- จัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยประเภทการศึกษาต่อเนื่องให้สอดคล้องกับความจำเป็นและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและประชาชนในภูมิภาค
- วิจัย และพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่สอดคล้องกับบริบทของภาค
- ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนา คุณภาพทางวิชาการ หลักสูตร สื่อ เทคโนโลยี นวัตกรรมทางการศึกษา บุคลากรและระบบข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยแก่สถานศึกษาในภูมิภาคและภาคีเครือข่าย
- ปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าใคร่เสนอให้ลองไปศึกษาประเด็นต่าง ๆ ในพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 แล้วจะพบว่า สถาบัน กศน.ภาค ควรวิจัยและพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่สอดคล้องกับบริบทของภาค ในประเด็นอะไรบ้าง
การวิจัยตามบทบาทหน้าที่ของสถาบัน กศน.ภาคอาจมีรูปแบบตามวัตถุประสงค์การวิจัยหลายรูปแบบ เช่น การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน การวิจัยประเมินผล เป็นต้น ในโอกาสนี้จะกล่าวถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนประเด็นเดียวเท่านั้น
การวิจัยและพัฒนาผู้เรียน เป็นการวิจัยเพื่อหานวัตกรรมสำหรับแก้ปัญหา หรือเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการแก้ปัญหาและ/หรือพัฒนางานเกี่ยวกับการจัดและส่งเสริมการเรียนรู้ในชั้นเรียน โดยอาศัยกระบวนการวิจัย เป็นการค้นหาลักษณะที่เหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้และเป็นการวิจัยของครู
การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน กศน. วิจัยอะไร
คำถามนี้หากพิจารณาจาก พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะเห็นประเด็นที่ สถาบัน กศน.ภาคควรวิจัยเกี่ยวการพัฒนาผู้เรียน ดังต่อไปนี้ (2)
1. มาตรา 7 กล่าวว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสานึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รู้และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง
2. มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
3. มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
2. มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
3. มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้
(1) จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล(2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา(3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็นทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง(4) จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ
(6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
สรุปประเด็นวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน
- หลักสูตรหลากหลาย ตรงกับจุดมุ่งหมายการจัดและส่งเสริมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามมาตร 7 ตามความต้องการที่แตกต่างของแต่ละบุคคล
- รูปแบบ กระบวนการเรียนรู้ในการที่จัดและส่งเสริมการเรียนรู้ตามรูปแบบในมาตร 22 และมาตรา 24
- หลักสูตรและรูปแบบการจัดการเรียนรู้เป็นรายบุคคล (มาตรา 22 (1))
- สื่อการเรียนรู้
- การวัดผล ประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องจุดมุ่งหมายการจัดและส่งเสริมการเรียนรู้ หลักสูตร รูปแบบการจัดการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับการเรียนรู้เป็นรายบุคคล เป็นต้น
- กิจกรรมพิเศษ
- ฯลฯ
ตัวอย่างหลักสูตร การเสริมสร้างความเป็นพลเมืองสู่ความรัก สามัคคี ปรองดองและสมานฉันท์ (3)
จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็เพราะเชื่อถึงความสำคัญของการวิจัยว่า “สังคมจะก้าวหน้าได้ คนในสังคมต้องมีความรู้ ๆ ได้มาจากหลายทาง ทั้งจากการบอกเล่า การอ่าน การฟัง ความเชื่อส่วนตัว การใช้หลักเหตุผล การลองผิดลองถูก แต่ความรู้ที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นจริง ตรวจสอบได้คือ ความรู้จาการวิจัย” การวิจัยเป็นกระบวนการที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษา และวิเคราะห์มูล เพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ๆ ความรู้จากการวิจัยจึงเป็นความรู้ที่มีคุณภาพ เรียกง่าย ๆ ว่า การวิจัยให้ข้อมูลที่มีคุณภาพ
การพัฒนาการส่งเสริมการเรียนรู้ต้องอาศัยฐานข้อมูล ๆ ที่ดีนำไปสู่การตัดสินในที่ดี การประเมินและการวิจัยเป็นกระบวนการที่ทำให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ สามารถนำไปวางแผนพัฒนาโรงเรียนได้อย่างถูกต้อง โดยมีฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาของสถานศึกษา ดังนี้
การพัฒนาการส่งเสริมการเรียนรู้ต้องอาศัยฐานข้อมูล ๆ ที่ดีนำไปสู่การตัดสินในที่ดี การประเมินและการวิจัยเป็นกระบวนการที่ทำให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ สามารถนำไปวางแผนพัฒนาโรงเรียนได้อย่างถูกต้อง โดยมีฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาของสถานศึกษา ดังนี้
- ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
- ฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาหลักสูตรและการสอน
- ฐานข้อมูลเพื่อการบริหารและจัดการองค์กร
(1) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 60 เรื่อง ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกำหนดอำนาจและหน้าที่ของสถานศึกษา 25 มีนาคม 2551
(2) ราชกิจจานุเบกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 เล่มที่ 116 ตอนที่ 74 หน้า 1 19 สิงหาคม 2542
(3) พัฒนาโดย ศุภกร ศรีศักดา
เขียนและเรียบเรียง: ศุภกร ศรีศักดา
บทความที่เกี่ยวข้อง:
• บทบาทสถาบัน กศน.ภาค กับการวิจัย: ตอนที่ 1 การวิจัยพัฒนาผู้เรียน