที่โคน แต่พุ่มและปลายรวมกันเป็นต้นเดียว ต้นใหญ่มีเส้นรอบวงเกือบ 35 เมตร ความสูง 60 เมตร และต้นเล็กมีเส้นรอบวง 3.02-3.96 เมตร สูงโดยประมาณ 15 เมตร มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาตามความเชื่อว่า ต้นขะจาวต้นนี้ ปลูกเมื่อครั้งพุทธกาล โดยชาวลั่วะคนหนึ่งได้นำกิ่งขะจาวมาทำเป็นคานหาบกระบอกน้ำผึ้ง มะพร้าว และมะตูม มาถวายพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง และได้อธิษฐานแล้วนำปลายไม้ขะจาวปักลงในดิน ไม่นานไม้คานนั้น ก็แตกกิ่งก้านเจริญเติบโต ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำเอารากไม้ต้นขะจาวไปบูชา หรือนำไปทำเป็นเครื่องรางของขลังห้อยคอ ต่อมาต้นขะจาวซึ่งเป็นต้นเดิมตามตำนาน ได้แห้งและผุลงจนไม่เห็นซากเดิม แต่ก็มีต้นใหม่งอกออกมาตรงที่เดิมเป็นพุ่มใหญ่ ปัจจุบันต้นขะจาวต้นนี้ อยู๋ในความดูแลของวัดพระธาตุลำปางหลวง อ.เมือง จ.ลำปาง

    ต้นขะจาวที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ภาพจาก https://travel.kapook.com/view195496.html

    2. ต้นขะจาวที่ชุมชนบ้านท่าโทก 
    มีต้นขะจาวขนาดใหญ่อยู่ ณ บริเวณกลางหมู่บ้านท่าโทก ซอย 6 หรือ “ซอยเก๊าจาว” หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งฝาย อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งชาวบ้านคาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 1,000 ปี อยู่ข้างหอหลวงเจ้าพ่อแสงเมือง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในชุมชน ประกอบด้วยต้นขะจาวต้นใหญ่ซึ่งต้นแม่ 2 ต้น  และต้นเล็กอีก 2 ต้น ซึ่งเกิดจากเมล็ดขะจาวต้นแม่ มีตำนานเล่าว่าเจ้าพ่อแสงเมืองท่านเป็นทหารศึก ในยามมีศึกท่านจะซุ่มดูข้าศึกอยู่บนต้นขะจาว และส่งสัญญานให้กองทัพทราบว่ามีศัตรูเข้ามารุกราน ปัจจุบันต้นขะจาวต้นนี้อยู่ในความดูแลของชาวบ้านชุมชนบ้านท่าโทก อ.ทุ่งฝาย อ.เมือง จ.ลำปาง

    ต้นขะจาวอายุ 1000 ปี ณ บ้านท่าโทก ต. ทุ่งฝาย อ. เมือง จ.ลำปาง
    ภาพจากเฟซบุ๊ก รุกขกร กรมป่าไม้ https://www.facebook.com/RFD.Arborist/posts/2315368692067732/

    ต้นขะจาวทั้ง 2 ต้นนี้ ได้รับการคัดเลือกให้บันทึกลงในหนังสือ รุกข มรดกของแผ่นดิน ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา 2 เมษายน 2561 โดยคัดเลือกและรวบรวมประวัติและเรื่องราวของต้นไม้ที่มีชีวิตยืนยาวในท้องถิ่นทั่วภูมิภาคของไทย

    เขียน/เรียบเรียง :
    นางสาวนัชรี อุ่มบางตลาด ครู ชำนาญการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

    อ้างอิง:
    กระทรวงวัฒนธรรม. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2561) รุกข มรดกของแผ่นดิน [Ebook]. น.186-189. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด. http://tree.culture.go.th/tree2561/1/mobile/index.html

    ขะจาว ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปาง. (2562, 15 มกราคม). เพซบุ๊กรุกขกร กรมป่าไม้.
    https://www.facebook.com/RFD.Arborist/posts/2315368692067732/

    ต้นไม้ประจำจังหวัดลำปาง ต้นขะจาว. 108 พรรณไม้ไทย. https://www.panmai.com/PvTree/tr_52.shtml
    ตามรอย 63 รุกข มรดกของแผ่นดิน สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน. https://travel.kapook.com/view195496.html

    กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. ส่วนผลิตกล้าไม้. (ม.ป.ป). ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดลำปาง : ขะจาว. https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด/ลำปาง/

    บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ไข่น้ำแร่ แช่ออนเซ็น

    บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เป็นแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีความสวยงามแปลกตา เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงว่าใต้พื้นโลกเรายังมีความร้อนระอุอยู่ บ่อน้ำพุแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ของอำเภอเมืองปาน อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ และอำเภอเมืองลำปาง แต่ตัวน้ำพุร้อนแจ้ซ้อนนั้นตั้งอยู่ที่ตำบลแจ้ซ้อน เขตอำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดลำปาง


    น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เป็นสถานที่ที่มีความมหัศจรรย์ ความงดงามที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์มาอย่างอลังการ ทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้ เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล ได้รับการยกย่องให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ที่นี่มีธรรมชาติสวย ๆ ทั้งน้ำพุ บ่อน้ำร้อน โขดหิน ลำธาร น้ำตก ที่พัก ลานกางเต็นท์ และร้านอาหาร เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมาพักผ่อนจริง ๆ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง

    น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน เกิดจากแหล่งความร้อนใต้โลกที่มาจากหินหนืดที่อยู่ระดับตื้นกว่าปกติ เนื่องจากบริเวณนี้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่ยังมีพลังในการเคลื่อนตัวอยู่ คือ รอยเลื่อนสาขาย่อยของรอยเลื่อนแม่ทา พาดอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ และแนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้
     
    เมื่อฝนตก น้ำฝนจะซึมลงไปตามช่องระหว่างรอยแตกแยกของชั้นหิน และถูกกักเก็บไว้ในชั้นหินอุ้มน้ำด้านล่าง จากการถ่ายความร้อนระหว่างหินหนืดใต้ดิน ทำให้น้ำที่กักอยู่ในชั้นหินร้อนจนเดือด แล้วเกิดแรงดัน น้ำร้อนจึงผุดขึ้นมาสู่ผิวดินตามรอยแตกแยกของหิน และมีกลิ่นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟต์หรือก๊าซไข่เน่า ที่มักพบในบ่อน้ำร้อนหรือปากปล่องภูเขาไฟ อัตราการไหลของน้ำร้อนวัดได้ประมาณ 35 ลิตรต่อวินาที และอุณหภูมิน้ำร้อนขณะอยู่ใต้ดินประมาณ 149 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำที่อยู่บนผิวดินจะอยู่ที่ประมาณ 68-82 องศาเซลเซียส


    แหล่งน้ำพุร้อนบ้านแจ้ซ้อน พบเกิดอยู่บริเวณที่ราบลุ่มหุบเขาใกล้น้ำแม่มอน ประกอบด้วยบ่อน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมาบนผิวดิน 9 บ่อ มีทั้งที่เป็นแบบ บ่อน้ำร้อน (Hot Pool) และแบบบ่อน้ำร้อนที่ไหลซึมขึ้นมา (Seep) มีอุณหภูมิสูงสุดประมาณ 81 องศาเซลเซียส บริเวณของตัวแหล่งน้ำพุร้อนจะคลุมพื้นที่ประมาณ 1,200 ตารางเมตร มีโขดหินใหญ่น้อยจากธรรมชาติกระจัดกระจายแทรกตัวอยู่ท่ามกลางแอ่งน้ำร้อน พบก้อนหินมนใหญ่ ซึ่งเป็นหินแกรนิตและหินควอร์ตไซต์ กระจายอยู่ทั่วไป น้ำพุร้อนส่วนใหญ่จะไหลมารวมกัน แล้วไหลลงสู่แม่น้ำมอนใกล้ ๆ

    อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ได้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบบ่อน้ำพุร้อนให้มีความสวยงาม เนื่องจากบ่อน้ำร้อนที่นี่จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยถึง 68-82 องศา เพื่อความปลอดภัย จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำในบ่อดังกล่าว แต่ทางอุทยานฯ ได้ทำทางเดินให้นักท่องเที่ยวได้ใกล้ชิดกับบ่อน้ำร้อนได้อย่างปลอดภัย ไฮไลท์ของบ่อน้ำร้อนแห่งนี้ คือ ความสวยงามของไอน้ำร้อนสีขาวที่โพยพุ่งขึ้นมาจากบ่อ มองดูคล้ายหมอกจาง ๆ สีขาว ที่ปกคลุมและลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ผนวกกับแสงแดดที่ส่องสะท้อนลงยังบ่อน้ำร้อน เป็นภาพที่สวยสด งดงาม น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งอุณหภูมิของอากาศต่ำมากเท่าไหร่ หมอกไอน้ำก็จะยิ่งลอยพุ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ ในหน้าหนาว นอกจากนี้แล้ว การได้เห็นแสงพระอาทิตย์ขึ้นผ่านม่านหมอกไอน้ำหนา ๆ ที่ลอยมาจากบ่อน้ำร้อนจนกลายเป็นสีทอง ในตอนเช้า ก็จะเป็นภาพที่ประทับใจ ไม่รู้ลืมเช่นเดียวกัน หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ไอน้ำก็จะลดลงจนหายไปในที่สุด และจะกลับมายลโฉมให้เห็นอีกที ก็ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แต่ไอหมอกจะลอยไม่สูง และไม่สวยเท่าในตอนเช้า


    กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยสำหรับนักท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน นั่นคือ การลงไปแช่และอาบน้ำแร่ให้สบายเนื้อสบายตัว มีให้บริการ ทั้งห้องแช่น้ำแร่ส่วนตัว ห้องรวมแบบตักอาบ หรือจะใช้บริการแบบห้องรวมที่แยกชาย หญิง แต่ที่อยากแนะนำคือ เลือกใช้บริการห้องแช่น้ำแร่แบบส่วนตัว ซึ่งจะมีความสะดวกสบายกว่ามาก เป็นเอกเอกเทศ มีมุมอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในห้องด้วย ภายในจะมีอ่างลักษณะกลม สามารถนั่งแช่น้ำแร่ได้ 3-4 คน โดยน้ำแร่ที่นำมาใช้นั้นต่อท่อโดยตรงมาจากบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิน้ำแร่ ประมาณ 39-42 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ร้อนจนเกินไป สามารถใช้แช่และอาบได้ ประโยชน์ของการอาบน้ำแร่ คือ ช่วยบำบัดความเมื่อยล้าของร่างกาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น กลากเกลื้อน ผื่นคัน และยังช่วยบรรเทาอาการของโรคกระดูก แต่น้ำแร่จากที่นี่ไม่สามารถใช้ดื่มได้ เพราะมีแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ามาตรฐาน


    สำหรับใครที่เดินเที่ยวแล้วรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ทางอุทยานฯ ได้จัดพื้นที่ให้กลุ่มชาวบ้านมาให้บริการนวดตัวคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งอยู่บริเวณศาลาใกล้ ๆ กับห้องแช่น้ำแร่ มีที่กั้นแยกเพื่อความเป็นส่วนตัว


    และอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้หากมาเที่ยวที่น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน คือ การลองทานไข่น้ำแร่หรือไข่ออนเซ็น ภาพที่เราจะเห็นจนชินตา คือ นักท่องเที่ยวจะหิ้วตะกร้าไข่ เดินตรงไปยังบ่อน้ำร้อน ความพิเศษของไข่ต้มที่นี่ คือหากเราต้มในบ่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 73 - 74 องศา โดยใช้เวลาต้ม ประมาณ 15 - 16 นาที ไข่แดงจะแข็งส่วนไข่ขาวจะเป็นวุ้นเหลว อร่อยไม่เหมือนที่อื่น และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ


    ระหว่างเดินลัดเลาะไปตามทางเดิน ท่ามกลางบ่อน้ำร้อนนั้น เราจะเห็นริ้วสีขาว ๆ ยาว ๆ ไหลพลิ้วไปตามสายน้ำในบ่อ นั่นก็ คือ แบคทีเรีย Chloroflexus aurantiacus เป็นแบคทีเรียที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในน้ำร้อน ที่เกิน 50 องศาและอยู่รอดได้ในสภาวะไร้ออกซิเจน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดเป็นกลุ่มแรก ๆ ของโลก เพราะแต่ก่อนโลกของเรามีอุณหภูมิสูง ไม่มี ออกซิเจน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในช่วงอุณหภูมิประมาณ 52-60 องศาเซลเซียส


    หลังจากแช่น้ำแร่แล้ว เราสามารถเดินไปตามเส้นทางธรรมชาติ ประมาณ 200 เมตร จะพบน้ำตกแจ้ซ้อน ชั้นที่ 1 ที่มีน้ำไหลใสและสะอาดตลอดปี มีปลาเวียนว่ายในบริเวณแอ่งน้ำมากมายเต็มไปหมด น้ำตกแจ้ซ้อนเกิดจากลำน้ำแม่มอญ โดยจะมีแอ่งน้ำรองรับ ไหลตกลงมาเป็นชั้น ๆ อย่างสวยงาม ซึ่งจะมีทั้งหมด 6 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีความสวยงามต่างกันไป


    การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จากตัวเมืองลำปาง ขับรถไปตามถนนหมายเลข 1157 ประมาณ 75 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ในบริเวณอุทยานแจ้ซ้อน มีบ้านพักรับรองหลายราคา ซึ่งสามารถจองได้ในเว็บไซด์ของกรมอุทยานแห่งชาติ มีสถานที่กางเต็นท์ มีร้านอาหารสวัสดิการบริการ หรือท่านสามารถไปพักรีสอร์ทเอกชนก็ได้



    เขียน/เรียบเรียง :
    ณิชากร เมตาภรณ์  ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

    ถ่ายภาพ :
    สราวุธ เบี้ยจรัส  นักวิชาการโสตทัศนศึกษา  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

    อ้างอิง :
    กรมทรัพยากรธรณี. (ม.ป.ป.). น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน. https://www.dmr.go.th/น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน/

    การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (ม.ป.ป.). อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน. https://thai.tourismthailand.org/Attraction/อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

    อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน. (2566, 17 กุมภาพันธ์). ใน วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. https://th.wikipedia.org/wiki/อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน


    น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ออนเซ็นไทยแลนด์ ความมหัศจรรย์จากธรรมชาติ. (2563, 21 มกราคม). sanook. https://www.sanook.com/travel/1419145/

    nukkpidet. (2563, 16 กันยายน). อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ที่เที่ยวลำปาง อลังการบ่อน้ำร้อน ท่ามกลางธรรมชาติ. trueID. https://travel.trueid.net/detail/OWBDoEQozGxY

    บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน. (ม.ป.ป.). thesunsignt. https://thesunsight.com/%E0%B9%88jaeson/