การประเมินสภาพจริง

จากการที่สำนักงาน กศน. ได้รับการยกฐานะเป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 มีหน้าที่ จัด ส่งเสริม และสนับสนุนการเรียนรู้ ใน 3 รูปแบบ คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง และการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ โดยคำนึงถึงความหลากหลายและความต้องการของผู้เรียน และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย มีโอกาสเรียนรู้ และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติ มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ดังนั้นครูผู้สอนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้สอนทุกคนต้องตระหนักว่าการพัฒนาผู้เรียนในการจัด ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ หรือการจัดการศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิม ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ซึ่งมิได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาไม่ว่าด้วยเหตุใด เพื่อให้ได้รับคุณวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านสามัญศึกษาหรืออาชีวศึกษา ให้สามารถเรียนรู้ได้ตามความถนัดและตามความสนใจ ซึ่งในการประเมินผล ให้ใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อใช้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม โดยต้องไม่ใช้วิธีการทดสอบความรู้ในทางวิชาการเพียงด้านเดียว ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 มาตรา 12 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ในสาระการประเมินเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ และการทดสอบเพื่อพัฒนาค้นหาศักยภาพ จุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียน และที่สำคัญผู้สอนต้องศึกษาเกี่ยวกับการประเมินสภาพจริง จะต้องประเมินให้ครบทุกด้าน ทั้งด้านพุทธพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งผู้สอนต้องเลือกใช้เทคนิค และเครื่องมือประเมินที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเกณฑ์การประเมิน


การประเมินสภาพจริง
การประเมินสภาพจริง เป็นวิธีการประเมินที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมและทักษะที่จําเป็นของผู้เรียนในสถานการณ์ที่เป็นจริง และเป็นวิธีการประเมินที่เน้นงานหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนได้แสดงออกโดยการกระทำ เน้นกระบวนการเรียนรู้ผลผลิตและผลงาน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินและร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งวิธีการนี้เชื่อว่าจะช่วยพัฒนาการ การเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง

กระบวนการประเมินอาจใช้วิธีการสังเกต การบันทึก การรวบรวมข้อมูลจากผลงานและวิธีการที่ผู้เรียนได้เคยทำไว้ด้วยวิธีการที่หลายหลาย กลยุทธ์สำคัญของการประเมินตามสภาพจริงคือ การกระตุ้นหรือท้าทายให้ผู้เรียนได้แสดงออกโดยการกระทำว่า ตนเองมีความสามารถอะไร และได้เคยททำสิ่งใดบ้าง แทนการทำแบบทดสอบหรือข้อสอบเหมือนการประเมินแบบเดิม ๆ นอกจากเน้นเรื่องการกระทำและผลงานแล้ว การประเมินนี้ยังเน้นความสามารถทางสติปัญญา กระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การแก้ปัญหา มากกว่าการเน้นเรื่องการท่องจำ หรือการหาคําตอบจากแบบทดสอบ 


ลักษณะสำคัญของการวัดประเมินสภาพจริง
การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินทางเลือกใหม่ (alternative assessment) ที่เน้นการประเมินผลจากการปฏิบัติงานซึ่งต่างจากการประเมินที่เน้นการทดสอบเป็นสำคัญ ลักษณะสำคัญของการวัดประเมินผลตามสภาพจริงมี ดังนี้
  1. การประเมินสภาพจริง เน้นแนวคิดที่ว่าความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีความหมายได้หลากหลาย ดังนั้นการวัดควรใช้วิธีการอย่างหลากหลาย
  2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการตามความต้องการของผู้เรียน มากกว่าการบังคับให้เรียน ดังนั้นผู้เรียนจึงมีความกระตือรือร้น และแสวงหาความรู้เพื่อความอยากรู้มากกว่าการเรียนเพื่อให้ทำข้อสอบได้คะแนนสูง ๆ
  3. การวัดประเมินผลตามสภาพจริง เน้นกระบวนการเรียนรู้และผลผลิต โดยพิจารณาจากสิ่งที่ผู้เรียน เรียนรู้และทําไมจึงเกิดการเรียนรู้เช่นนั้น
  4. การวัดประเมินผลตามสภาพจริง มุ่งเน้นในการสืบเสาะ พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาตามสภาพจริงที่เกิดขึ้น ผู้เรียนต้องสังเกต วิเคราะห์และทดสอบความรู้ของตนเองจากการปฏิบัติ
  5. การวัดประเมินสภาพจริงมีจุดประสงค์เพื่อ กระตุ้น และอํานวยความสะดวกให้กับผู้เรียน และสะท้อนผลการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาให้กับผู้เรียน
เครื่องมือวัดและประเมินตามสภาพจริง
การวัดและประเมินผลให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการวัด จะต้องอาศัยเทคนิค การเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพเหมาะสมกับคุณลักษณะที่ต้องการศึกษา รวมถึงเงื่อนไขบริบทอื่นๆ อาทิ จุดประสงค์การวัด ลักษณะผู้สอบ ปริมาณ ระยะเวลา สถานที่ งบประมาณ การประเมินตามสภาพจริง จะใช้วิธีการประเมินหลากหลาย ส่วนเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบ การสอบสัมภาษณ์ การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน

Image by rawpixel.com on Freepik
  1. การทดสอบ การทดสอบจะใช้แบบทดสอบ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบเขียนตอบ แบบสอบเลือกตอบ และสอบภาคปฏิบัติและแบบวัดต่าง ๆ เป็นต้น
  2. การสอบสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดผลด้วยการซักถาม สนทนา โต้ตอบ เพื่อประเมินความคิด ทัศนคติ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (เตรียมคําถามไว้ล่วงหน้า) และคําถามแบบไม่มีโครงสร้าง (กำหนดเฉพาะแนวทาง หรือประเด็นแต่ไม่มีคําถามที่ชัดเจน)
  3. การสังเกต เป็นการวัดและประเมินที่มีรายการ พฤติกรรมเป้าหมายที่ต้องการเก็บข้อมูล ด้วยประสาทสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางหูและตา เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่มีความละเอียด ชัดเจนของผู้เรียนในสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตรวัดประเมินค่า และแบบบันทึก เป็นต้น
  4. การตรวจผลงาน เป็นการวัดและประเมินด้วยการกำหนดงาน กิจกรรม หรือแบบฝึก ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติฝึกฝน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง ด้วยตนเองหรือเพื่อนผู้เรียนที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงสำหรับสะท้อนผลการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบต่อไป เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินผลงาน
  5. การใช้แฟ้มสะสมงาน เป็นการวัดและประเมินที่ใช้หลักการเก็บหลักฐานผลงานที่ดีและมีความภาคภูมิใจ ที่เป็นตัวแทนงานที่ปฏิบัติของผู้เรียนเกี่ยวกับ ทักษะ แนวคิด ความสนใจ ความสำเร็จ โดยมีผลการประเมิน จุดเด่น จุดด้อยของชิ้นงาน อันแสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนด้วยตนเองของผู้เรียนเอง เพื่อนร่วมชั้น หรือผู้สอน แล้วนําหลักฐานมาบรรจุลงในแฟ้ม สมุดโน๊ต แผ่นบันทึกข้อมูล เป็นต้น ลักษณะแฟ้มสะสมงานที่ดีควรมีความหลากหลาย สามารถสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน เครื่องมือที่ใช้สำหรับประเมินแฟ้มสะสมงาน ได้แก่ แบบบันทึก แบบประเมิน ผลงาน และแบบประเมินตนเอง เป็นต้น
  6. การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน ศูนย์ประเมิน คือสถานที่ หรือคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ที่สร้าง หรือกำหนดขึ้นเพื่อให้สำหรับทดสอบหรือประเมินผู้เรียนภายใต้สถานการณ์จําลอง หรือสิ่งเร้า เพื่อให้ผู้เรียนตอบสนองโดยการแสดงออกตามพฤติกรรมบ่งชี้ การประมวลความรู้ และทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด และอยู่ในระดับใด กิจกรรมหรือสถานการณ์ที่กําหนดให้มีหลากหลาย ได้แก่ เกม แบบฝึกขั้นตอนการทำงาน ใบงาน การสนทนากลุ่ม การทำงานเป็นกลุ่ม และการแสดงบทบาทสมมุติ การนําเสนองาน เครื่องมือที่ใช้วัดประกอบด้วย แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตรวัดประเมินค่า แบบบันทึกพฤติกรรม แบบประเมินผลงาน และแบบทดสอบ เป็นต้น

สรุปได้ว่า การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินที่เน้นการประเมินผลจากการปฏิบัติจริง (Active Performance) ซึ่งต่างจากเดิมใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดและประเมินผลน้อยครั้งเพียงเพื่อตัดสินผลการเรียน มาเป็นการวัดและประเมินที่เน้นการติดตามผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุสิ่งที่ยังบกพร่องนำไปปรับปรุง แก้ไขให้เกิดการเรียนรู้ตามศักยภาพ มีการเปลี่ยนวิธีการวัดและเครื่องมือที่ใช้ในการวัดที่มีคุณภาพเหมาะสมกับคุณลักษณะที่ต้องการ มักใช้วิธีการประเมินหลากหลาย ส่วนเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบ การสอบสัมภาษณ์ การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน


เรียบเรียง :
สุมาลี อริยะสม  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566. (2566, 19 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 140 ตอนที่ 20. 
หน้า 60-72.

สมชาย รัตนทองคำ. การวัดและการประเมินผลการศึกษา (เอกสารประกอบการสอน 475 788 การสอนทางกายภาพ บำบัด ภาคต้นปีการศึกษา 2554). https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf

สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ. (2545). การจัดกระบวนการเรียนรู้ : เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.

การวัดประเมินผลการเรียนรู้

จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้
จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ คือ ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนจากการที่ยังไม่มี ไม่รู้ ไปสู่การให้มี ให้รู้  ฉะนั้นในการจัดการเรียนรู้โดยทั่วไป ผู้สอนจะต้องตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้ว่า สิ่งที่ต้องการจัดกระบวนการเรียนรู้คืออะไร เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่างไร เพราะวัตถุประสงค์ที่จะจัดกระบวนการเรียนรู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน และเมื่อครูจัดประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสมตามวัตถุประสงค์แล้ว จะต้องมีการวัดและประเมินผลเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนรู้จริงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 

ในการจัดการเรียนรู้ ต้องมีกระบวนการที่คอยตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ กระบวนการนี้จะพยายามให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันเป็นผลจากการเรียนรู้ เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาวิชา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบการวัดและประเมินผล การเรียนการบริหารหลักสูตรและการแนะแนว เป็นต้น กระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางการเรียนรู้และนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าสอดคล้องกันดีหรือไม่ เรียกว่า “การวัดและประเมินผลการเรียนรู้


ครู มีบทบาทสำคัญในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะครูเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างระบบการศึกษากับผู้เรียน สิ่งที่ครูพูด ครูจัดกิจกรรม มีอิทธิพลอย่างสูงสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียน ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้และประเมินผลเอง ผลการวัดของผู้เรียนสามารถนำมาประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูได้  ดังนั้น ครูต้องรู้จักวิธีการวัดและประเมินผล เช่น การสร้างแบบสำรวจ แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบทดสอบ การดำเนินการสอบ เป็นต้น  นอกจากนี้ครูยังต้องมีความสามารถในการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลให้มีคุณภาพและยังต้องรู้ว่าในการวัดผลนั้น  มีจุดมุ่งหมายที่จะวัดอะไร ต้องการวัดสมรรถภาพทางด้านใดของผู้เรียน

ลักษณะสำคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 
การวัดผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนนิยมวัดผลการเรียนรู้ เป็น 3 ด้านคือ พุทธิพิสัย (cognitive domain) จิตพิสัย (affective domain) และทักษะพิสัย (psychomotor domain) ซึ่งมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
  1. การวัดผลเป็นการวัดทางอ้อม (Indirect Measurement) 
    คุณลักษณะที่ตรวจวัดในทางการศึกษา เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สติปัญญา ความถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพ เจตคติ ฯลฯ ของผู้เรียนนั้น มีลักษณะเป็นสภาพทางจิตวิทยาในตัวผู้เรียน เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง เพราะไม่สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ วิธีการตรวจวัดจึงเริ่มโดยการแปลงคุณลักษณะนั้นออกมาให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้หรือสังเกตได้ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือเป็นสิ่งเร้าแก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนตอบสนองโดยแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาผู้สอนจึงสามารถตรวจวัดพฤติกรรมนั้น ๆ ได้ในเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพแล้วแต่กรณี 
  2. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Imperfect Measurement) 
    การจัดการเรียน การสอนในห้องเรียน เป็นการจัดตามเนื้อหาและจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตรระดับชั้นต่าง ๆ เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนจะมีอยู่มาก ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่วัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อาจไม่สามารถตรวจวัดหรือทดสอบให้ครอบคลุมหรือครบถ้วนในทุกประเด็นของเนื้อหาและทุกพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของเวลา งบประมาณ ค่าใช้จ่ายและสภาพการณ์ที่เป็นจริง เช่น ถ้าผู้สอนจะใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดความสามารถในการบวกเลขหลักเดียวของผู้เรียนให้ครบถ้วนในเนื้อหา ครูต้องเขียนข้อสอบจำนวน 100 ข้อ คือ 0+0, 0+1, 0+2, ......, จนถึง 9+9 ให้ผู้เรียนตอบจึงครอบคลุมเนื้อหา ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ ในทางปฏิบัตินั้นครูจะเลือกข้อสอบบางข้อมาเป็นตัวอย่าง (Sample) โดยพิจารณาว่าเป็นตัวแทนของเนื้อหาทั้งหมด ซึ่งเปรียบได้กับประชากร (Population) ดังนั้น การวัดผลการศึกษาจึงเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ครบถ้วนทั้งหมด เพราะข้อจำกัดหลาย ๆ ประการ การนำข้อมูลจากการวัดผลไปใช้ในการประเมินผลเพื่อตัดสินคุณลักษณะนั้น จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้เกิดความมั่นใจว่าตัวอย่างที่นำมาใช้วัดผลนั้น เป็นตัวแทนที่ดีของเนื้อหาและพฤติกรรมอย่างแท้จริงก่อน
  3. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดเชิงสัมพัทธ์ (Relative Measurement) 
    จำนวนหรือตัวเลขที่ได้จากการวัดผลที่เรียกว่า คะแนน (Score) นั้น มีระดับการวัดได้สูงสุดในมาตราอันตรภาค (Interval Scale) เท่านั้น ซึ่งเป็นมาตราการที่ไม่มี ศูนย์แท้ (Non absolute Zero) หมายความว่า เลข 0 ในการวัดผลการศึกษาไม่ได้มีความหมายว่า “ไม่มีคุณลักษณะที่วัด” เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้วัดผลไม่สามารถจะวัดลงไปได้ครบถ้วนจนถึงจุดที่เป็นศูนย์แท้จริง เช่น ผู้เรียนที่สอบได้ 0 คะแนน จากการทดสอบด้วยแบบทดสอบฉบับหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนไม่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นเพราะแบบทดสอบที่ใช้วัดผลไม่สามารถบรรจุเนื้อหาทั้งหมดทุกประเด็นที่ผู้สอนไว้ได้ แต่ใช้ตัวอย่างของเนื้อหาและพฤติกรรมมาสอบวัดเท่านั้น นอกเหนือจากสาระในแบบทดสอบแล้วผู้เรียนอาจตอบได้แต่ไม่ปรากฏอยู่ในข้อสอบ สำหรับคะแนนที่ได้จากการวัดผลก็ไม่มีความหมายในตัวมันเอง ไม่สามารถประเมินผลว่าผู้ที่ได้คะแนนนั้นมีความสามารถอยู่ในระดับใด เช่น ผู้เรียนสอบได้คะแนน 42 คะแนน สรุปไม่ได้ว่าคะแนนเท่านี้เก่งหรืออ่อนมากน้อยเพียงใด จนกว่าจะนำคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบหรือสัมพันธ์กับเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะให้ความหมายได้ดีขึ้น  เช่น คะแนน 42 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเต็ม 50 คะแนน หรือเมื่อนำคะแนนไปสัมพันธ์กับเกณฑ์อื่น ๆ อีก ก็จะให้ความหมายที่เด่นชัดขึ้น เช่น เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย (Mean) หรือเปรียบเทียบกับคะแนนปกติวิสัย (Norm) เป็นต้น 
Image by rawpixel.com on Freepik

ลักษณะการประเมินผลทางการศึกษาที่นิยมใช้ มี 2 ลักษณะคือ
  1. ประเมินผลเพื่อการพัฒนา (formative valuation) เป็นการประเมินผลระหว่างการจัดการเรียนการสอน นิยมใช้เพื่อตรวจสอบการเรียนรู้และความก้าวหน้า ของผู้เรียนหรือปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน จะใช้แบบทดสอบ การสังเกต การซักถาม หรือเครื่องมือวัดอื่น ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งจะใช้วัดเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนของแต่ละครั้ง 
  2. การประเมินผลสรุป (summative valuation) เป็นการประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนปลายภาคการศึกษา และตัดสินผลการเรียน โดยมีเกณฑ์ตัดสินที่ชัดเจน เช่น การตัดสินแบบอิงกลุ่ม(เกรด A, B, C, D, F) การตัดสินแบบอิงเกณฑ์ (60 เปอร์เซ็นต์ สอบผ่าน) เป็นต้น โดยทั่วไปของการวัดสิ่งใดก็ตาม จะต้องกําหนดเป้าหมายหรือสิ่งที่จะวัดให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไรและประเมินอย่างไร จากนั้นจึงเลือกใช้เครื่องมือและเทคนิคที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะประเมิน หากไม่มีเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน นิยมสร้างขึ้นเองอย่างมีหลักการ และขั้นตอนสุดท้ายคือการนําวิธีการและเครื่องมือไปประเมินอย่างไม่มีอคติและยุติธรรม ผู้วัดควรตระหนักว่า การวัดผลจะมีความคาดเคลื่อนหรือข้อผิดพลาดเสมอ
Image by photoroyalty on Freepik

ประโยชน์ของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
  1. ประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนทราบจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนการสอนที่ชัดเจน ทำให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ผลการวัดและประเมินดีขึ้น ช่วยสร้างนิสัยในการใฝ่รู้ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เมื่อไม่สามารถตอบคำถามหรือตอบแบบทดสอบได้ผู้เรียนจะไปศึกษาเพิ่มเติมก่อให้เกิดนิสัยอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และทำให้ทราบถึงสถานภาพทางการเรียนของตนเองว่า เด่น-ด้อยในเรื่องใด ควรได้รับการปรับปรุงอย่างไร
  2. ประโยชน์ต่อครูผู้สอน ทราบข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนทราบถึงผลการสอนของครูว่ามีประสิทธิผลมากน้อยเพียงไร ทำให้ครูได้ข้อมูลในการปรับปรุงการจัดกิจกรรมการสอนหรือการกำหนดจุดมุ่งหมายในการสอนที่เหมาะสมต่อไป และช่วยให้ครูกำหนดเทคนิควิธีสอนที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล กรณีที่ประสงค์จะสอนเพิ่มเติมหรือสอนซ่อมเสริม
  3. ประโยชน์ต่อผู้ปกครองผู้เรียน ผู้ปกครอง ที่ส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาในสถานศึกษานั้น ต้องการทราบถึงพัฒนาการหรือความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนในความปกครองเป็นระยะ ๆ และต้องการทราบถึงสมรรถภาพในการเรียนของผู้เรียนด้วย การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษาจะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกรายการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ผลการประเมินจึงต้องให้ผู้ปกครองของผู้เรียนทราบด้วยเพื่อที่ผู้ปกครองจะได้ใช้เป็นพื้นฐานการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาต่อไป
  4. ประโยชน์ต่องานแนะแนว เพราะผู้เรียนต้องการได้รับคำแนะนำหรือข้อชี้แนะเกี่ยวกับการเลือกอาชีพ การศึกษาต่อและปัญหาส่วนตัวที่ประสบอยู่ สถานศึกษาทุกแห่งจึงมีหน่วยงานบริการแนะแนวที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ในการจัดดำเนินงานการแนะแนวให้มีประสิทธิภาพข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีอยู่อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามความเป็นจริง ข้อมูลเหล่านี้จะได้มาจากกระบวนการของการวัดผลและประเมินผลการศึกษา เช่น การจัดเจตคติ การวัดความสนใจ การวัดบุคลิกภาพ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดความถนัด เป็นต้น
  5. ประโยชน์ต่อการบริหารการศึกษา ผลการประเมินโดยภาพรวมของสถานศึกษานั้น ๆ จะเป็นข้อมูลบอกถึงประสิทธิภาพในการจัดและการบริหารการศึกษา นอกจากนี้ในระบบการบริหารการศึกษายังมีความจำเป็นต้องใช้การวัดผลและประเมินผลเพื่อเป็นเครื่องมือการดำเนินกิจกรรมหลาย ๆ ด้าน เช่น การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ การสอบคัดเลือก การจัดแยกประเภทผู้เรียนและการประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นต้น
  6. ประโยชน์ในการวิจัยการศึกษา ข้อมูลทางการศึกษาที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลการศึกษาด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้เรียน ครู ผู้บริหาร บุคลากรในสถานศึกษา งบประมาณ ระบบการบริหาร การจัดการ และอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ นั้นจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อศึกษา วิจัยในประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
สรุปได้ว่า “การวัดและประเมินผลการเรียนรู้” จึงเป็นกระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยนำข้อมูลอันเป็นผลจากการเรียนรู้ มาเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาวิชา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบการวัดและประเมินผลการเรียน การบริหารหลักสูตรและการแนะแนว เป็นต้น โดยต้องมีการสร้างเครื่องมือที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สอดคล้อง และตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัด และการประเมินผลที่มีคุณภาพด้วย


เรียบเรียง :
สุมาลี อริยะสม  ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
สถาบัน กศน. ภาคเหนือ. (2565). คู่มือการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ลำปาง : สถาบัน กศน.ภาคเหนือ. 
  
สำนักงาน กศน.. (2555). คู่มือการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : รังษีการพิมพ์.

สำนักงาน กศน.. (2555). คู่มือการดำเนินงานหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2555) (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : รังษีการพิมพ์.

สมชาย รัตนทองคำ. การวัดและการประเมินผลการศึกษา (เอกสารประกอบการสอน 475 788 การสอนทางกายภาพ บำบัด ภาคต้นปีการศึกษา 2554). https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf

พรรณไม้ในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ : มะเกลือ

มะเกลือ เป็นพรรณไม้ที่มีลักษณะเด่นคือ ทุกส่วนของมะเกลือเมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ในสมัยก่อนจะใช้ยางจากผลไปใช้ย้อมผ้า ได้สีเทาถึงน้ำตาล สีย้อมจากมะเกลือเกิดจากการนำผลของมะเกลือมาย้อมเส้นใยหรือผ้า โดยมะเกลืออ่อนนำมาย้อมได้สีดำ มะเกลือสุกนำมาย้อมได้สีเทา มะเกลือดองนำมาย้อมได้สีเทาอ่อน กระบวนการย้อมจะเริ่มจากการย้อมเย็นได้สีเทาอ่อน แล้วจึงย้อมร้อนให้ได้สีน้ำตาลเข้มถึงดำ สามารถย้อมเส้นใยธรรมชาติ เช่น ไหม ฝ้าย ซักแล้วสีไม่ตก นอกจากนี้การดองมะเกลือเก็บไว้ทำให้สามารถย้อมได้ตลอดปี แต่ในปัจจุบันการย้อมผ้าด้วยมะเกลือไม่ค่อยพบแล้ว การปลูกต้นมะเกลือจึงน้อยลง และคนรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยรู้จักต้นมะเกลือกันแล้ว


ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-30 เมตร มีเรือนยอดเป็นพุ่ม ลำต้นเปลา (ลำต้นสูงชะลูด ไม่มีกิ่งที่ลําต้น)

ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
1. ชื่อวิทยาศาสตร์  : Diospyros mollis Griff.
2. ชื่อไทย  : มะเกลือ
3. ชื่อท้องถิ่น : มักเกลือ, ผีเผา, มะเกือ มะเกีย, เกลือ
4. ชื่อสามัญ : Ebony tree
5. วงศ์ (Family) : EBENACEAE
6. สกุล (Genus) : Diospyros
7. ลักษณะวิสัย (Habit) : ไม้ยืนต้น
8. ลักษณะทางพฤกษศาตร์
  • ลำต้น มีลำต้นขนาดย่อม ๆ โคนต้นมักขึ้นเป็นพอพอน ผิวเปลือกเป็นสีดำ แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามยาว เปลือกด้านในมีสีเหลือง แก่นสีดำสนิทเนื้อละเอียดเป็นมันสวยงาม   
  • ใบ เป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก เรียงสลับกัน ก้านใบกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร โคนและปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมัน แต่ใบอ่อนมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน
ภาพจาก : ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
http://www.qsbg.org/Database/plantdb/mdp/medicinal-specimen.asp?id=742

  • ดอก  ออกดอกตามซอกใบ มีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนแยกเพศอยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศผู้ออกรวมกันเป็นช่อสั้น ๆ ช่อหนึ่งมี 3 ดอก มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ  ที่โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายกลีบดอกโค้งไปด้านหลัง เรียงซ้อนเกยกันทั้งหมด 4 กลีบ มีเกสรอยู่กลางดอก ส่วนดอกเพศเมียเป็นดอกเดี่ยว มีขนาดใหญ่กว่า และมีก้านเกสร 4 แฉก รังไข่มีขนปกคลุม
  • ช่วงเวลาการออกดอก  เดือนมกราคมถึงสิงหาคม
  • ผล  มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อผลแก่ มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ขั้วผล 4 กลีบภายในผลมีเมล็ดแบนสีเหลืองประมาณ 4-5 เมล็ด 

9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา
มีถิ่นกำเนิดในทวีบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม พบในป่าผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบ ในทุกภาคของประเทศไทยและพบมากในจังหวัดลพบุรี ราชบุรี สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร และอุดรธานี    

แผนที่แสดงถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของมะเกลือ
ภาพจาก Plant of the world online.
https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:322726-1


10. การปลูกและการขยายพันธุ์ 
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

11. การใช้ประโยชน์
ผลมะเกลือ มีสรรพคุณตามตำรายาไทย คือ ผลสดที่โตเต็มที่และมีสีเขียวเข้มช่วยขับพยาธิ ส่วนผลสุกที่มีสีดำสามรถนำไปใช้ย้อมผ้า ย้อมแหซึ่งจะให้สีดำเข้มและติดได้ทนนาน ที่สำคัญมากและต้องระวังคือ ผลมะเกลือสีดำห้ามนำไปรับประทานโดยเด็ดขาดเพราะมีสารพิษที่จะทำให้ตาบอดได้ นอกจากนี้ ไม้มะเกลือซึ่งมีความละเอียดและแข็งแรงทนทาน สามารถนำไปทำเครื่องเรือน เครื่องดนตรี หรือทำตะเกียบได้ดีเช่นกัน

พรรณไม้นี้สามารถสัมผัสของจริงได้ที่บริเวณด้านข้างระหว่างอาคารส่วนการศึกษา บนพื้นที่สูงกับอาคารเทคโนโลยีทางการศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ


เขียน/เรียบเรียง :
แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

ถ่ายภาพ : 
สราวุธ เบี้ยจรัส  นัชรี อุ่มบางตลาด  อรวรรณ ฟังเพราะ

อ้างอิง :
พิชัย สราญรมย์, สาโรช เมาลานนท์ และวราวรรณ กิจธรรม. (2526). ความรู้เรื่องมะเกลือและแนวทางวิจัย. ข่าวสารเกษตรศาสตร์. 28(2), 1-11. https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/kukr/search_detail /dowload_digital_file/39174/70288

แพรวพรรณ เกษมุล. (2556). การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชสกุล Diospyros ในภาคใต้โดยใช้เทคนิคอาร์เอพีดี [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์]. https://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream /2010/9616/1/384702.pdf

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). ข้อมูลต้นไม้ : มะเกลือ. ระบบฐานข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=3964

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. คณะแพทยศาสตร์. (2564, 30 พฤศจิกายน). มะเกลือ. สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์. https://www.med.tu.ac.th/department/attm/?p=2151

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะเภสัชศาสตร์. (ม.ป.ป). มะเกลือ. ฐานข้อมูลสมุนไพร.
https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=90

พรรณไม้ในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ: ขะจาว

ขะจาว เป็นต้นไม้มงคลที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานให้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดลำปางในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชสมบัติครบรอบปีที่ 50 โดยได้พระราชทานพันธุ์ไม้ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดของแต่ละจังหวัด ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2537 เพื่อให้นำไปปลูกเป็นสิริมงคลแก่จังหวัดและเพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้


ในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ มีต้นขะจาว ซึ่งนับเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญยิ่งต้นหนึ่ง เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูก เมื่อครั้งเสด็จยังสถาบัน กศน.ภาคเหนือ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547


ลักษณะทั่วไปของต้นขะจาว  
ขะจาว เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร ลำต้นมักแตกง่ามใกล้โคนต้น เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา มีต่อมระบายอากาศเป็นจุดกลมเล็ก ๆ สีขาวตามลำต้น เรือนยอดเป็นพุ่มรูปไข่กว้างค่อนข้างทึบ

ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
1. ชื่อวิทยาศาสตร์: Holoptelea integrifolia (Roxb.) Planch.
2. ชื่อไทย : ขะจาว
3. ชื่อท้องถิ่น : กระเจา, กระเชา (ภาคกลาง)  กระเจาะ ขะเจา (ภาคใต้)  กระเช้า (กาญจนบุรี)  กะเซาะ (ราชบุรี)  กาซาว (เพชรบุรี)  ขะจาวแดง ฮังคาว (ภาคเหนือ)  ตะสี่แค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
พูคาว (นครพนม) มหาเหนียว (นครราชสีมา) ฮ้างค้าว (อุดรธานี เชียงราย ชัยภูมิ)
4. ชื่อสามัญ : Indian Elm
5. วงศ์ : URTICACEAE
6. ลักษณะวิสัย : ไม้ต้น (Tree)
7. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
  • ลำต้น ลำต้นเปลา (สูงชะลูดไม่มีกิ่งที่ลำต้น) เปลือกลำต้นสีน้ำตาลปนเทา
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรีป้อมกว้าง 4-9 เซนติเมตร ยาว 7-14 เซนติเมตร โคนใบมนหรือป้าน ปลายใบเรียวแหลม ก้านใบมีขน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นจักฟันเลื่อยห่าง ๆ
  • ดอก ขะจาวออกดอกเป็นช่อกระจุก ช่อสั้น ๆ ตามซอกใบ ช่อดอกยาวประมาณ 0.8-1.5 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีแดงออกน้ำตาล มีกลีบ 5-6 กลีบ เกสรแยกเพศเป็นดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย มีเกสรเพศผู้ 3-9 อัน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มีก้านสั้น ๆ ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 2 แฉก มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด
  • ระยะเวลาออกดอก เดือนธันวาคม-มกราคม
ดอกขะจาว ภาพโดย Dinesh Valke from Thane, India - Holoptelea integrifolia, CC BY-SA 2.0,
https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=5158618

  • ผล ผลเป็นรูปโล่แบน มีปีกบางล้อมรอบ มีก้านเกสรเพศเมีย 2 อันติดอยู่ส่วนบนสุด บริเวณปีกมีลายเส้นออกเป็นรัศมีโดยรอบมีปีกบางล้อมรอบ

9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา
ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณและป่าทุ่งบนที่ราบหรือตามเชิงเขาที่ไม่สูงจากระดับน้ำทะเลมากนัก พบในอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม และเกาะบอร์เนียว

แผนที่แสดงถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ของขะจาว
ภาพจาก https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:854174-1

10. การปลูกและการขยายพันธุ์ 
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง ทนแล้ง

11. การใช้ประโยชน์
ต้นขะจาวเป็นไม้เนื้อแข็ง มีเปลือกหุ้มต้นที่เหนียวมาก มีกลิ่นเหม็นเขียว สามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เนื้อไม้ ใช้ทำสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในร่ม ทำเครื่องมือทางการเกษตร เช่น ด้ามจอบ เสียม ทำพานท้ายปืน เส้นใยจากเปลือกเหนียว ใช้ทำเชือก ผ้าและกระสอบ เปลือกมีสรรพคุณทางยา
ใช้ทำยารักษาเรื้อนสุนัข กันตัวไร และเป็นยาแก้ปวดตามข้อ

ขะจาว ต้นไม้คู่เมืองลำปาง
ต้นขะจาวหรือเก๊าจาว ที่มีความสำคัญเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปางมีอยู่ 2 แห่งคือ

1. ต้นขะจาวที่วัดพระธาตุลำปางหลวง 
มีลักษณะเป็นสองต้น ต้นใหญ่และต้นเล็กโตแยกออกจากกันที่โคน แต่พุ่มและปลายรวมกันเป็นต้นเดียว ต้นใหญ่มีเส้นรอบวงเกือบ 35 เมตร ความสูง 60 เมตร และต้นเล็กมีเส้นรอบวง 3.02-3.96 เมตร สูงโดยประมาณ 15 เมตร มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาตามความเชื่อว่า ต้นขะจาวต้นนี้ ปลูกเมื่อครั้งพุทธกาล โดยชาวลั่วะคนหนึ่งได้นำกิ่งขะจาวมาทำเป็นคานหาบกระบอกน้ำผึ้ง มะพร้าว และมะตูม มาถวายพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง และได้อธิษฐานแล้วนำปลายไม้ขะจาวปักลงในดิน ไม่นานไม้คานนั้น ก็แตกกิ่งก้านเจริญเติบโต ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำเอารากไม้ต้นขะจาวไปบูชา หรือนำไปทำเป็นเครื่องรางของขลังห้อยคอ ต่อมาต้นขะจาวซึ่งเป็นต้นเดิมตามตำนาน ได้แห้งและผุลงจนไม่เห็นซากเดิม แต่ก็มีต้นใหม่งอกออกมาตรงที่เดิมเป็นพุ่มใหญ่ ปัจจุบันต้นขะจาวต้นนี้ อยู๋ในความดูแลของวัดพระธาตุลำปางหลวง อ.เมือง จ.ลำปาง

ต้นขะจาวที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ภาพจาก https://travel.kapook.com/view195496.html

2. ต้นขะจาวที่ชุมชนบ้านท่าโทก 
มีต้นขะจาวขนาดใหญ่อยู่ ณ บริเวณกลางหมู่บ้านท่าโทก ซอย 6 หรือ “ซอยเก๊าจาว” หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งฝาย อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งชาวบ้านคาดว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 1,000 ปี อยู่ข้างหอหลวงเจ้าพ่อแสงเมือง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของคนในชุมชน ประกอบด้วยต้นขะจาวต้นใหญ่ซึ่งต้นแม่ 2 ต้น  และต้นเล็กอีก 2 ต้น ซึ่งเกิดจากเมล็ดขะจาวต้นแม่ มีตำนานเล่าว่าเจ้าพ่อแสงเมืองท่านเป็นทหารศึก ในยามมีศึกท่านจะซุ่มดูข้าศึกอยู่บนต้นขะจาว และส่งสัญญานให้กองทัพทราบว่ามีศัตรูเข้ามารุกราน ปัจจุบันต้นขะจาวต้นนี้อยู่ในความดูแลของชาวบ้านชุมชนบ้านท่าโทก อ.ทุ่งฝาย อ.เมือง จ.ลำปาง

ต้นขะจาวอายุ 1000 ปี ณ บ้านท่าโทก ต. ทุ่งฝาย อ. เมือง จ.ลำปาง
ภาพจากเฟซบุ๊ก รุกขกร กรมป่าไม้ https://www.facebook.com/RFD.Arborist/posts/2315368692067732/

ต้นขะจาวทั้ง 2 ต้นนี้ ได้รับการคัดเลือกให้บันทึกลงในหนังสือ รุกข มรดกของแผ่นดิน ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา 2 เมษายน 2561 โดยคัดเลือกและรวบรวมประวัติและเรื่องราวของต้นไม้ที่มีชีวิตยืนยาวในท้องถิ่นทั่วภูมิภาคของไทย

เขียน/เรียบเรียง :
นางสาวนัชรี อุ่มบางตลาด ครู ชำนาญการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง:
กระทรวงวัฒนธรรม. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2561) รุกข มรดกของแผ่นดิน [Ebook]. น.186-189. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด. http://tree.culture.go.th/tree2561/1/mobile/index.html

ขะจาว ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองลำปาง. (2562, 15 มกราคม). เพซบุ๊กรุกขกร กรมป่าไม้.
https://www.facebook.com/RFD.Arborist/posts/2315368692067732/

ต้นไม้ประจำจังหวัดลำปาง ต้นขะจาว. 108 พรรณไม้ไทย. https://www.panmai.com/PvTree/tr_52.shtml
ตามรอย 63 รุกข มรดกของแผ่นดิน สู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน. https://travel.kapook.com/view195496.html

กรมป่าไม้. สำนักส่งเสริมการปลูกป่า. ส่วนผลิตกล้าไม้. (ม.ป.ป). ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดลำปาง : ขะจาว. https://www.forest.go.th/nursery/สาระน่ารู้/ไม้มงคลประจำจังหวัด/ลำปาง/

พรรณไม้ในสถาบัน กศน.ภาคเหนือ : กาสะลอง (ปีบ)

กาสะลอง หรือ ปีป เป็นไม้ที่ให้ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม นิยมปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับและให้ร่มเงา เป็นดอกไม้ที่อยู่ในความเชื่อและความศรัทธาของชาวล้านนา โดยจะเห็นได้จากการที่ชาวล้านนานิยมนำดอกกาสะลองมาบูชาพระในพิธีสวดเทศน์มาหาชาติเรียกว่าการ “ตั้งธรรมหลวง” ในช่วงประเพณียี่เป็ง นอกจากนี้ ชาวล้านนายังเชื่อว่า ดอกกาสะลองเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่า ใช้บูชาพระแม่ธรณี เนื่องจากเมื่อหล่นลงมาเกลื่อนพื้นจึงจะมีกลิ่นหอม ถือกันว่าดอกกาสะลองนี่แหละคือดอกปาริชาต ดอกไม้จากสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลิ่นหอมเย็นจรุงใจไปทั้งแผ่นดิน กระทั่งสวรรค์ชั้นพรหม และยมโลก


ลักษณะทั่วไป
กาสะลอง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นตรงสูงโปร่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาในระดับสูง ดอกมีกลิ่นหอม

ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์
1. ชื่อวิทยาศาสตร์ : Millingtonia hortensis L.f.
2. ชื่อไทย : ปีบ
3. ชื่อท้องถิ่น :  กาซะลอง กาดสะลอง (ภาคเหนือ)  เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
4. ชื่อสามัญ : Indian cork tree, Tree jasmine
5. วงศ์ (Family) : BIGNONIACEAE
6. สกุล (Genus) : Millingtonia
7. ลักษณะวิสัย (Habit) : ไม้ยืนต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ
8. ลักษณะทางพฤกษศาตร์
  • ลำต้น  สูงได้ถึง 15 เมตร  เปลือกหนา สีเทาหรือน้ำตาลอมเทาแตกเป็นร่องตามยาว
  • ใบ  เป็นใบประกอบแบบขนนกสามชั้น เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก มีใบย่อยจำนวนมาก ลักษณะใบมีรูปไข่แกมรูปใบหอก รูปขอบขนาน หรือรูปคล้ายสามเหลี่ยม กว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือตัดขอบหยักเป็นซี่ฟัน และเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ด้านล่างมีขนตามซอกระหว่างเส้นกลางใบกับเส้นแขนงใบ เส้นแขนงใบข้างละ 3-5 เส้น

  • ช่อดอก  ออกตามปลายกิ่ง เป็นช่อกระจุกแยกแขนงมีดอกจำนวนมาก แต่ละช่อยาว 10-35 เซนติเมตร 
  • ดอก  ดอกบานให้กลิ่นหอมตลอดทั้งวันซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5-4 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงรูปทรงถ้วยมีสีเขียวปลายแยกเป็น 5 แฉก กว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร โคนดอกมีลักษณะเป็นหลอดแคบ ๆ ยาว 6-9 ซม. ปลายหลอดบานออกเป็นปากแตรแยกออกเป็น 5 แฉก ซีกบน 2 แฉก ซีกล่าง3 แฉก แต่ละแฉกยาว 1-1.5 เซนติเมตร ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่  ก้านเกสรยาวไม่เท่ากัน มีทั้งก้านสั้นและยาวอย่างละ 1 คู่ และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบดอก
  • ช่วงเวลาการออกดอก  พฤศจิกายน ถึงเดือนพฤษภาคม

  • ผล  เป็นฝักแบน ยาวแคบ รูปขอบขนาน ยาว 30-40 เซนติเมตร ปลายฝักแหลม ฝักอ่อนสีเขียว มีเนื้อ พอแห้งแข็ง แตกออกเป็น 2 ซีก ภายในฝักมีเมล็ดจำนวนมาก มีลักษณะแบน รูปหยดน้ำ มีปีกสีขาว ค่อนข้างบางใสอยู่โดยรอบเมล็ด

9. การกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยา
ในประเทศไทยพบได้เกือบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ในต่างประเทศพบที่อินเดีย บังกลาเทศ เมียนมาร์ จีนตอนใต้ อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต

10. การปลูกและการขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือแยกหน่อที่แตกจากราก

11. การใช้ประโยชน์
ดอกปีบ มีสรรพคุณตามตำรายาไทย คือช่วยขยายหลอดลม บรรเทาอาการโรคหอบหืด โดยวิธีสุมยาตามหลักภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน นอกจากนี้ เนื้อไม้ยังนำไปใช้ทำเครื่องเรือน และส่วนเปลือกไม้มีลักษณะคล้ายฟองน้ำนำไปทำจุกก็อกขนาดเล็กได้
 
เมื่อรู้ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และประโยชน์ของต้นไม้นามนี้แล้ว กำลังมองหาสถานที่เรียนรู้และสัมผัสของจริง ก็สามารถศึกษาได้บริเวณด้านข้างอาคารพัสดุ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ


เขียน/เรียบเรียง :
แก้วตา ธีระกุลพิศุทธิ์  ครูชำนาญการพิเศษ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง :
นพพล เกตุประสาทและไพร มัทธวรัตน์ (รวบรวม). ปีบ. ศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง.           http://clgc.agri.kps.ku.ac.th/resources/old-fragrant/millingtonia.html

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ข้อมูลต้นไม้ : ปีบขาว. ระบบจัดการข้อมูลพรรณไม้ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. https://buildings.oop.cmu.ac.th/plant/index.php?op=plants&do=treedetail&treeid=275

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม. ชมรมฮักตั๋วเมือง. (2564, 30 มกราคม). รู้จักความหมายที่ซ่อนอยู่ของ “กาสะลอง” ของคนล้านนา. มติชนสุดสัปดาห์. https://www.matichonweekly.com/column/article_389349

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. คณะเภสัชศาสตร์. (ม.ป.ป.). ปีบ. ฐานข้อมูลสมุนไพร. https://apps.phar.ubu.ac.th/phargarden/main.php?action=viewpage&pid=237

สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, สำนักสารนิเทศ. (2562, 24 กรกฎาคม). กาสะลองหรือดอกปีบ มีสรรพคุณบรรเทาอาการโรคหืด แพทย์แผนไทยแนะวิธีใช้อย่างง่าย. https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/129901/

อุทยานหลวงราชพฤกษ์. (ม.ป.ป.). ปีบ. https://rpplant.royalparkrajapruek.org/Display/Details_fn/3656