โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

        เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสภาพลง ไม่ว่าจะดูแลตัวเองดีแค่ไหน ปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บของคนวัยนี้ก็เป็นเรื่องที่ห้ามยาก ผู้สูงอายุอาจจะกังวลกับโรคภัยที่มากับวัยที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่ออายุย่างเข้าเลข 5 ดังนั้นการเตรียมตัวเตรียมใจและหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ และเมื่อพบว่าตนเองมีโรคประจำตัวอยู่ ลูกหลาน ญาติพี่น้อง และผู้ดูแลผู้สูงอายุ จะต้องร่วมมือกัน และช่วยผู้สูงอายุให้สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง เพื่อรับมือกับโรคดังกล่าว โรคที่พบมากในผู้สูงอายุ ได้แก่ 

• โรคหลอดเลือดหัวใจ
โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นโรคที่คนไทยป่วยมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง และพบมากในกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น หลอดเลือดหัวใจจะเสื่อมสภาพ เนื่องจากมีคอเลสเตอรอลสะสมเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดเลือดแดงตีบแคบ หรืออุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และทำให้เสียชีวิตกะทันหันได้

ภาพจาก : https://www.posttoday.com/life/healthy/563110

อาการโรคหลอดเลือดหัวใจ จะเจ็บเค้นอก มีอาการเจ็บหนัก ๆ เหมือนมีอะไรมาทับหรือรัดบริเวณกลางหน้าอกหรือใต้กระดูกกลางหน้าอก เหนื่อยง่ายขณะออกแรง หรือออกกำลังกาย หายใจหอบ นอนราบไม่ได้ แน่นอึดอัด หายใจเข้าไม่เต็มปอด หน้ามืด เวียนศีรษะ เป็นลม อาการเหล่านี้จะอาจเกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 1–2 สัปดาห์ หรือเรื้อรังเกินกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมกับอาการแน่นหน้าอก ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากมีความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น โรคหลอดเลือดหัวใจต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากไม่มียารักษาให้หายขาด และต้องกินยาควบคุมอาการไปตลอดชีวิต
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เพิ่มผักและผลไม้ปริมาณมากขึ้น เพื่อเพิ่มเส้นใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ควบคุมน้ำหนักตัวและดัชนีมวลร่างกายไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเลือกการออกกำลังกายที่ไม่ใช้แรง เช่น การเดิน การฝึกโยคะ การรำมวยจีน โดยฝึกให้ต่อเนื่อง 30 นาที อย่างน้อยวันเว้นวัน
  • ลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ การพบปะผู้คน การเข้ากลุ่มพูดคุยเพื่อปรึกษาและให้กำลังใจ
  • หลีกเลี่ยงจากปัจจัยเสี่ยงอื่น เช่น การสูบบุหรี่และดื่มเหล้า
 • โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต  
โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตที่หลายคนรู้จักนั้น ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตและพิการกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองขาดเลือดแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และหลอดเลือดสมองแตก
อาการโรคหลอดเลือดสมอง ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า หรือบริเวณแขนขาครึ่งซีกของร่างกาย พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว มุมปากตก น้ำลายไหล กลืนลำบาก ปวดศีรษะ เวียนศีรษะทันทีทันใด ตามัว มองเห็นภาพซ้อนหรือเห็นครึ่งซีก หรือตาบอดข้างเดียวทันทีทันใด เดินเซ ทรงตัวลำบาก ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรืออาจทำให้กลายเป็นโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นโรคหลอดเลือดสมอง 
  • ควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด
  • หยุดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ 
  • ควบคุมภาวะแทรกซ้อน ในรายที่กลืนไม่ได้อาจได้รับการใส่สายยางให้อาหารเพื่อป้องกันการสำลัก เกิดโรคปอดอักเสบ 
  • รับประทานยาต้านเกล็ดเลือดตามแผนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำในภาวะหลอดเลือดสมองตีบ 
  • ห้ามหยุดหรือปรับยาเอง สังเกตผลข้างเคียงของยา เช่น มีจุดจ้ำเลือด เลือดออก ให้พบแพทย์ผู้รักษา
  • กายภาพบำบัดตามคำแนะนำ 
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 
  • หากมีความจำเป็นต้องได้รับการทำฟัน การผ่าตัด ต้องแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบ 
  • สังเกตพบอาการผิดปกติทางสมอง เช่น ซึมลง แขนขาอ่อนแรงมากขึ้น พูดไม่ชัด ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที 
  • เข้ารับการตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
ที่มา : https://www.yuusook.com/
 • โรคเบาหวาน 
โรคเบาหวานเป็นโรคที่เซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในขบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เมื่อน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นกว่าระดับปกติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
อาการของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน หิวน้ำบ่อย หิวบ่อย รับประทานจุ แต่น้ำหนักลด ผิวแห้ง เป็นแผลแล้วหายยาก ตาพร่ามัว ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน

  • ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น ชั่วโมงละครึ่งถึงหนึ่งแก้ว (ถ้าไม่มีข้อห้าม เช่น โรคหัวใจ โรคไต) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และช่วยขับน้ำตาลส่วนเกินและคีโตนไปทางปัสสาวะ
  • กินอาหารคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอ หากไม่สามารถรับประทานอาหารปกติได้
  • รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าวผสมเกลือเล็กน้อย แครกเกอร์ ขนมปัง โยเกิร์ต นมหรือน้ำเต้าหู้ 
  • อย่าหยุดยาด้วยตนเอง ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการซื้อยานอกโรงพยาบาล ควรแจ้งประวัติโรคประจำตัวและรายชื่อยาที่ใช้อยู่แก่เภสัชกรหรือแพทย์ทุกครั้ง 
  • ควรงดออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ 
  • อาการที่ควรมาโรงพยาบาล ได้แก่ มีไข้ 2 วันแล้วยังไม่ทุเลา หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน  ท้องร่วง รับประทานอาหารไม่ได้เลย นานกว่า 6 ชั่วโมง 
  • ตรวจพบคีโตนในปัสสาวะ มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ริมฝีปากแห้งแตก หรืออาการหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจมีกลิ่นผลไม้ และสิ่งที่ผู้ป่วยต้องเตรียมข้อมูลเมื่อมาพบแพทย์ คือ รายชื่อยา อาการเจ็บป่วย ปริมาณอาหารที่กินได้ น้ำหนักตัวปกติ และระดับน้ำตาลในเลือดช่วงเจ็บป่วย เพื่อให้แพทย์วินิจฉัย 

 • โรคความดันโลหิตสูง  
โรคความดันโลหิตสูง คือ ภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง มีค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งคนปกติจะมีค่าความดันโลหิตประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท และหลายคนอาจไม่ทราบว่าตัวเองมีภาวะความดันโลหิต เพราะเป็นโรคที่ไม่ค่อยปรากฏอาการที่ชัดเจนในช่วงแรก
อาการของโรคความดันโลหิตสูง  จะมีอาการปวดหัว หรือเวียนหัว เหนื่อยง่าย อาจมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่น อัมพาต หรือ มีภาวะหัวใจวาย ดังนั้น บุคคลทั่วไปควรเช็คความดันเมื่อมีโอกาส เพราะอาจมีความดันสูงโดยไม่มีอาการเลยก็ได้
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูง

  • ควบคุมอาหาร โดยลดน้ำหนัก งดอาหารทอด หลีกเลี่ยงการใช้เนย หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา กาแฟรับประทานอาหารประเภทถั่ว และผักให้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่เค็มจัด อาหารประเภทดองเค็ม เนื้อเค็ม หรือซุปกระป๋อง 
  • หยุดสูบบุหรี่ ลด หรืองดการดื่มแอลกอฮอร์ 
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด 
  • ออกกำลังกายแต่พอประมาณ 
  • ตรวจวัดความดันสม่ำเสมอ
  • ทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง

 • โรคข้อเข่าเสื่อม 

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในผู้สูงอายุ ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุอย่างมาก จะพบในตำแหน่งของข้อที่รับน้ำหนักมาก คือ ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อต่อกระดูกสันหลัง อาดทำให้เจ็บขณะเคลื่อนไหวหรือใช้งาน สาเหตุเกิดจากการใช้งานของอวัยวะนั้นเป็นเวลานานและหนัก เมื่ออายุมากก็ทำให้เกิดอาการของโรคนี้ได้
อาการโรคข้อเข่าเสื่อม จะปวด บวมที่ข้อเข่า ข้อฝืด หรือตึงข้อขณะเคลื่อนไหว ความสามารถในการใช้งานข้อเข่าลดลง หากมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ เพราะถ้าปล่อยไว้อาจทำให้เจ็บปวดเรื้อรัง ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

ภาพจาก : https://www.eldertrend.com/

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม 

  • ลดน้ำหนัก เพราะเมื่อเดินจะมีแรงกดลงที่เข่าประมาณ 5 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าวิ่งจะมีแรงกดลงที่เข่า เพิ่มขึ้นเป็น 7 -10 เท่าของน้ำหนักตัว ถ้าลดน้ำหนักตัวได้ เข่าก็จะรับแรงกดน้อยลง ทำให้เข่าเสื่อมช้าลงและอาการปวดก็จะลดลงด้วย
  • การนั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้สูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี ไม่ควรนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือนั่งราบบนพื้น เพราะจะทำให้ผิวข้อเข่าเสื่อมเร็วมากขึ้น
  • ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือนั่งบนเก้าอี้สามขาที่มีรูตรงกลาง วางไว้เหนือคอห่าน ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่ง เพื่อใช้จับพยุงตัวเวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขาถูกกดทับ ทำให้เลือดไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี
  • นอนบนเตียง ซึ่งมีความสูงระดับเข่า เมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น ข้อก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได เพราะขณะขึ้นลงบันได จะมีแรงกดที่เข่าประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว
  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่า หรือเหยียด-งอข้อเข่าบ่อย ๆ
  • การยืน ควรยืนตรง ขากางออกเล็กน้อย ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน ไม่ควรยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวดได้
  • การเดิน ควรเดินบนพื้นราบ ไม่ควรเดินบนพื้นที่ไม่เสมอกัน เช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือ ทางเดินที่ขรุขระ เพราะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย ควรใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย (สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และมีขนาดกระชับพอดี
  • ใช้ไม้เท้า โดยเฉพาะผู้ที่ปวดมากหรือข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยรับน้ำหนัก และช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม วิธีถือไม้เท้า ในผู้ที่ปวดเข่ามากข้างเดียว ให้ถือในด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด แต่ถ้าปวดทั้งสองข้างให้ถือในข้างที่ถนัด
  • บริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้แข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดอาการปวด ทำให้การทรงตัวดีขึ้น
  • ถ้ามีอาการปวดให้พักการใช้ข้อเข่า และประคบด้วยความเย็น/ความร้อน หรือใช้ยานวดร่วมด้วยก็ได้


เรียบเรียง :
นางณิชากร เมตาภรณ์ ครู สถาบัน กศน. ภาคเหนือ


อ้างอิง :
สถาบัน กศน.ภาคตะวันออก. (ม.ป.ป.). การดูแลและส่งเสริมคุณภาพผู้สูงอายุ สำหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุ

โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล. (ม.ป.ป.). 5 โรคร้ายที่พบมากในผู้สูงอายุ. สืบค้น 28 กรกฎาคม 2563 จาก http://theworldmedicalcenter.com/th/new_site/ health_article/detail/?page=5-โรคร้าย-ใกล้ตัวผู้สูงวัย

วิธีการดูแลผู้ป่วย “โรคความดันโลหิตสูง”. (ม.ป.ป.). สืบค้น 28 กรกฎาคม 2563 จากhttps://www.bangkokpattayahospital.com/th/healthcare-services/neuroscience-center-th/neuroscience-articles-th/item/890-high-blood-pressure-th.html

อาการของโรคเบาหวาน. (ม.ป.ป.). สืบค้น 28 กรกฎาคม 2563 จาก https://www.bangkokpattayahospital.com/th/ healthcare-services-th/dm-and-endocrinology-center-th/item/1284.html

การดูแลรักษาด้วยตนเองรอบด้านในเรื่องข้อเข่าเสื่อม. (ม.ป.ป.). สืบค้น 28 กรกฎาคม 2563 จาก
https:// www.brandsworld.co.th/th/article-listing/osteoarthritis.html

การสร้างเสริมสุขภาพในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ. (ม.ป.ป.). สืบค้น 28 กรกฎาคม 2563 จาก http://www.bmbmd.research.chula.ac.th/kn1.htm