ตำนานแจ่งและกำแพงเมืองเชียงใหม่

หนึ่งในเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีความโดดเด่นแตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ คือ มี “กำแพงเวียงเชียงใหม่” รอบล้อมเมือง ซึ่งกำแพงเมือง ได้สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างเมืองเชียงใหม่ โดยย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 1829 พญามังรายได้ทรงโปรดให้สถาปนาเวียงกุมกามขึ้น หวังให้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา แต่ด้วยความที่เวียงกุมกามตั้งอยู่ในบริเวณริมน้ำปิงซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ทำให้ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอยู่เสมอ พญามังรายจึงทรงมีดำริหาที่จะหาพื้นที่สร้างเมืองใหม่ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 1839 ได้ทรงสถาปนาเมืองขึ้น ณ บริเวณพื้นที่ลาดระหว่างดอยสุเทพและแม่น้ำปิง พระราชทานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 1 แห่งราชวงศ์มังราย ปกครองเชียงใหม่ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาสืบมา

แจ่งเวียงเชียงใหม่
เมื่อครั้งพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่นั้น ทรงโปรดให้มีการขุดคูเมืองเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำและทำการประมงสำหรับชาวเชียงใหม่ พร้อมทั้งใช้ป้องกันข้าศึกไปด้วย โดยได้เริ่มขุดคูเมืองที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งถือเป็นทิศมงคลก่อน แล้วจึงขุดต่อจนล้อมรอบไว้ทั้งสี่ด้าน ส่วนดินที่ได้จากการขุดคูเมืองนำไปถมเป็นแนวกำแพงเมืองแล้วก่ออิฐขนาบสองข้างกันดินพังทลาย บนกำแพงปูอิฐตลอดแนว และทำเสมาไว้บนกำแพงทั้งสี่ด้าน พร้อมทั้งได้สร้างป้อมปราการไว้ที่ แจ่ง ด้วย

แจ่งศรีภูมิ (สิงหาคม 2565)   ภาพโดย สราวุธ เบี้ยจรัส

สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ (2552) ให้ความหมายของคำว่า “แจ่ง” ในภาษาล้านนาหมายถึง มุมแจ่งเวียง” คือป้อมปราการที่ตั้งบนกำแพงเมือง และ “แจ่งเวียงเชียงใหม่” คือมุมทั้ง 4 ของเมืองเชียงใหม่ อันประกอบด้วย

แผนที่ แนวกำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ แสดงตำแหน่งแจ่ง 4 แจ่ง และประตูเมืองทั้ง 5 ประตู

1. แจ่งศรีภูมิ 
แจ่งศรีภูมิ เดิมชื่อ “สะหลีภูมิ” หรือ “ไชยสรีภูมิ” ซึ่งชื่อนี้มีความหมายว่าเป็นชัยชนะ เป็นแจ่งแรกที่สร้างขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นตำแหน่ง “ศรีแห่งเมือง” โดยเมื่อครั้งที่พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่นั้น ทรงโปรดให้ขุดคูเมืองและก่อกำแพงจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อน แล้วจึงขุดไปทางทิศใต้ไปยังแจ่งก๊ะต้ำ จากนั้นเวียนไปทางทิศตะวันตกไปยังแจ่งกู่เฮือง แล้วจึงไปยังทิศเหนือไปยังแจ่งหัวลิน แล้วขุดไปยังทิศตะวันออกจนมาบรรจบกับแจ่งศรีภูมิ ในการขุดคูเมืองที่แจ่งศรีภูมิแห่งนี้มีเรื่องเล่าว่า คูเมืองจุดนี้ลึกมาก ต้องใช้บันไดไม้ไผ่ ซึ่งชาวล้านนาเรียกว่า “เกิ๋น” มีช่องเหยียบมากเกินพันขั้น (พันตาเกิน) มาใช้ปีนขึ้นลง จึงเป็นที่มาของวัดพันตาเกิน หรือวัดชัยศรีภูมิ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแจ่งศรีภูมิในปัจจุบัน



แจ่งศรีภูมิ (สิงหาคม 2565)  ภาพโดย สราวุธ เบี้ยจรัส

2. แจ่งก๊ะต้ำ หรือ แจ่งขะต๊ำ 
แจ่งก๊ะต้ำ เป็นแจ่งเมืองด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ สันนิษฐานว่าเพราะมุมเมืองด้านนี้อยู่ต่ำสุด น้ำในคูเมืองเต็มอยู่เสมอ ทำให้มีปลาชุกชุม ผู้คนจำนวนมากจึงมักมาดักปลาโดยใช้ “ขะต๊ำ” ซึ่งเป็นเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่งชาวล้านนา มีลักษณะคล้ายลอบดักปลา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการเรียกมุมเมืองด้านนี้ว่า แจ่งขะต๊ำ



แจ่งก๊ะต้ำ (สิงหาคม 2565)  ภาพโดย สราวุธ เบี้ยจรัส

3. แจ่งกู่เฮือง 
แจ่งกู่เฮือง คือแจ่งด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชื่อ “กู่เฮือง” มาจากชื่อผู้ดูแลป้อมปราการที่แจ่งแห่งนี้ คือเมื่อปี พ.ศ. 1860 พญามังรายสวรรคต พญาไชยสงครามผู้เป็นราชบุตรขึ้นครองราชสมบัติเมืองเชียงใหม่ได้ 4 เดือน ก็ทรงย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองเชียงราย และได้สถาปนาให้เจ้าท้าวแสนภูพระราชบุตรองค์โตขึ้นครองเมืองเชียงใหม่สืบแทน ในปี พ.ศ. 1862 ขุนเครือซึ่งเป็นราชบุตรของพญามังรายและเป็นอนุชาของพญาไชยสงคราม ยกทัพมาหวังจะชิงเมืองเชียงใหม่จากพญาแสนภูผู้หลาน พญาแสนภูหนีไปพึ่งท้าวน้ำท่วมผู้น้องที่เมืองฝาง และแจ้งเหตุให้พญาไชยสงครามผู้เป็นพระราชบิดาทราบ ท้าวน้ำท่วมยกทัพมายึดเมืองเชียงใหม่คืนจากเจ้าขุนเครือได้สำเร็จ จึงมอบให้หมื่นเรือง (เฮือง) ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการขังขุนเครือ โดยหมื่นเรื่อง (เฮือง) ได้สร้างบ้านและเรือนขังขุนเครือไว้ที่แจ่งด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้นี้จนถึงแก่พิราลัย ต่อมาเมื่อหมื่นเรือง (เฮือง) ถึงแก่กรรมจึงได้สร้างกู่บรรจุอัฐของหมื่นเรือง (เฮือง) ไว้ที่แห่งนี้ อันเป็นที่มาของชื่อ แจ่งกู่เฮือง



แจ่งกู่เฮือง (สิงหาคม 2565)   ภาพโดย สราวุธ เบี้ยจรัส

4. แจ่งหัวลิน 
แจ่งหัวลิน เป็นแจ่งด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยคำว่า “ลิน” หมายถึง ราง และคำว่า “หัว” ในความหมายของคนภาคเหนือ หมายถึง แรก เริ่ม ดังนั้นคำว่า “หัวลิน” หมายถึง จุดเริ่มต้นของรางน้ำ โดยลักษณะของระบบส่งน้ำในสมัยก่อน จะทำรางน้ำจากต้นไม้ผ่าครึ่งขุดเป็นร่อง ใช้เป็นทางลำเลียงน้ำจากห้วยแก้ว ดอยสุเทพ ส่งต่อลงมาเป็นช่วง ๆ รวมกันที่แจ่งแห่งนี้ จึงนับว่าเป็นต้นทางของน้ำที่ไหลเข้าสู่ตัวเมืองผ่านไปตามอุโมงค์ใต้ป้อม ให้ชาวเมืองเชียงใหม่ได้นำไปใช้ ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของระบบน้ำประปาแบบโบราณ



แจ่งกู่เฮือง (สิงหาคม 2565)   ภาพโดย สราวุธ เบี้ยจรัส

กำแพงเวียงเชียงใหม่
กำแพงเมืองเชียงใหม่แต่เดิมมี 2 ชั้น กำแพงที่เห็นในปัจจุบันคือกำแพงชั้นใน สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองเชียงใหม่ในสมัยพญามังราย โดยนำดินที่ได้จากการขุดคูเมืองไปถมเป็นแนวกำแพงเมือง แล้วก่อด้วยอิฐขนาบสองข้างกันดินพังทลาย ข้างบนกำแพงปูอิฐตลอดแนวทำเสมาไว้บนกำแพงทั้งสี่ด้าน

นอกจากกำแพงเมืองชั้นในแล้ว ยังมีการสร้างกำแพงเมืองชั้นนอก ซึ่งทำเป็นแนวกำแพงดินโอบล้อมไว้ สันนิษฐานว่าสร้างประมาณ พุทธศตวรรษที่ 22 และมีการสร้างประตูของกำแพงเมืองชั้นนอกด้วย แนวถนนทั้งในและนอกกำแพงเมืองต่างก็พุ่งตรงเข้าหาประตูเมือง แต่เมื่อประตูเมืองถูกกำหนดให้วางเหลื่อมกัน แนวถนนภายในกำแพงเมืองและด้านนอกกำแพงเมืองจึงเหลื่อมกันไปตามแนวประตูเมือง ยกเว้นประตูท่าแพ ที่วางตำแหน่งประตูเมืองทั้งชั้นนอกและชั้นในไว้ในตำแหน่งที่เกือบจะตรงกัน ปัจจุบันกำแพงเมืองชั้นนอกแทบจะไม่ปรากฎให้เห็น คงเห็นแต่ซากกำแพงเป็นบางแห่งเท่านั้น

แนวกำแพงเมืองเชียงใหม่ชั้นนอก ซึ่งยังหลงเหลือร่องรอยให้เห็นในปัจจุบันที่ถนนกำแพงดิน
ภาพจาก Google Street View (พฤษภาคม 2564)

หลังจากที่เชียงใหม่ได้รับอิสรภาพจากพม่า เจ้ากาวิละได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าบรมราชาธิบดี เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 1 (พ.ศ. 2325-2356) พระองค์ทรงโปรดให้บูรณะกำแพงเมืองเป็นกำแพงอิฐที่มีความมั่นคงทนทาน และในปี พ.ศ. 2361 ได้บูรณะอีกครั้งในรัชสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 2 (พ.ศ. 2356 - 2366) และได้มีการบูรณะซ่อมแซมกำแพงเมืองมาบ้างในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ยังคงมีเค้าโครงของแนวกำแพงสมัยโบราณอยู่ ดังนั้นกำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในปี พ.ศ. 2478


แนวกำแพงและคูเมือง มองเห็นดอยสุเทพ ไม่ทราบแน่ชัดว่าถ่ายเมื่อใด สัญนิฐานประมาณปี พ.ศ. 2510
ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/history/article_27005

ปี พ.ศ. 2491 เนื่องจากกำแพงเมืองชั้นในมีสภาพทรุดโทรมลงอย่างมาก และบางแห่งก็พังเป็นซากปรักหักพัง มีต้นไม้ขึ้นบดบัง ทำให้ดูแล้วรกรุงรัง ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้เริ่มรื้อกำแพงออก เพื่อสร้างถนนและเส้นทางคมนาคมในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนอิฐจากกำแพงเมืองที่ถูกรื้อนั้นได้ถูกนำไปสร้างรั้วของค่ายกาวิละ

ในปัจจุบัน เนื่องจากไม่มีกำแพงเมืองชั้นในแล้ว จึงเรียกแนวกำแพงเมืองเชียงใหม่นี้อย่างเป็นทางการว่า "คูเมือง" ซึ่งคูเมืองเชียงใหม่ เป็นคูน้ำความกว้างราว 13 เมตร แต่ในอดีตเคยกว้างถึง 25 เมตร ลึกสุด 4 เมตร และจุดกลับรถกั้นเป็นระยะ ๆ การจราจรรอบนอกเป็นแบบวิ่งรถทางเดียวตามเข็มนาฬิกา ส่วนรอบในวิ่งรถทางเดียวทวนเข็มนาฬิกา และอยู่ในความดูแลของเทศบาลนครเชียงใหม่


บรรยายคูเมืองบริเวณแจ่งกู่เฮือง และแจ่งหัวลิน (สิงหาคม 2565)
ภาพโดย สราวุธ เบี้ยจรัส


เรียบเรียง :
ณิชากร เมตาภรณ์  ครู ชำนาญการพิเศษ  สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

ถ่ายภาพ: 
สราวุธ เบี้ยจรัส  นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง:
กำแพงเมืองเชียงใหม่. (2564, 1 กุมภาพันธ์). ใน วิกิพีเดีย สารนุกรมเสรี. สืบค้น 3 พฤษภาคม 2565 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/กำแพงเมืองเชียงใหม่

สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (ม.ป.ป.). วรรณกรรมขับขานล้านนา ต๋ำนานประตูเมืองเชียงใหม่. http://lannainfo.library.cmu.ac.th/lannapoetry/poem/023

พญามังราย. (2565, 9 กรกฎาคม). ใน วิกิพีเดีย สารนุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2565 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/พญามังราย

เชียงใหม่นิวส์. (2563, 8 เมษายน). มาดู ตำนานประตูเมืองและแจ่งเมืองต่าง ๆ ของเชียงใหม่ ที่คนเชียงใหม่หลายคนยังไม่รู้. https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1342703/

4 แจ่ง (มุม) เมืองเชียงใหม่. (2558, 5 ธันวาคม). https://www.topchiangmai.com/ความรู้/4-แจ่ง-มุม-เมืองเชียงใหม่/