ก๋องปู่จา (กลองปู่จา กลองบูชา)

วิถีชีวิตของชาวล้านนาผูกพันกับเสียงกลองมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เสียงกลองเป็นสัญญาณแจ้งเหตุเวลามีข้าศึกมารุกราน เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมสำคัญทางศาสนาตลอดไปจนถึงงานเฉลิมฉลอง การละเล่นบันเทิง จังหวะการตีกลองนั้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสัญญาณที่จะแจ้งให้ทราบว่าบอกเหตุอะไรความสำคัญของกลอง ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมจาก “หอกลอง” หรือ “โรงกลอง” ตามวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือ

“ก๋องปู่จา” เป็นภาษาคำเมือง ส่วนคำว่า “กลองปู่จา” หรือ “กลองบูชา” เป็นภาษาเขียนในเขตภาคเหนือตอนบน เป็นกลองโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งได้มีการพัฒนารูปร่างและลักษณะการตีของกลองมาอย่างต่อเนื่อง โดยจากกลองใบใหญ่ใบเดียวที่ใช้ตีเป็นเครื่องส่งสัญญาณในการโจมตีศัตรูของกองทัพในเวลาสงคราม ตีส่งสัญญาณบอกข่าวแก่ชุมชน ใช้เป็นเครื่องดนตรีมหรสพ เป็นเครื่องประโคมฉลองชัยชนะ มีจังหวะการตีเรียกว่า “สะบัดชัย” กลองชนิดนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กลองสะบัดชัย” เมื่อไม่มีการรบทัพจับศึก ก็ได้พัฒนาทั้งรูปร่างลักษณะจังหวะการตี และนำมาใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา จึงเรียกว่า “ก๋องปู่จา” “กลองปู่จา” หรือ “กลองบูชา” ต่อมาได้พัฒนาเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การตีเพื่อให้เกิดความบันเทิงความสนุกสนาน ตามงานบันเทิงต่าง ๆ สามารถพบเห็นได้ในขบวนแห่หรืองานแสดงศิลปะพื้นบ้านโดยทั่วไป

การตีกลองปู่จางานสืบสานตำนานไทลื้อ ที่วัดพระธาตุสบแวน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา

ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นมาของ ก๋องปู่จา
ก๋องปู่จา หรือ กลองปู่จา ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีตั้งแต่เมื่อใด มีความเชื่อที่มีการเล่าขานกันต่อมาจากตำนานต้นกำเนิดของกลองบูชา ซึ่งเกี่ยวพันกับความเชื่อเรื่อง พระอินทร์ยักษ์ ความชั่วร้าย และแนวคิดทางศาสนา อยู่ 2 ตำนาน ที่มีความคล้ายคลึงกัน คือ ตำนานเรื่อง ยักษ์ตาทิพย์กับพระอินทร์ และเรื่องยักษ์ตาทิพย์กับนางคาก๋อง (กลอง) โดยทั้ง 2 เรื่อง เป็นการกล่าวถึงยักษ์ตนหนึ่งที่ลงมากินเนื้อมนุษย์ในช่วงเวลาทุก 7 วัน และพระอินทร์เนรมิตกลองใบใหญ่เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัยจากยักษ์ ชาวบ้านจึงพากันยกกลองนั้นมาตั้งไว้บูชาเป็นมงคลของเมืองตลอดมา ในอดีตต้องตีกลองทุก 3 วัน 7 วัน เพราะหากไม่ตีกลองจะทำให้ยักษ์มากินบ้านกินเมือง และกินคนในหมู่บ้าน ซึ่งได้ถือกันต่อมาว่าจะต้องตีกลองทุกวันพระหรือเทศกาลต่าง ๆ เพื่อให้ชาวบ้านได้ปฏิบัติกิจในวันพระหรือในเทศกาลที่จัดขึ้น

ลักษณะของ “ก๋องปู่จา”
ก๋องปู่จา เป็นกลองในตำนานประวัติศาสตร์พื้นบ้านภาคเหนือ เป็นเครื่องดนตรีชนิดเครื่องกระทบ ประเภทเครื่องหนัง ใช้ตีบรรเลงด้วยท่อนไม้ หรือค้อนไม้ตีกลอง มักพบเห็นแขวนหรือวางอยู่บนหอกลองหรือศาลาตามวัดต่างๆ ในเขตภาคเหนือตอนบน

ก๋องปู่จา มีลักษณะเป็นกลองชุม คือ มีกลองขนาดต่าง ๆ รวมกัน ประกอบด้วยกลองขนาดใหญ่ 1 ใบเรียกว่า“กลองหลวง” หรือบางท้องที่เรียกว่า “กลองตึ้ง” และกลองบริวาร เป็นกลองเล็กเรียว่า “กลองลูกตุ๊บ” อีกก 3 ใบ สำหรับไล่เสียง
  • กลองหลวง หรือ กลองใบใหญ่ มีลักษณะเป็นกลองสองหน้าขนาดใหญ่ ตัวกลองใช้ไม้จริง เช่น ไม้สัก ไม้ขนุน ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้ชิงชัน ขุดเป็นโพรงขึ้นหน้าด้วยหนัง ใช้หมุดไม้หรือภาษาพื้นบ้านเรียกว่าแส้ เป็นตัวขึงหนังหน้ากลองให้ตึง หน้ากว้างประมาณ 90 ซ.ม. ขึ้นไป ยาวประมาณ 1.5 เมตร ขนาดไม่แน่นอนแล้วแต่ไม้ที่ทำ ก่อนหุ้มกลองต้องทำการบรรจุหัวใจกลองไว้ข้างในตัวกลอง แล้วจึงหุ้มกลองด้วยหนังวัวหรือหนังควาย ใช้น้ำเต้าแห้งลงอักขระโบราณ คาถาเมตตามหานิยม ผ้ายันต์และของมีค่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ บรรจุรวมลงไปในน้ำเต้า นำไปแขวนไว้ในตัวกลองใบใหญ่ 
  • กลองลูกตุ๊บ หรือกลองใบเล็กอีก 3 ใบ ทำเหมือนกับกลองใบใหญ่ แต่ข้างในตัวกลองไม่มีการบรรจุหัวใจกลอง มีขนาดหน้ากว้าง 12-18 นิ้ว ความยาวของกลองลูกตุ๊บ 18-24 นิ้ว
ลักษณะการจัดวางรูปแบบกลองบูชา 
การวางก๋องปูจา จะวางกลองลูกตุ๊บใช้เรียงซ้อนกันข้างล่าง 2 ใบ และข้างบน 1 ใบ วางไว้ทางซ้ายกลองแม่หรือกลองใหญ่ ถ้าเห็นกลองลูกตุ๊บวางซ้อนกันไว้ด้านขวากลองใหญ่จะใช้วิธีการตีอีกแบบหนึ่งเรียกว่า “กลองจัยมงคล”
การวางกลองลูกตุ๊บ มี 3 ลักษณะดังนี้
1) วางกลองลูกตุ๊บไว้ด้านขวากลองใหญ่ซ้อนเป็นรูปสามเหลี่ยม
2) วางกลองลูกตุ๊บไว้ด้านซ้ายกลองใหญ่ซ้อนเป็นรูปสามเหลี่ยม
3) วางกลองลูกตุ๊บไว้ด้านข้างซ้ายกลองใหญ่เป็นรูปแนวนอน

การตีก๋องปู่จา ในโอกาสต่าง ๆ
ในอดีต การตีก๋องปู่จามี 3 เหตุผลสำคัญ คือ ตีบอกเหตุเมื่อยามเกิดศึกสงคราม ตีในงานเฉลิมฉลอง และตีในพิธีศาสนกิจ เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่า ก๋องปู่จาเป็นของสูง ฉะนั้น จะนำมาตีเป็นการเล่นประกอบการฟ้อนรำไม่ได้ ทำให้มีการนำกลองปูจาออกมาตีน้อยลงและจำกัดเฉพาะที่ ปัจจุบันจึงมีผู้นำกลองปูจาออกมาแสดงในงานต่าง ๆ บ้าง โดยใช้วิธีไม่บรรจุหัวใจกลอง เพื่อจะได้สามารถนำเสียงของกลองมาประกอบการฟ้อนรำและการแสดงได้ โดยไม่ขัดกับขนบประเพณีโบราณแต่อย่างไร
ปัจจุบันการ มักตีในโอกาส ดังนี้
  1. ตีเป็นสัญญาณของการทำบุญ การตีกลองบูชานั้นตีเพื่อเป็นพุทธบูชา ในคืนวันโกนหรือคืนก่อนวันพระ วันขึ้นหรือแรม 7 ค่ำหรือ 14 ค่ำ ในเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ทราบว่า วันรุ่งขึ้นเป็นวันพระ เพื่อที่สาธุชนจะได้เตรียมตัวในการปฏิบัติตนงดเว้นจากอบายมุข ทำตนเองให้สะอาดโดยการถือศีล ทำความดี ละเว้นจากความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส และเตรียมไปทำบุญที่วัด
  2. ตีในวันพระ การตีกลองบูชาเป็นระยะ ๆ นั้น ชาวบ้านที่ไม่ได้ทำบุญหรือฟังเทศน์ เสียงกลองบูชาจะทำให้ชาวบ้านได้ทราบถึงกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ทราบว่า การเทศนาธรรมได้จบแล้วหรือเวลาทำวัตรเย็น เป็นต้น สาธุชนเมื่อได้ยินเสียงกลองบูชาก็จะยกมือโมทนาสาธุกับนักศีลนักบุญในวัดไปด้วย
  3. ใช้เป็นสัญญาณตีบอกเหตุ ให้มวลชนในหมู่บ้านได้ทราบ เช่น นัดหมายประชุม นัดหมายเข้าขบวนเคลื่อนครัวทาน แจ้งเหตุร้าย
  4. ใช้ตีเป็นกลองไชย เป็นการฉลองชัย ฉลองความสำเร็จ แสดงความยินดีเมื่ออาคันตุกะมาเยี่ยม เช่น ขบวนแห่ผ้าป่า ขบวนกฐิน ขบวนครัวทาน หรือตีแสดงความปีติเมื่อพระท่านให้พรเสร็จแล้ว
ก๋องปู่จา จะพบเห็นได้มากในภาคเหนือตอนบน เช่น แพร่ พะเยา เชียงราย ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และ น่าน  ในปัจจุบันหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน ได้มีการส่งเสริม รักษา และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นให้ดำรงสืบไป โดยจัดกิจกรรม เช่น การประกวดแข่งขันการตีกลองปู่จา ของจังหวัดลำปาง ซึ่งจะจัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และ การแข่งขันตีกลองปู่จา ในงานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ ของจังหวัดแพร่ ในเดือนมีนาคม เป็นต้น

การแข่งขันตีกลองปู่จา ในงานประเพณีสลุงหลวงกลองใหญ่ ปีใหม่เมืองนครลำปาง
ภาพจาก Lampang13 News Online : http://www.lampang13.com

การแข่งขันตีกลองปู่จา ในงานประเพณีไหว้พระธาตุช่อแฮ จ.แพร่
ภาพจาก : สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ http://thainews.prd.go.th


เขียน/เรียบเรียง :
นัชรี อุ่มบางตลาด สถาบัน กศน.ภาคเหนือ

อ้างอิง :
เชียงใหม่นิวส์. (2562, 4 กุมภาพันธุ์). “ก๋องปู่จา” มรดกของชาวล้านนาที่กำลังจะหายไป. เชียงใหม่นิวส์. สืบค้น 20 มิถุนายน 2562 จาก https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/907338

พรสวรรค์ จันทะวงศ์ (2558). กลองบูชาในสังคมและวัฒนธรรมของชาวเชียงใหม่ (รายงานผลการวิจัย). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่.