ตัวอย่างการใช้ Cloud Computing ในชีวิตประจำวัน
- ช่วงเช้าอ่าน Email ผ่าน Gmail และ Video Call Conference ผ่าน Google Meet
- ช่วงสายทำงานผ่าน Microsoft Teams
- ช่วงเที่ยงใช้ Internet Banking จ่ายค่าอาหาร
- ช่วงเย็นถ่ายรูปและ Upload ไปเก็บไว้ใน iCloud แล้วซื้อสินค้าออนไลน์ผ่าน Amazon
ภาพโดย Macrovecter จาก Freepik
ประเภทของ Cloud Computing
Cloud Computing แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ระบบคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud)
คือการที่องค์กร หน่วยงาน หรือบริษัท เป็นผู้ลงทุนจัดตั้งคลาวด์ขององค์กรของตนเองขึ้นมา โดยลงทุนทั้งในส่วนของ Hardware และ Software เป็นพื้นฐานในการทำ และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลในระบบคลาวด์ (Cloud Datacenter) ขึ้นมาเป็นของตัวเอง เพื่อให้พนักงานในองค์กรใช้เท่านั้น
ข้อดี : ข้อมูลปลอดภัยเพราะจัดเก็บอยู่ภายในศูนย์ข้อมูล (Datacenter) ของตัวเอง
ข้อดี : ข้อมูลปลอดภัยเพราะจัดเก็บอยู่ภายในศูนย์ข้อมูล (Datacenter) ของตัวเอง
ข้อจำกัด : ไม่สามารถขยายการจัดเก็บข้อมูลแบบ Scale Out อย่างกะทันหัน เมื่อเกิดช่วงเวลาที่มีภาวะการทำงานสูงสุด Workload Peak Time ได้เหมือนกับคลาวด์แบบสาธารณะ (Public Cloud) และมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะต้องลงทุนซื้อ Hardware และ Software รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบเองทั้งหมด
2. ระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) คือ คลาวด์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ โดยจะมีผู้ให้บริการระบบคลาวด์เป็นคนตั้งระบบ Hardware และ Software ขึ้นมา แล้วให้แต่องค์กร/หน่วยงานเข้าไปใช้บริการ โดยอาจจะจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือรายปี
ข้อดี : ประหยัดเงินได้มากกว่า เพราะไม่ต้องลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูลในระบบคลาวด์ (Cloud Datacenter) เป็นของตัวเอง
ข้อจำกัด ; อาจมีปัญหาด้านนโยบายในการตรวจสอบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Policy Audit) ของบางองค์กร ที่ห้ามเก็บข้อมูลไว้นอกองค์กร
3. ระบบคลาวด์แบบผสม (Hybrid Cloud) คือ เป็นการเอาข้อดีของระหว่างระบบคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) และคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) มาใช้ร่วมกัน เช่น การนำระบบคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) มาใช้สำหรับเก็บข้อมูลภายในองค์กร และใช้ระบบคลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) มาใช้เพื่อการขยายการจัดเก็นข้อมูล Scale Out ในการประมวลผลในช่วงเวลาที่เกิดภาวะการทำงานสูงสุด Workload Peak Time เป็นต้น
ข้อดี : เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการได้มากขึ้นและอุดข้อเสียของทั้ง 2 รูปแบบนั้นได้
ข้อจำกัด : มีความยุ่งยาก เพราะรายละเอียดของ Cloud ทั้งสองแบบนั้นต่างกันมาก ต้องมีผู้เชี่ยวชาญปรับแต่งระบบให้ทำงานร่วมกันและทดสอบบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดความเสถียร
ภาพโดย fullvector จาก Freepix
การบริการคลาว์ด แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. IaaS (Infrastructure as a Service) เป็นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานของ IT (IT Infrastructure ในระบบเสมือน ให้บริการเช่า Cloud สำหรับเก็บข้อมูล พื้นที่ประมวลผล ระบบแม่ข่าย (Server) เสมือน และเครือข่าย รองรับการใช้งาน Software และ Application ได้
2. PaaS (Platform as a Service) ให้บริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน IT ร่วมกับ Platform แก่ผู้ใช้งาน โดยผู้ให้บริการได้จัดเตรียมสิ่งเหล่านี้เอาไว้แล้ว เพื่อให้ผู้ใช้บริการนำมาใช้งานต่อยอดได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับองค์กรประเภทผู้พัฒนา (Developer) ที่ทำงานเกี่ยวกับ Software และ Application
3. SaaS (Software as a Service) รูปแบบการใช้งานที่ให้บริการทุกประเภทผ่านซอฟต์แวร์ โปรแกรม แอปพลิเคชันออนไลน์ โดยใช้การประมวลผลผ่านระบบของผู้ให้บริการ ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบแม้แต่น้อย และยังสามารถเรียกใช้งานทั้งระบบผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันทีอีกด้วย ตัวอย่างบริการ SaaS ที่ใกล้ตัวเรานั้น ได้แก่ Gmail Office365 และ Google Application
ข้อดีของ Cloud Computing
1. ความสะดวกและรวดเร็วในการเข้าถึง (Speed & Agility)
2. ปรับขนาดได้ตามต้องการ (Scalability)
3. มีระบบความปลอดภัย (Security)
4. ลดต้นทุน IT ที่ไม่จำเป็น (Lower Cost)
เรียบเรียง:
ธนวัฒน์ นามเมือง ครูผู้ช่วย สถาบัน กศน.ภาคเหนือ
อ้างอิง:
บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน). Cloud Computing คืออะไร? สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจในยุคดิจิทัล.
https://www.g-able.com/th/insights/cloud-computing-in-digital-transformation
บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน). องค์กรแบบไหนควรนำ Cloud Computing ไปใช้.
https://www.g-able.com/th/insights/what-is-cloud-computing
ชนากานต์ บุตรรักษ์. (2565, 6 กันยายน). Cloud Computing คืออะไร เทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต. https://blog.openlandscape.cloud/what-is-cloud-computing

