สมาธิกับวิทยาศาสตร์

หลายคนปฏิเสธไม่ได้ว่าความคิดในหัวของคนเรามักคิดวนเวียนไปเรื่อย ๆ บางคนมักคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำเรื่องความสุข ความเศร้า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะคิดถึงประสบการณ์ที่เลวร้าย น้อยมากที่จะคิดถึงความสุข นอกจากนี้ยังกังวลถึงอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต ความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ หน้าที่การงาน เป็นต้น ในหลายงานวิจัยที่ทำการสแกนสมองของผู้ที่ฝึกสติหรือฝึกสมาธิมาอย่างยาวนานต่างให้ผลคล้ายกันคือ ระหว่างการทำสมาธิหรือเจริญสติ ทำให้เราเป็นนายของจิตหรือควบคุมอารมณ์ของจิตได้ ทำให้เราสามารถคลายความทุกข์ที่มีอยู่ในใจได้ คนทั่วไปในเวลาปกติมักจะส่งคลื่นเบต้าออกมา ซึ่งมีความถี่ของคลื่นประมาณ 21 รอบต่อวินาที เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึก เช่น โกรธ กลัว เกลียด อิจฉา ตื่นเต้น คลื่นสมองก็จะมีความถี่สูงขึ้นทันที ทำให้บุคคลผู้นั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มีความตึงเครียดสูง มีสมาธิน้อยลง มีความสามารถในการเรียนรู้ต่ำ มีภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดลง ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม คนเราจะมีภูมิคุ้มกันโรคสูง มีสมาธิดี มีอารมณ์เยือกเย็น มีความคิดที่เฉียบคม มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สูง เมื่อคลื่นสมองมีความถี่ต่ำกว่า 19 รอบต่อวินาที ดังนั้นหากปล่อยให้คลื่นสมองมีความถี่สูงเกินกว่า 21 รอบต่อวินาทีเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดโรคเครียดและวิตกกังวล ซึ่งเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งของโลก

การฝึกสมาธิแบบการทำจิตให้ว่างและรับรู้การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมจะส่งคลื่นอัลฟ่าออกมา การฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องมีผลต่อสมองคือสมาธิสามารถเปลี่ยนโครงสร้างสมองได้ ทำให้เปลือกสมองหนาขึ้น ลดความเสื่อมของสมองส่งผลต่ออารมณ์เกิดความสมเหตุสมผลมากขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ปรับการแสดงออกทางหน้าตา ท่าทาง ไม่โกรธง่าย ไม่เคียดแค้นชิงชัง กลับมาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น รักตนเองมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ในงานได้ดีขึ้น

การนั่งสมาธิ
การนั่งสมาธิ คือการฝึกปฏิบัติใช้ความตั้งมั่น จดจ่อ และแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติเกิดความสงบ ความรู้สึกตัว หรือมีสติ ชาวตะวันตกมักใช้คำว่า "Concentration" และ "Meditation" ที่สื่อถึงการทำสมาธิให้จิตใจสงบ 

ภาพโดย pressfoto จาก Freepix

การทำสมาธินั้นถูกปฏิบัติมาประมาณพันปี โดยแรกเริ่มจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันทางศาสนา ซึ่งปัจจุบันการทำสมาธินั้นได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ เพราะการฝึกทำสมาธิช่วยให้สมองทำงานได้รวดเร็วขึ้นและตัดสินใจได้ดีขึ้นด้วย มีงานที่วิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การฝึกสติแบบทั่วไปสามารถส่งผลต่อสมองได้อย่างลึกซึ้ง ภายในระยะเวลาเพียง 8 สัปดาห์ ผู้ที่ไม่เคยฝึกสมาธิอาจจะตั้งข้อสงสัยว่า การนั่งหลับตาแล้วหายใจเข้าหายใจออก จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า การฝึกสมาธิส่งผลดีต่อสมองอย่างไรบ้าง และเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นภายในสมองหลังจากที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานาน ๆ บทความนี้จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลมาแบ่งปันให้ทุกท่านได้ลองอ่านกัน มีการทดลองเปรียบเทียบระหว่างคนที่ทำสมาธิและคนที่ไม่ทำสมาธิ ผลปรากฏว่าคนที่นั่งสมาธิมีความแข็งแรงของเส้นประสาทมากกว่าคนที่ไม่ได้นั่งสมาธิอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิมีประโยชน์แน่นอนทำให้เราจะมีความเป็นกลางมากขึ้นโดยไม่ตัดสินในสิ่งที่เห็นทันทีทันใด ทนกับสภาวะปกติได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาวะดีหรือร้าย และสามารถแยกความเจ็บออกไปจากร่างกายได้

จากภาพสแกนสมองของผู้ที่ฝึกสมาธิพบว่าเนื้อสมองในส่วนของเปลือกสมองด้านนอกที่เรียกว่า Gray matter ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลล์สมองมีความหนากว่าคนที่ไม่ฝึกสมาธิ และพบว่าบริเวณสมองส่วนหน้าด้านซ้ายมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น คลื่นสมองก็ทำงานได้ดีขึ้นกว่าปกติ จากเดิมที่มีความถี่สูงซึ่งบ่งบอกถึงความคิดที่ฟุ้งซ่าน ก็เปลี่ยนเป็นคลื่นความถี่ต่ำและสม่ำเสมอมากขึ้นแสดงถึงความสงบผ่อนคลาย คนที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานาน ๆ สมองมีส่วนเปลือกนอกสีเทา ๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาท จะหนาตัวขึ้น นั่นหมายถึง มีเซลล์สมองเพิ่มขึ้น และบริเวณส่วนหน้าแถวหน้าผากด้านซ้าย จะมีการทำงานของคลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าลงและสม่ำเสมอมากขึ้น ที่เรียกว่า “คลื่นแกรมม่า” ซึ่งพบในคนที่จิตเป็นสมาธิลึก ๆ

ภาพโดย Maxim P บน Adobe Stock 

เมื่อมีการศึกษาและมีงานวิจัยที่รองรับและแสดงให้เห็นประโยชน์ของการฝึกสมาธิ ทำให้ศาสตร์นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น ชาวตะวันตกส่วนมากก็เริ่มหันมาฝึกสมาธิกันอย่างแพร่หลาย หน่วยงานใหญ่ ๆ หลายหน่วยงานต่างให้ความสำคัญกับการฝึกสมาธิและมีนโยบายให้พนักงานฝึกสมาธิด้วยเช่นกัน การทำสมาธิเป็นการลดความเครียด คลายความวิตกกังวล ฝึกความอดทน ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น และยังช่วยเพิ่มเซลล์ประสาทในสมองในส่วนการควบคุมและการตอบสนองทางอารมณ์

ขั้นตอนการฝึกสมาธิ (แบบไม่อิงศาสนาใด ๆ )
  1. หาที่นั่งที่เราคิดว่าสบายสำหรับเราอาจจะเป็นสนามหญ้า ห้องพระ หรือห้องนอนก็ได้แต่ต้องเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ
  2. นั่งหลับตาและไล่ดูจุดที่เกร็งให้คลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นลง
  3. หายใจเข้า-ออกอย่างช้า ๆ หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ
  4. โฟกัสไปจุดใดจุดหนึ่งตรงที่ลมหายใจชัดตรงนั้น เช่น ตรงจมูก ตรงท้อง หรือหาเสียงนำสมาธิใน youtube เป็นต้น
  5. ถ้าความคิดผุดขึ้นมา เราจะไม่มีอารมณ์กับสิ่งนั้น มองแบบไม่ตัดสิน และกลับไปที่จุดโฟกัสเดิม
  6. ใช้เวลาในการฝึกอย่างพอประมาณอย่างต่ำ 10 นาที และสม่ำเสมอ
ร่างกายของคนเราจะแข็งแรงได้ด้วยการออกกำลังกาย สมองของคนเราก็เช่นกันต้องการฝึกฝนจนแข็งแรง และการฝึกสมาธิเป็นหนทางที่จะเกิดผลดีต่อสมอง ดังนั้นการหาเวลาบริหารสมองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพียงใช้ความเพียรและความสม่ำเสมอในการฝึกฝน เพียงเท่านี้อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของคุณได้ เริ่มทำได้เลยในวันนี้แล้วคุณจะค้นพบว่าความสุขไม่ได้หามาจากที่ไหนไกลเลย แต่อยู่ใกล้ ๆ ตัวคุณนั่นคือจิตใจของคุณเอง


เรียบเรียง
กาญจนภัสส์ ทวีกิตติกร  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง
การนั่งสมาธิกับผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์. (ม.ป.ป.). หอมหวล. https://www.homhuan.com/news/detail.php?id=25

สมาธิกับวิทยาศาสตร์. (2563, 27 พฤษภาคม).  trueID. https://news.trueid.net/detail/31dOWp5a5LY8

MGR Online. (2566, 6 สิงหาคม). สมองพัฒนาได้ ด้วยการเจริญสติ (ตอนที่ 1). https://mgronline.com/dhamma/detail/9560000079672


อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามอุทยานดาราศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ หมู่ 4 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ อุทยานดาราศาสตร์ ว่า “อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร” (Princess Sirindhorn AstroPark) เป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนาทางดาราศาสตร์ของประเทศไทย เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก ทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางดาราศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มภาคภูมิ เป็นแหล่งรวมศิลปวิทยาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ เป็นแหล่งค้นคว้า ศึกษาวิจัย บ่มเพาะและสร้างนักวิจัยดาราศาสตร์ เป็นศูนย์บริการข้อมูล ฝึกอบรม ถ่ายทอดเทคโนโลยีดาราศาสตร์ จัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิชาการที่สำคัญ และใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)


ภายในพื้นที่ 54 ไร่ ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ ประกอบไปด้วย

อาคารสำนักงาน สำนักงานสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ประกอบด้วย งานวิจัยและพัฒนา ห้องปฏิบัติการทัศนศาสตร์ ศูนย์ปฏิบัติการดาราศาสตร์วิทยุ ศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ห้องสมุดดาราศาสตร์ ศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติ และส่วนงานสนับสนุนภารกิจหลัก

อาคารปฏิบัติการ เป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติการหอดูดาวแห่งชาติ และวิศวกรรม ประกอบด้วย ห้องปฏิบัติการเมคาทรอนิกส์ ห้องปฏิบัติการขึ้นรูปชิ้นงานความละเอียดสูง ห้องปฏิบัติการเคลือบกระจก


อาคารท้องฟ้าจำลองและนิทรรศการ ประกอบด้วย ส่วนท้องฟ้าจำลองระบบฟูลโดมดิจิทัล 360 องศา รองรับความละเอียดสูงสุด 8K ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 เมตร ความจุ 160 ที่นั่ง และพื้นที่สำหรับรถผู้พิการ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของไทย แต่มีความคมชัดที่สุดในอาเซียน ส่วนนิทรรศการดาราศาสตร์แบบมีปฏิสัมพันธ์ 19 โซน ได้แก่ การสำรวจระบบสุริยะ เสียงแห่งเอกภพ การเกิดเฟสดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้น-น้ำลง  เครื่องตรวจจับรังสีคอสมิกฝีมือคนไทย สเปกตรัมกับการศึกษาทางดาราศาสตร์ การสังเกตกลุ่มดาวบนท้องฟ้า รูม่านตากับความเข้มแสง การเกิดฤดูกาล การเปรียบเทียบน้ำหนักบนดาวเคราะห์ น้ำหนักของคุณบนดาวเคราะห์ การเกิดพายุบนดาวเคราะห์แก๊ส อุกกาบาต วิวัฒนาการดาวฤกษ์ ไทม์ไลน์การกำเนิดเอกภพ ลูกตุ้มเพนดูลัมกับการพิสูจน์การหมุนของโลก ภารกิจยานสำรวจดาวอังคาร ภารกิจพิชิตดวงจันทร์ นิทรรศการภาพถ่ายดาราศาสตร์


นิทรรศการ ภายในอาคารท้องฟ้าจำลองและนิทรรศการ

หอดูดาว หอดูดาวสำหรับให้บริการประชาชน ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร จ.เชียงใหม่ เป็นอาคารสังเกตการณ์วัตถุท้องฟ้าด้วยกล้องโทรทรรศน์แบบต่าง ๆ ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ด้านข้างเป็นระเบียงดาวมีหลังคาแบบเลื่อนเปิดออกได้ ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีขีดความสามารถสูง จำนวน 5 ชุด สำหรับให้บริการดูดาว สังเกตวัตถุท้องฟ้า รวมทั้งถ่ายภาพวัตถุท้องฟ้า เปิดบริการทุกวันเสาร์ 18:00-22:00 น. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม

ลานกิจกรรมอเนกประสงค์กลางแจ้ง ใช้ในการจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ และกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ เช่น กิจกรรมดูดาวสำหรับประชาชน การสังเกตปรากฏการณ์ท้องฟ้าและปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์

อาคารหอดูดาวและลานกิจกรรม

อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร เป็นแหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมศิลปะวิทยการ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ ให้บริการในการจัดกิจกรรมดาราศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิชาการด้านดาราศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย 

การเดินทาง
อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ อยู่บนถนนเส้นเดียวกับสนามกีฬาสมโภชน์เชียงใหม่ 700 ปี คือถนนเลียบคลองชลประทาน 


จากหน้าสนามกีฬาสมโภชน์เชียงใหม่ 700 ปี ไปตามถนนหมายเลข 121 (ถนนเลียบคลองชลประทาน) จะผ่านโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะเจอเจอสามแยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานคลองชลประทาน (สะพานจะตรงกับประตูทางเข้าหมวดซ่อมบำรุงส่วนหน้าที่ 1 กองทัพบก)  พอข้ามฝั่งคลองมาแล้วให้เลี้ยวขวา จะเห็นทางเข้า "อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร" จะอยู่ซ้ายมือ 


เรียบเรียง:
นางสาวนัชรี อุ่มบางตลาด  ครู ชำนาญการ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

ถ่ายภาพ:
สราวุธ เบี้ยจรัส  นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง:
องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ. (ม.ป.ป.). Princess Sirindhotn AstroPark อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร. [แผ่นพับ]. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน). อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร. https://www.narit.or.th/index.php/sirindhorn-astro-park

อาหารขึ้นบ้านใหม่ล้านนา

การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นพิธีที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นการส่งเสริมสิริมงคลแก่เจ้าบ้านและผู้อยู่อาศัยเมื่อย้ายบ้านหรือที่อยู่ใหม่ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยรักใคร่ปรองดอง ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ป้องกันสิ่งอันตราย ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมไปถึงกิจการค้าขายรุ่งเรืองอีกด้วย

การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของชาวล้านนา ในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย และแม่ฮ่องสอน นอกจากจะให้ความสำคัญกับพิธีทางศาสนาแล้ว อาหารที่นำมาทำบุญเลี้ยงพระก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน อาหารล้านนาไม่เพียงแต่มีรสชาติที่อร่อย แต่ยังแสดงถึงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของความเป็นล้านนา มีการสอดแทรกความเชื่อ ดังเช่น อาหารที่นิยมนำมาทำบุญในวันขึ้นบ้านใหม่ ได้แก่ แกงขนุน ลาบ แกงฟักเขียวใส่ไก่ แกงฮังเล และแกงอ่อม


1. แกงขนุน 
ภาษาเหนือเรียกกันว่า “แก๋งบะหนุน” โดยมีความเชื่อว่าการนำแกงขนุนไปใช้ในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ จะทำให้ชีวิตมีแต่คนอุดหนุนค้ำจุ้น จะมีแต่สิ่งดี ๆ ช่วยหนุนนำให้พบกับแต่ความเจริญรุ่งเรือง ประกอบกิจการใดก็จะสำเร็จดั่งที่หมาย และเกิดความเป็นสิริมงคลต่อคนในครอบครัว ตามชื่ออาหาร คือ ขนุน หมายถึง เกื้อหนุน หนุนนำ

2. ลาบ
เป็นอาหารยอดนิยมของชาวล้านนามาช้านาน และมีบทบาทเสริมส่งในด้านความเชื่อและวิถีชีวิตอีกหลายประการ ด้วย “ลาบ” พ้องเสียงกับคำว่า “ลาภ” ที่มีความหมายว่า โชคลาภ ลาภลอย การประสบและรับโชคลาภโดยไม่คาดฝัน คนโบราณจึงเชื่อว่าการนำลาบมาทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และถวายพระจะทำให้เจ้าของบ้าน บริวาร ลูกหลานมีโชคลาภ พบแต่สิ่งที่ดี ลาบที่ใช้เป็นลาบหมู ลาบวัว และ ลาบควาย จะเป็นลาบสุกหรือดิบก็ได้

3. แกงฟักเขียวใส่ไก่ 
แกงฟักเขียวใส่ไก่เป็นอาหารมงคลสำหรับการขึ้นบ้านใหม่ เพื่อเอาเคล็ดว่าให้เป็นที่รักของคนและเทวดาทั้งหลาย ชีวิตครอบครัวจะชุ่มเย็น ดั่งฟัก ฟักเขียวมีความหมายแทนความร่มเย็นอุดมสมบูรณ์ ในยามที่ได้กินเป็นแห่งการรำลึกถึงความเป็นพี่น้องไปพร้อมกัน

4. แกงฮังเล 
อาหารยอดนิยมของชาวล้านนาที่นิยมนำมาถวายพระในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือ แกงฮังเล เนื่องจากวัตถุดิบหลักคือเนื้อสัตว์ซึ่งมีราคาสูง ประกอบกับความพิถีพิถันในการปรุง ที่ต้องใช้เวลานานในการเคี่ยวเนื้อหมูให้เปื่อย นอกจากนี้แกงฮังเล ยังมีส่วนผสมของเครื่องเทศ เมื่อรับประทานแล้วส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมะขามเปียก มีรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี มะขามเปียกอุดมด้วยกรดอินทรีย์ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ขิงแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ป้องกันอาหารคลื่นไส้ อาเจียน ช่วยลดอาการไอและระคายคอ พริกช่วยบรรเทาอาการหวัด ลดการอุดตันของหลอดเลือด ลดคอเรสเตอรอลในเลือด หอมแดงช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืดแน่น ช่วยย่อย ทำให้เจริญอาหาร บรรเทาอาการบวมน้ำ กระเทียมแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น แกงฮังเลจึงนับเป็นอาหารสำคัญในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่

5. แกงอ่อม 
นอกจาก แกงขนุน ลาบ แกงฝักเขียวใส่ไก่ และแกงฮังเล ที่นิยมนำมาใช้ในการในงานขึ้นบ้านใหม่ของคนทางภาคเหนือ (ล้านนา) แล้ว ยังมีแกงอ่อมที่นิยมนำมาใช้เลี้ยงเลี้ยงพระ และเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน เพราะแกงอ่อมมีสมุนไพรเป็นวัตถุดิบที่ช่วยบำรุงสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นผักชีลาว ตะไคร้ ข่า ต้นหอมผักชี ใบมะกรูด เมล็ดผักชี มะแหลบ มะแขว่น ฯลฯ ซึ่งแกงอ่อมของชาวล้านนาก็มีทั้ง 
แกงอ่อมหมู แกงอ่อมเนื้อ หรือแกงอ่อมเครื่องในอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมนูอาหารชั้นดีของชาวล้านนาเลยทีเดียว

การขึ้นบ้านใหม่เป็นพิธีมงคลที่ทุกบ้านควรทำ เนื่องจากเป็นพิธีการป้องกันไม่ให้มีสิ่งอัปมงคลเข้ามาในบ้านของเรา และยังเป็นพิธีที่ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งทางสุขภาพร่างกาย ความปลอดภัย ความมั่งคั่ง และความสงบให้กับผู้อยู่อาศัย เมื่อคุณได้ทราบถึงความสำคัญของการขึ้นบ้านใหม่ การเตรียมข้าวของต่างๆ ขั้นตอนปฏิบัติพิธีขึ้นบ้านใหม่ รวมถึงอาหารที่ใช้ในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน ก็จะได้ดำเนินการประกอบพิธีได้อย่างครบถูกต้องสมบูรณ์แบบ ทำให้บ้านมีแต่สิ่งดีๆ ชีวิตของเจ้าของบ้านรวมทั้งผู้อยู่อาศัยก็จะเจริญก้าวหน้าดำเนินไปอย่างสงบสุขอีกด้วย


เรียบเรียง :
พรวิมล พันลา  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
A.P.Y. (2563, 21 เมษายน). ความเชื่อของการแกงขนุนทางภาคเหนือ. ทรูไอดี. https://food.trueid.net/detail/kXlYeO7YYJnD/

พิธีขึ้นบ้านใหม่มีขั้นตอนอย่างไร. (2566, 3 กุมภาพันธ์). The Gen C. https://www.ananda.co.th/blog/thegenc/พิธีขึ้นบ้านใหม่มีขั้นตอนอย่างไร

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สำนักงานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม. (2565, 8 มีนาคม). ลาบเหนือ วัฒนธรรมของชายชาตรี. https://art-culture.cmu.ac.th/Lanna/articleDetail/2547

ฐิติวรฎา ใยสาลี, สุรีย์พร ธัญญะกิจ, จุฑารัตน์ ศักดิ์มั่นวงศ์, และนพพร แพทย์รัตน์. “แกงฮังเล” วัฒนธรรมและความเชื่อ. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 9(2), 172-186. 
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/download/213511/149805/684838

การประเมินสภาพจริง

จากการที่สำนักงาน กศน. ได้รับการยกฐานะเป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 มีหน้าที่ จัด ส่งเสริม และสนับสนุนการเรียนรู้ ใน 3 รูปแบบ คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง และการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ โดยคำนึงถึงความหลากหลายและความต้องการของผู้เรียน และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย มีโอกาสเรียนรู้ และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม โดยไม่เลือกปฏิบัติ มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ดังนั้นครูผู้สอนของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ต้องมีการเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่การปฏิรูปการเรียนรู้ ผู้สอนทุกคนต้องตระหนักว่าการพัฒนาผู้เรียนในการจัด ส่งเสริม สนับสนุนการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ หรือการจัดการศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเดิม ซึ่งเป็นการจัดการเรียนรู้สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ซึ่งมิได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาไม่ว่าด้วยเหตุใด เพื่อให้ได้รับคุณวุฒิการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านสามัญศึกษาหรืออาชีวศึกษา ให้สามารถเรียนรู้ได้ตามความถนัดและตามความสนใจ ซึ่งในการประเมินผล ให้ใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อใช้กับผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันได้อย่างเหมาะสม โดยต้องไม่ใช้วิธีการทดสอบความรู้ในทางวิชาการเพียงด้านเดียว ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 มาตรา 12 ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ในสาระการประเมินเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ และการทดสอบเพื่อพัฒนาค้นหาศักยภาพ จุดเด่น จุดด้อยของผู้เรียน และที่สำคัญผู้สอนต้องศึกษาเกี่ยวกับการประเมินสภาพจริง จะต้องประเมินให้ครบทุกด้าน ทั้งด้านพุทธพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งผู้สอนต้องเลือกใช้เทคนิค และเครื่องมือประเมินที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเกณฑ์การประเมิน


การประเมินสภาพจริง
การประเมินสภาพจริง เป็นวิธีการประเมินที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมและทักษะที่จําเป็นของผู้เรียนในสถานการณ์ที่เป็นจริง และเป็นวิธีการประเมินที่เน้นงานหรือกิจกรรมที่ผู้เรียนได้แสดงออกโดยการกระทำ เน้นกระบวนการเรียนรู้ผลผลิตและผลงาน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินและร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งวิธีการนี้เชื่อว่าจะช่วยพัฒนาการ การเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง

กระบวนการประเมินอาจใช้วิธีการสังเกต การบันทึก การรวบรวมข้อมูลจากผลงานและวิธีการที่ผู้เรียนได้เคยทำไว้ด้วยวิธีการที่หลายหลาย กลยุทธ์สำคัญของการประเมินตามสภาพจริงคือ การกระตุ้นหรือท้าทายให้ผู้เรียนได้แสดงออกโดยการกระทำว่า ตนเองมีความสามารถอะไร และได้เคยททำสิ่งใดบ้าง แทนการทำแบบทดสอบหรือข้อสอบเหมือนการประเมินแบบเดิม ๆ นอกจากเน้นเรื่องการกระทำและผลงานแล้ว การประเมินนี้ยังเน้นความสามารถทางสติปัญญา กระบวนการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การแก้ปัญหา มากกว่าการเน้นเรื่องการท่องจำ หรือการหาคําตอบจากแบบทดสอบ 


ลักษณะสำคัญของการวัดประเมินสภาพจริง
การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินทางเลือกใหม่ (alternative assessment) ที่เน้นการประเมินผลจากการปฏิบัติงานซึ่งต่างจากการประเมินที่เน้นการทดสอบเป็นสำคัญ ลักษณะสำคัญของการวัดประเมินผลตามสภาพจริงมี ดังนี้
  1. การประเมินสภาพจริง เน้นแนวคิดที่ว่าความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มีความหมายได้หลากหลาย ดังนั้นการวัดควรใช้วิธีการอย่างหลากหลาย
  2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการตามความต้องการของผู้เรียน มากกว่าการบังคับให้เรียน ดังนั้นผู้เรียนจึงมีความกระตือรือร้น และแสวงหาความรู้เพื่อความอยากรู้มากกว่าการเรียนเพื่อให้ทำข้อสอบได้คะแนนสูง ๆ
  3. การวัดประเมินผลตามสภาพจริง เน้นกระบวนการเรียนรู้และผลผลิต โดยพิจารณาจากสิ่งที่ผู้เรียน เรียนรู้และทําไมจึงเกิดการเรียนรู้เช่นนั้น
  4. การวัดประเมินผลตามสภาพจริง มุ่งเน้นในการสืบเสาะ พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาตามสภาพจริงที่เกิดขึ้น ผู้เรียนต้องสังเกต วิเคราะห์และทดสอบความรู้ของตนเองจากการปฏิบัติ
  5. การวัดประเมินสภาพจริงมีจุดประสงค์เพื่อ กระตุ้น และอํานวยความสะดวกให้กับผู้เรียน และสะท้อนผลการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาให้กับผู้เรียน
เครื่องมือวัดและประเมินตามสภาพจริง
การวัดและประเมินผลให้ตรงกับสิ่งที่ต้องการวัด จะต้องอาศัยเทคนิค การเก็บรวบรวมข้อมูล และใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพเหมาะสมกับคุณลักษณะที่ต้องการศึกษา รวมถึงเงื่อนไขบริบทอื่นๆ อาทิ จุดประสงค์การวัด ลักษณะผู้สอบ ปริมาณ ระยะเวลา สถานที่ งบประมาณ การประเมินตามสภาพจริง จะใช้วิธีการประเมินหลากหลาย ส่วนเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบ การสอบสัมภาษณ์ การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน

Image by rawpixel.com on Freepik
  1. การทดสอบ การทดสอบจะใช้แบบทดสอบ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียน เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบสอบเขียนตอบ แบบสอบเลือกตอบ และสอบภาคปฏิบัติและแบบวัดต่าง ๆ เป็นต้น
  2. การสอบสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดผลด้วยการซักถาม สนทนา โต้ตอบ เพื่อประเมินความคิด ทัศนคติ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (เตรียมคําถามไว้ล่วงหน้า) และคําถามแบบไม่มีโครงสร้าง (กำหนดเฉพาะแนวทาง หรือประเด็นแต่ไม่มีคําถามที่ชัดเจน)
  3. การสังเกต เป็นการวัดและประเมินที่มีรายการ พฤติกรรมเป้าหมายที่ต้องการเก็บข้อมูล ด้วยประสาทสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางหูและตา เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่มีความละเอียด ชัดเจนของผู้เรียนในสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตรวัดประเมินค่า และแบบบันทึก เป็นต้น
  4. การตรวจผลงาน เป็นการวัดและประเมินด้วยการกำหนดงาน กิจกรรม หรือแบบฝึก ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติฝึกฝน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง ด้วยตนเองหรือเพื่อนผู้เรียนที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงสำหรับสะท้อนผลการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างเป็นระบบต่อไป เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินผลงาน
  5. การใช้แฟ้มสะสมงาน เป็นการวัดและประเมินที่ใช้หลักการเก็บหลักฐานผลงานที่ดีและมีความภาคภูมิใจ ที่เป็นตัวแทนงานที่ปฏิบัติของผู้เรียนเกี่ยวกับ ทักษะ แนวคิด ความสนใจ ความสำเร็จ โดยมีผลการประเมิน จุดเด่น จุดด้อยของชิ้นงาน อันแสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนด้วยตนเองของผู้เรียนเอง เพื่อนร่วมชั้น หรือผู้สอน แล้วนําหลักฐานมาบรรจุลงในแฟ้ม สมุดโน๊ต แผ่นบันทึกข้อมูล เป็นต้น ลักษณะแฟ้มสะสมงานที่ดีควรมีความหลากหลาย สามารถสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน เครื่องมือที่ใช้สำหรับประเมินแฟ้มสะสมงาน ได้แก่ แบบบันทึก แบบประเมิน ผลงาน และแบบประเมินตนเอง เป็นต้น
  6. การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน ศูนย์ประเมิน คือสถานที่ หรือคอมพิวเตอร์และซอฟท์แวร์ที่สร้าง หรือกำหนดขึ้นเพื่อให้สำหรับทดสอบหรือประเมินผู้เรียนภายใต้สถานการณ์จําลอง หรือสิ่งเร้า เพื่อให้ผู้เรียนตอบสนองโดยการแสดงออกตามพฤติกรรมบ่งชี้ การประมวลความรู้ และทักษะด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด และอยู่ในระดับใด กิจกรรมหรือสถานการณ์ที่กําหนดให้มีหลากหลาย ได้แก่ เกม แบบฝึกขั้นตอนการทำงาน ใบงาน การสนทนากลุ่ม การทำงานเป็นกลุ่ม และการแสดงบทบาทสมมุติ การนําเสนองาน เครื่องมือที่ใช้วัดประกอบด้วย แบบตรวจสอบรายการ แบบมาตรวัดประเมินค่า แบบบันทึกพฤติกรรม แบบประเมินผลงาน และแบบทดสอบ เป็นต้น

สรุปได้ว่า การประเมินสภาพจริง เป็นการประเมินที่เน้นการประเมินผลจากการปฏิบัติจริง (Active Performance) ซึ่งต่างจากเดิมใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดและประเมินผลน้อยครั้งเพียงเพื่อตัดสินผลการเรียน มาเป็นการวัดและประเมินที่เน้นการติดตามผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุสิ่งที่ยังบกพร่องนำไปปรับปรุง แก้ไขให้เกิดการเรียนรู้ตามศักยภาพ มีการเปลี่ยนวิธีการวัดและเครื่องมือที่ใช้ในการวัดที่มีคุณภาพเหมาะสมกับคุณลักษณะที่ต้องการ มักใช้วิธีการประเมินหลากหลาย ส่วนเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบ การสอบสัมภาษณ์ การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน การประเมินโดยใช้ศูนย์ประเมิน


เรียบเรียง :
สุมาลี อริยะสม  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566. (2566, 19 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 140 ตอนที่ 20. 
หน้า 60-72.

สมชาย รัตนทองคำ. การวัดและการประเมินผลการศึกษา (เอกสารประกอบการสอน 475 788 การสอนทางกายภาพ บำบัด ภาคต้นปีการศึกษา 2554). https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf

สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ. (2545). การจัดกระบวนการเรียนรู้ : เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.

การวัดประเมินผลการเรียนรู้

จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้
จุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ คือ ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนจากการที่ยังไม่มี ไม่รู้ ไปสู่การให้มี ให้รู้  ฉะนั้นในการจัดการเรียนรู้โดยทั่วไป ผู้สอนจะต้องตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้ว่า สิ่งที่ต้องการจัดกระบวนการเรียนรู้คืออะไร เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอย่างไร เพราะวัตถุประสงค์ที่จะจัดกระบวนการเรียนรู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน และเมื่อครูจัดประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสมตามวัตถุประสงค์แล้ว จะต้องมีการวัดและประเมินผลเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนรู้จริงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ 

ในการจัดการเรียนรู้ ต้องมีกระบวนการที่คอยตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ กระบวนการนี้จะพยายามให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันเป็นผลจากการเรียนรู้ เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาวิชา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบการวัดและประเมินผล การเรียนการบริหารหลักสูตรและการแนะแนว เป็นต้น กระบวนการที่ให้ได้มาซึ่งข้อมูลทางการเรียนรู้และนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าสอดคล้องกันดีหรือไม่ เรียกว่า “การวัดและประเมินผลการเรียนรู้


ครู มีบทบาทสำคัญในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะครูเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างระบบการศึกษากับผู้เรียน สิ่งที่ครูพูด ครูจัดกิจกรรม มีอิทธิพลอย่างสูงสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียน ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้และประเมินผลเอง ผลการวัดของผู้เรียนสามารถนำมาประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูได้  ดังนั้น ครูต้องรู้จักวิธีการวัดและประเมินผล เช่น การสร้างแบบสำรวจ แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบทดสอบ การดำเนินการสอบ เป็นต้น  นอกจากนี้ครูยังต้องมีความสามารถในการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลให้มีคุณภาพและยังต้องรู้ว่าในการวัดผลนั้น  มีจุดมุ่งหมายที่จะวัดอะไร ต้องการวัดสมรรถภาพทางด้านใดของผู้เรียน

ลักษณะสำคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 
การวัดผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนนิยมวัดผลการเรียนรู้ เป็น 3 ด้านคือ พุทธิพิสัย (cognitive domain) จิตพิสัย (affective domain) และทักษะพิสัย (psychomotor domain) ซึ่งมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
  1. การวัดผลเป็นการวัดทางอ้อม (Indirect Measurement) 
    คุณลักษณะที่ตรวจวัดในทางการศึกษา เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สติปัญญา ความถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพ เจตคติ ฯลฯ ของผู้เรียนนั้น มีลักษณะเป็นสภาพทางจิตวิทยาในตัวผู้เรียน เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง เพราะไม่สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ วิธีการตรวจวัดจึงเริ่มโดยการแปลงคุณลักษณะนั้นออกมาให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้หรือสังเกตได้ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือเป็นสิ่งเร้าแก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนตอบสนองโดยแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาผู้สอนจึงสามารถตรวจวัดพฤติกรรมนั้น ๆ ได้ในเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพแล้วแต่กรณี 
  2. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Imperfect Measurement) 
    การจัดการเรียน การสอนในห้องเรียน เป็นการจัดตามเนื้อหาและจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตรระดับชั้นต่าง ๆ เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนจะมีอยู่มาก ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่วัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อาจไม่สามารถตรวจวัดหรือทดสอบให้ครอบคลุมหรือครบถ้วนในทุกประเด็นของเนื้อหาและทุกพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดของเวลา งบประมาณ ค่าใช้จ่ายและสภาพการณ์ที่เป็นจริง เช่น ถ้าผู้สอนจะใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือวัดความสามารถในการบวกเลขหลักเดียวของผู้เรียนให้ครบถ้วนในเนื้อหา ครูต้องเขียนข้อสอบจำนวน 100 ข้อ คือ 0+0, 0+1, 0+2, ......, จนถึง 9+9 ให้ผู้เรียนตอบจึงครอบคลุมเนื้อหา ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ ในทางปฏิบัตินั้นครูจะเลือกข้อสอบบางข้อมาเป็นตัวอย่าง (Sample) โดยพิจารณาว่าเป็นตัวแทนของเนื้อหาทั้งหมด ซึ่งเปรียบได้กับประชากร (Population) ดังนั้น การวัดผลการศึกษาจึงเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ครบถ้วนทั้งหมด เพราะข้อจำกัดหลาย ๆ ประการ การนำข้อมูลจากการวัดผลไปใช้ในการประเมินผลเพื่อตัดสินคุณลักษณะนั้น จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้เกิดความมั่นใจว่าตัวอย่างที่นำมาใช้วัดผลนั้น เป็นตัวแทนที่ดีของเนื้อหาและพฤติกรรมอย่างแท้จริงก่อน
  3. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดเชิงสัมพัทธ์ (Relative Measurement) 
    จำนวนหรือตัวเลขที่ได้จากการวัดผลที่เรียกว่า คะแนน (Score) นั้น มีระดับการวัดได้สูงสุดในมาตราอันตรภาค (Interval Scale) เท่านั้น ซึ่งเป็นมาตราการที่ไม่มี ศูนย์แท้ (Non absolute Zero) หมายความว่า เลข 0 ในการวัดผลการศึกษาไม่ได้มีความหมายว่า “ไม่มีคุณลักษณะที่วัด” เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้วัดผลไม่สามารถจะวัดลงไปได้ครบถ้วนจนถึงจุดที่เป็นศูนย์แท้จริง เช่น ผู้เรียนที่สอบได้ 0 คะแนน จากการทดสอบด้วยแบบทดสอบฉบับหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนไม่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน อาจเป็นเพราะแบบทดสอบที่ใช้วัดผลไม่สามารถบรรจุเนื้อหาทั้งหมดทุกประเด็นที่ผู้สอนไว้ได้ แต่ใช้ตัวอย่างของเนื้อหาและพฤติกรรมมาสอบวัดเท่านั้น นอกเหนือจากสาระในแบบทดสอบแล้วผู้เรียนอาจตอบได้แต่ไม่ปรากฏอยู่ในข้อสอบ สำหรับคะแนนที่ได้จากการวัดผลก็ไม่มีความหมายในตัวมันเอง ไม่สามารถประเมินผลว่าผู้ที่ได้คะแนนนั้นมีความสามารถอยู่ในระดับใด เช่น ผู้เรียนสอบได้คะแนน 42 คะแนน สรุปไม่ได้ว่าคะแนนเท่านี้เก่งหรืออ่อนมากน้อยเพียงใด จนกว่าจะนำคะแนนที่ได้ไปเปรียบเทียบหรือสัมพันธ์กับเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะให้ความหมายได้ดีขึ้น  เช่น คะแนน 42 คะแนน เมื่อเทียบกับคะแนนเต็ม 50 คะแนน หรือเมื่อนำคะแนนไปสัมพันธ์กับเกณฑ์อื่น ๆ อีก ก็จะให้ความหมายที่เด่นชัดขึ้น เช่น เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย (Mean) หรือเปรียบเทียบกับคะแนนปกติวิสัย (Norm) เป็นต้น 
Image by rawpixel.com on Freepik

ลักษณะการประเมินผลทางการศึกษาที่นิยมใช้ มี 2 ลักษณะคือ
  1. ประเมินผลเพื่อการพัฒนา (formative valuation) เป็นการประเมินผลระหว่างการจัดการเรียนการสอน นิยมใช้เพื่อตรวจสอบการเรียนรู้และความก้าวหน้า ของผู้เรียนหรือปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน จะใช้แบบทดสอบ การสังเกต การซักถาม หรือเครื่องมือวัดอื่น ๆ ที่เหมาะสม ซึ่งจะใช้วัดเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนของแต่ละครั้ง 
  2. การประเมินผลสรุป (summative valuation) เป็นการประเมินผลเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนปลายภาคการศึกษา และตัดสินผลการเรียน โดยมีเกณฑ์ตัดสินที่ชัดเจน เช่น การตัดสินแบบอิงกลุ่ม(เกรด A, B, C, D, F) การตัดสินแบบอิงเกณฑ์ (60 เปอร์เซ็นต์ สอบผ่าน) เป็นต้น โดยทั่วไปของการวัดสิ่งใดก็ตาม จะต้องกําหนดเป้าหมายหรือสิ่งที่จะวัดให้ชัดเจนว่าจะประเมินอะไรและประเมินอย่างไร จากนั้นจึงเลือกใช้เครื่องมือและเทคนิคที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะประเมิน หากไม่มีเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน นิยมสร้างขึ้นเองอย่างมีหลักการ และขั้นตอนสุดท้ายคือการนําวิธีการและเครื่องมือไปประเมินอย่างไม่มีอคติและยุติธรรม ผู้วัดควรตระหนักว่า การวัดผลจะมีความคาดเคลื่อนหรือข้อผิดพลาดเสมอ
Image by photoroyalty on Freepik

ประโยชน์ของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้
  1. ประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนทราบจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนการสอนที่ชัดเจน ทำให้เกิดแรงจูงใจในการเรียนเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ผลการวัดและประเมินดีขึ้น ช่วยสร้างนิสัยในการใฝ่รู้ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เมื่อไม่สามารถตอบคำถามหรือตอบแบบทดสอบได้ผู้เรียนจะไปศึกษาเพิ่มเติมก่อให้เกิดนิสัยอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น และทำให้ทราบถึงสถานภาพทางการเรียนของตนเองว่า เด่น-ด้อยในเรื่องใด ควรได้รับการปรับปรุงอย่างไร
  2. ประโยชน์ต่อครูผู้สอน ทราบข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนทราบถึงผลการสอนของครูว่ามีประสิทธิผลมากน้อยเพียงไร ทำให้ครูได้ข้อมูลในการปรับปรุงการจัดกิจกรรมการสอนหรือการกำหนดจุดมุ่งหมายในการสอนที่เหมาะสมต่อไป และช่วยให้ครูกำหนดเทคนิควิธีสอนที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล กรณีที่ประสงค์จะสอนเพิ่มเติมหรือสอนซ่อมเสริม
  3. ประโยชน์ต่อผู้ปกครองผู้เรียน ผู้ปกครอง ที่ส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาในสถานศึกษานั้น ต้องการทราบถึงพัฒนาการหรือความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียนในความปกครองเป็นระยะ ๆ และต้องการทราบถึงสมรรถภาพในการเรียนของผู้เรียนด้วย การวัดผลและการประเมินผลทางการศึกษาจะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกรายการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ผลการประเมินจึงต้องให้ผู้ปกครองของผู้เรียนทราบด้วยเพื่อที่ผู้ปกครองจะได้ใช้เป็นพื้นฐานการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาต่อไป
  4. ประโยชน์ต่องานแนะแนว เพราะผู้เรียนต้องการได้รับคำแนะนำหรือข้อชี้แนะเกี่ยวกับการเลือกอาชีพ การศึกษาต่อและปัญหาส่วนตัวที่ประสบอยู่ สถานศึกษาทุกแห่งจึงมีหน่วยงานบริการแนะแนวที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ในการจัดดำเนินงานการแนะแนวให้มีประสิทธิภาพข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีอยู่อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามความเป็นจริง ข้อมูลเหล่านี้จะได้มาจากกระบวนการของการวัดผลและประเมินผลการศึกษา เช่น การจัดเจตคติ การวัดความสนใจ การวัดบุคลิกภาพ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดความถนัด เป็นต้น
  5. ประโยชน์ต่อการบริหารการศึกษา ผลการประเมินโดยภาพรวมของสถานศึกษานั้น ๆ จะเป็นข้อมูลบอกถึงประสิทธิภาพในการจัดและการบริหารการศึกษา นอกจากนี้ในระบบการบริหารการศึกษายังมีความจำเป็นต้องใช้การวัดผลและประเมินผลเพื่อเป็นเครื่องมือการดำเนินกิจกรรมหลาย ๆ ด้าน เช่น การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ การสอบคัดเลือก การจัดแยกประเภทผู้เรียนและการประเมินผลการปฏิบัติงาน เป็นต้น
  6. ประโยชน์ในการวิจัยการศึกษา ข้อมูลทางการศึกษาที่ได้จากการวัดผลและประเมินผลการศึกษาด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้เรียน ครู ผู้บริหาร บุคลากรในสถานศึกษา งบประมาณ ระบบการบริหาร การจัดการ และอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ นั้นจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อศึกษา วิจัยในประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
สรุปได้ว่า “การวัดและประเมินผลการเรียนรู้” จึงเป็นกระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผู้เรียนว่ามีคุณสมบัติตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยนำข้อมูลอันเป็นผลจากการเรียนรู้ มาเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เพื่อใช้ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจพัฒนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น เนื้อหาวิชา วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ระบบการวัดและประเมินผลการเรียน การบริหารหลักสูตรและการแนะแนว เป็นต้น โดยต้องมีการสร้างเครื่องมือที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สอดคล้อง และตรงกับจุดมุ่งหมายที่ต้องการวัด และการประเมินผลที่มีคุณภาพด้วย


เรียบเรียง :
สุมาลี อริยะสม  ครู ชำนาญการพิเศษ สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ

อ้างอิง :
สถาบัน กศน. ภาคเหนือ. (2565). คู่มือการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ลำปาง : สถาบัน กศน.ภาคเหนือ. 
  
สำนักงาน กศน.. (2555). คู่มือการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : รังษีการพิมพ์.

สำนักงาน กศน.. (2555). คู่มือการดำเนินงานหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2555) (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : รังษีการพิมพ์.

สมชาย รัตนทองคำ. การวัดและการประเมินผลการศึกษา (เอกสารประกอบการสอน 475 788 การสอนทางกายภาพ บำบัด ภาคต้นปีการศึกษา 2554). https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf