สี มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ สามารถดึงดูดความสนใจของเราไปที่ภาพนั้น สามารถสื่ออารมณ์และความรู้สึก และยังสามารถสื่อสารได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดหรือตัวอักษร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสีใดเข้ากันได้
คำตอบก็คือทฤษฎีสีนั้นเอง บรรดานักศิลปินและนักออกแบบได้ศึกษาและใช้ทฤษฎีสีมาหลายศตวรรษซึ่งพวกเราก็สามารถเรียนรู้ได้เช่นกัน เราเลือกใช้สีเวลาออกแบบงาน
เราควรทำความเข้าใจทฤษฎีสีกันสักหน่อย มุมมองที่เรามีในการสื่อสารจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนก่อนอื่นต้องร่วมทบทวนความรู้เดิมกันก่อน
แม่สี (Primary Color)
แม่สี คือ สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม
แม่สี มือยู่ 2 ชนิด คือ
- แม่สีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม มี 3 สี คือ สีแดงสีเหลือง และสีน้ำเงิน อยู่ในรูปของแสงรังสี ซึ่งเป็นพลังงานชนิดเดียวที่มีสี คุณสมบัติของแสงสามารถนำมาใช้ ในการถ่ายภาพภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสีในการแสดงต่าง ๆ เป็นต้น
- แม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีที่ได้มาจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์โดยกระบวนทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน แม่สีวัตถุธาตุเป็นแม่สีที่นำมาใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ในวงการศิลปะ วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ
เมื่อนำมาผสมกันตามหลักเกณฑ์
จะทำให้เกิด วงจรสี ซึ่งเป็นวงสีธรรมชาติ
เกิดจากการผสมกันของแม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีหลักที่ใช้งานกันทั่วไป ในวงจรสี
จะแสดงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. วงจรสี (Color Circle)
สีขั้นที่ 1 (Primary Color) แม่สี มี 3 สี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน
1. วงจรสี (Color Circle)
สีขั้นที่ 1 (Primary Color) แม่สี มี 3 สี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน
สีขั้นที่ 2 (Secondary Color) สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือ แม่สีผสมกัน ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะทำให้เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่
- สีแดง ผสมกับ สีเหลือง ได้ สีส้ม
- สีแดง ผสมกับ สีน้ำเงิน ได้ สีม่วง
- สีเหลือง ผสมกับ สีน้ำเงิน ได้ สีเขียว
- สีแดง ผสมกับ สีส้ม ได้ สีส้มแดง
- สีแดง ผสมกับ สีม่วง ได้ สีม่วงแดง
- สีเหลือง ผสมกับ สีเขียว ได้ สีเขียวเหลือง
- สีน้ำเงิน ผสมกับ สีเขียว ได้ สีเขียวน้ำเงิน
- สีน้ำเงิน ผสมกับ สีม่วง ได้ สีม่วงน้ำเงิน
- สีเหลือง ผสมกับ สีส้ม ได้ สีส้มเหลือง
หมายถึง สีที่อยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันในวงจรสี
และมีการตัดกันอย่างเด่นชัดซึ่งจะให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน หากนำมาผสมกันจะได้สีกลาง
(เทา) ซึ่งมีทั้งหมด 6 คู่ ได้แก่
- สีเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วง
- สีแดง ตรงข้ามกับ สีเขียว
- สีน้ำเงิน ตรงข้ามกับ สีส้ม
- สีเขียวเหลือง ตรงข้ามกับ สีม่วงแดง
- สีส้มแดง ตรงข้ามกับ สีเขียวน้ำเงิน
- สีม่วงน้ำเงิน ตรงข้ามกับ สีส้มเหลือง
- พื้นที่ของสีหนึ่งมาก พื้นที่ของสีหนึ่งน้อย
- ผสมสีอื่น ๆ ลงไปในสีใดสีหนึ่ง หรือทั้งสองสี
- ผสมสีตรงข้ามลงไปในทั้งสองสี
3. สีกลาง (Neutral Color)
คือ สีที่เข้าได้กับสีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีน้ำตาล กับ สีเทา - สีน้ำตาล เกิดจากสีตรงข้ามกันในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนที่เท่ากัน สีน้ำตาลมีคุณสมบัติสำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่นแล้วจะทำให้สีนั้น ๆ เข้มขึ้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงค่าสี ถ้าผสมมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล
- สีเทา เกิดจากสีทุกสี ๆ สีในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนเท่ากัน สีเทา มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่น ๆ แล้วจะทำให้ มืด หม่น ใช้ในส่วนที่เป็นเงา ซึ่งมีน้ำหนักอ่อนแก่ในระดับต่าง ๆ ถ้าผสมมาก ๆ เข้าจะกลายเป็นสีเทา
4. โทนของสี หรือวรรณะของสี (Tone of Color)
วรรณะสี คือ ความแตกต่างของสีแต่ละกลุ่ม ในวงจรสีโดยแบ่งตามความรู้สึกด้านอุณหภูมิ จะมีสีร้อน 7 สี และสีเย็น 7 สี ซึ่งแบ่งที่สีม่วงกับสีเหลือง โดยแบ่งออกเป็น 2 วรรณะ คือ
- สีวรรณะร้อน (Warm Tone) ประกอบด้วย สีเหลือง ส้มเหลือง ส้ม ส้มแดง แดง และม่วงแดง สีวรรณะร้อนให้ความรู้สึกตื่นตา มีพลัง อบอุ่น สนุกสนาน และดึงดูดความสนใจได้ดี สีร้อนนี้สภาพโดยรวมจะมีความกลมกลืนของสีมาก ในการออกแบบควรมีสีเย็นมาประกอบบ้างทำให้ภาพมีความน่าสนใจมากขึ้น
- สีวรรณะเย็น (Cool Tone) ประกอบด้วย สีม่วง ม่วงน้ำเงิน น้ำเงิน เขียวน้ำเงิน เขียว และเขียวเหลือง สีวรรณะเย็นให้ความรู้สึกสุภาพ สงบ ลึกลับ เยือกเย็น ในทางจิตวิทยาสีเย็นมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกหดหู่ เศร้า การใช้สีวรรณะเย็นในการออกแบบควรมีสีร้อนแทรกบ้างจะทำให้ผลงานดูน่าสนใจมากขึ้น
5. สีข้างเคียง ( Analogous Color)
สีข้างเคียง หมายถึง สีที่อยู่เคียงข้างกันทั้งซ้ายและขวาในวงจรสี มีความคล้ายคลึงกันหากนำมาจัดอยู่ด้วยกันจะมีความกลมกลืนกัน หากอยู่ห่างกันมากเท่าใดความกลมกลืนก็จะยิ่งน้อยลงความขัดแย้งก็จะมีมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นสี ในวรรณะเดียวกัน (ภาพที่ 6) สีข้างเคียงได้แก่
- สีแดง - ส้มแดง - ส้ม หรือ ม่วงแดง -แดง - ส้มแดง
- สีส้มเหลือง - เหลือง - เขียวเหลือง หรือ ส้มแดง - ส้ม - ส้มเหลือง
- สีเขียว - เขียวน้ำเงิน - น้ำเงิน หรือ เขียวน้ำเงิน - เขียว - เขียวเหลือง
- สีม่วงน้ำเงิน - ม่วง - ม่วงแดง หรือ ม่วงน้ำเงิน- น้ำเงิน – เขียวน้ำเงิน
เทคนิคการเลือกใช้สี
เพราะการเลือกใช้สีให้สื่อความหมายอาจยากสำหรับการออกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบให้โดดเด่นจากสิ่งที่เคยมีอยู่ หรือการทำให้สิ่งออกแบบเดิมๆ ได้มีความโดดเด่นจากการใช้สี เทคนิคต่อไปนี้จะช่วยเลือกการใช้สีให้นักออกแบบหลาย ๆ ท่านได้มีไอเดียใหม่เพิ่มเติมมากขึ้น
1. Capture Inspiration
เลือกภาพที่มีคู่สีและโทนสีตามที่ต้องการ จากนั้นนำมาดูดค่าสีด้วยโปรแกรมต่างๆ โดยโปรแกรมที่แนะนำคือ PHOTOCOPA ซึ่งเป็น webapp ที่ใช้งานง่าย เท่านี้ก็จะสามารถได้ค่าสีที่ต้องการ และนำไปเป็น Color guide ในงานออกแบบของเราได้
เลือกภาพที่มีคู่สีและโทนสีตามที่ต้องการ จากนั้นนำมาดูดค่าสีด้วยโปรแกรมต่างๆ โดยโปรแกรมที่แนะนำคือ PHOTOCOPA ซึ่งเป็น webapp ที่ใช้งานง่าย เท่านี้ก็จะสามารถได้ค่าสีที่ต้องการ และนำไปเป็น Color guide ในงานออกแบบของเราได้
เป็นทฤษฎีสีที่ประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอน คือ
- ขั้นที่ 1 (Primary) - แม่สี ได้แก่ แดง เหลือง น้ำเงิน
- ขั้นที่ 2 (Secondary) - คือสีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีที่ผสมกันในอัตราส่วนที่เท่ากัน จึงส่งผลให้เกิด 3 สีใหม่ ได้แก่ ส้ม ม่วง เขียว
- ขั้นที่ 3 (Tertiary) - สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 ผสมกับสีขั้นที่ 2 ในอัตราส่วนที่เท่ากัน และจะได้สีอีก 6 สี คือ ส้มแดง ม่วงแดง เขียว เหลือง เขียวน้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน ส้มเหลือง
- Analogous Colors การเลือกใช้สีที่อยู่ติดกันใน Color Wheel เช่น สีน้ำเงินกับสีม่วง
- Complementary Colors การเลือกใช้สีที่อยู่ตรงข้ามกันใน Color Wheel เช่น สีส้มกับสีน้ำเงิน
- Triadic Colors การเลือกสีโดยใช้สามเหลี่ยมด้านเท่ามาทาบลงบน Color Wheel จะได้สีทั้งหมด 3 สี เช่น สีเขียว สีส้มและสีม่วง
เทคนิคการออกแบบโดยใช้อัตราส่วนของพื้นที่สี 60-30-10
60% เป็นสีที่โดดเด่น
30% เป็นสีรอง
10% เป็นสีที่ถูกเน้น
ตัวอย่าง
สีโดดเด่น : สีดำ
สีรอง : สีเขียว
สีเน้น : สีแดง
4. บันทึกสีที่ชอบ
4. บันทึกสีที่ชอบ
เพราะเราอยู่กับงานออกแบบเป็นประจำ การหาแรงบันดาลใจ Inspiration จากที่ต่าง ๆ อาจทำเราอาจเจอสีที่น่ารักหรือสีที่ชอบ เพื่อนำมาเป็นไอเดียในการออกแบบงานภายหลัง และจะเป็นการทำงานที่ง่ายขึ้นหากเรามีสีที่ชอบเป็น Color guide 5.
5. หา Pantone ไว้ใช้งานสักชุด
สังเกตหรือไม่ว่า ทำไมนักออกแบบบางคนถึงมี Pantone ติดตัว เพราะในบางครั้งการมองสีจากหน้าจออาจไม่ชัดเจนเท่ามองจาก Pantone นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานพิมพ์ที่ต้องใช้ความแม่นยำสูง ซึ่ง Pantone จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ได้ค่าสีที่แม่นยำ
6. หาสีธรรมชาติจากรอบตัวของเรา
เพราะบางครั้งแรงบันดาลใจก็มาจากธรรมชาติรอบตัวเรา การผสมสีที่ไม่มีวันสิ้นสุด และสีในธรรมชาติที่มีหลากหลายมากมาย สถานที่แตกต่างนำพาความรู้สึกและให้สีที่แตกต่างกันได้
Pantone หรือ Pantone Matching System (PMS) เป็นมาตรฐานของระบบสี เพื่อให้มั่นใจว่าการพิมพ์ทุกครั้งจากผู้พิมพ์รายใดก็ตามที่ใช้ระบบ Pantone จะได้สีของสิ่งพิมพ์ออกมาเหมือนกัน 100% ซึ่งคำว่า Pantone นั้น มาจากชื่อบริษัทที่ตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ อเมริกา ทำธุรกิจเกี่ยวกับสีสำหรับงานพิมพ์ทุกชนิดที่ต้องการความแม่นยำในการกำหนดค่าก่อนพิมพ์
Pantone ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ PANTONE SOLID COLOR หรือเรียกอีกอยางหนึ่งว่า PANTONE SPOT COLOR หรือ สีพิเศษถูกนำมาใช้สำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการความเนี้ยบ ความคมชัด ลดโอกาสสีเพี้ยนที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
6. หาสีธรรมชาติจากรอบตัวของเรา
เพราะบางครั้งแรงบันดาลใจก็มาจากธรรมชาติรอบตัวเรา การผสมสีที่ไม่มีวันสิ้นสุด และสีในธรรมชาติที่มีหลากหลายมากมาย สถานที่แตกต่างนำพาความรู้สึกและให้สีที่แตกต่างกันได้
7. เลือกใช้สีแค่ 2-3 สี
การใช้สีที่เยอะเกินไปอาจทำให้งานของเราดูแย่ลง วิธีส่วนใหญ่ที่คนใช้กันคือ การเลือกสี 2-3 สีในการออกแบบนั้นๆ ซึ่งสามารถใช้ Color Wheel เพื่อเลือกสี ซึ่งจะทำให้งานนั้นดูดีและมิติไม่เรียบจนเกินไป
การใช้สีที่เยอะเกินไปอาจทำให้งานของเราดูแย่ลง วิธีส่วนใหญ่ที่คนใช้กันคือ การเลือกสี 2-3 สีในการออกแบบนั้นๆ ซึ่งสามารถใช้ Color Wheel เพื่อเลือกสี ซึ่งจะทำให้งานนั้นดูดีและมิติไม่เรียบจนเกินไป
8. เลือกสีหลัก แล้วหาสีเข้าคู่
เริ่มจากพิจารณาก่อนว่างานออกแบบของเรานั้นเป็นงานอะไร เพราะในแต่ละงานนั้นมีการเลือกใช้สีและให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน เช่น อยากให้อารมณ์งานออกมาอ่อนนุ่มหรือรุนแรง แล้วลองใส่รายละเอียดเข้าไปอีกนิด เช่น ฉันต้องการความโรแมนติกสีม่วง หรือ ฉันต้องการสีชมพูน่ารัก
แหล่งรวบรวมผลงานและไอเดียที่หลากหลาย สามารถค้นหาได้ตามที่ต้องการ นอกจากนั้นยังเป็นแหล่ง Inspiration ชั้นดี สำหรับนักออกแบบทั้งหลายอีกด้วย
10. หาความลงตัว
สิ่งสุดท้ายที่เราแนะนำสำหรับนักออกแบบคือการหาสีที่ลงตัวสำหรับงาน โทนสีที่ใช้ควรจะเป็นโทนเดียวกัน ถ้าคุณออกแบบงานที่มีโทนเข้มก็ลองปรับค่าสีให้ดูมีความเข้มให้ลงตัวกัน เพียงเท่านี้งานออกแบบของคุณจะออกมาลงตัว ไม่มีจุดไหนที่โดดเด่นหรือแปลกแยกมากจนเกินไป ในการหาโทนสีที่ลงตัวคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องคิดเองทั้งหมด ลองหาตัวอย่างสีใน Pinterest เพื่อดูงานต่างๆ โดยเฉพาะ Palettes ที่มีนักออกแบบทำออกมาให้เราศึกษาเรียบเรียง :
นายสราวุธ เบี้ยจรัส นักวิชาการโสตทัศนศึกษา สถาบัน กศน. ภาคเหนือ
ภาพประกอบ :
Jason de Graaf : www.canva.com
www.columbiaomnistudio.com
Talitha Pera : www.arquitecturasimple.com
อ้างอิง :
Sukanya.d. (2561, 02 มีนาคม). การเลือกใช้สี เพิ่มความโดดเด่นในงานออกแบบ. สืบค้นจาก
https://www.wynnsoftstudio.com/Choosing_Colors_to_Enhance_Design